ตอนที่ 183 การโกงขั้นสูงของฉยงเซียว (1)
หลี่ฉางโซ่วแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากทันทีที่ได้ยินจ้าวกงหมิงกล่าวเมื่อก้าวเข้าไปในประตูวิหาร
‘กลเม็ดเด็ดๆ ในการทำร้ายคนโดยที่อีกฝ่ายจะไม่กล้าเอ่ยอันใด’… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาหมายถึงหลักการโกงระดับเริ่มต้นที่ข้าสอนท่านลุงจ้าว?
เป็นเพราะหลงใหลในบรรยากาศของโลกบรรพกาลในช่วงนี้มากเกินไป หรือเป็นเพราะอาจารย์ลุงจ้าวทำตัวเป็นคนเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ ด้วยกำลังจะมีความรักครั้งที่สอง? ประโยคนั้นเพียงอย่างเดียวก็แทบจะทำให้หลี่ฉางโซ่วเอวเคล็ดแทน[1]แล้ว…
เมื่อจ้าวกงหมิงเข้าไปในวิหารเทพทะเล เขาไม่ได้สนใจเหล่าสานุศิษย์มนุษย์ที่อยู่รอบตัวเขา สะบัดแขนเสื้อ ทักทายด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงยิ่ง
“เทพแห่งท้องทะเล สหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเล เทพแห่งท้องทะเลอยู่หรือไม่?”
ผู้คนในวิหารต่างพากันมองดูจ้าวกงหมิงอย่างระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะจ้าวกงหมิงมีรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่ง สง่างามน่าเกรงขาม จนทำให้เหล่าสานุศิษย์หญิงที่มองดูอยู่พากันหน้าแดงแล้ว…
ว่ากันตามตรงแล้ว หากรูปร่างหน้าตาของจ้าวกงหมิงดูเลวร้ายสักหน่อย เหล่าสานุศิษย์ก็คงจะยืนขึ้นและปกป้องชื่อเสียงของเทพแห่งท้องทะเลของพวกเขา!
ทว่ายามนี้ก็ช่างเถิด เมื่อเห็นหน้าของจ้าวกงหมิงแล้ว เหล่าสานุศิษย์จึงปล่อยให้เขาทำไป ส่วนรูปลักษณ์ของสาวน้อยที่ถูกจ้าวกงหมิงดึงแขนมาในเวลานี้ ยังมองเห็นไม่ชัดเจน เหล่าสานุศิษย์และผู้ดูแลการจุดธูปในวิหารจึงไม่มองดูนาง
เด็กสาวอดจะบ่นออกมาไม่ได้ว่า “พี่ชาย ท่านทำอันใดกัน? หากอยากพบเทพแห่งท้องทะเล ก็ไปที่เคหาสน์ถ้ำของเขาสิ ไยต้องมาถึงที่วิหารนี้ด้วยเจ้าคะ? ”
“น้องหญิง เจ้ากล่าวมีเหตุผล” จ้าวกงหมิงปล่อยแขนของฉยงเซียว พลางลูบเคราขณะครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “แต่ปัญหาคือ ข้าไม่รู้ว่าเคหาสน์ถ้ำของเทพแห่งท้องทะเลอยู่ที่ใดกัน…”
ฉยงเซียวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาทันที แล้วกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านพูดมาตลอดทางว่ารู้จักกับเทพแห่งท้องทะเลผู้นี้เป็นอย่างดีมิใช่หรือเจ้าคะ? ในเมื่อมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน แล้วไยจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคหาสน์ถ้ำของเขาอยู่ที่ใด?”
จ้าวกงหมิงกระอักกระอ่วนขึ้นมากะทันหันแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “บอกตามตรง ไม่เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่า เคหาสน์ถ้ำของเขาอยู่ที่ใดเท่านั้น ทว่าข้ายังรู้แค่เพียงว่า เทพแห่งท้องทะเลมีนามเต๋าว่า นักพรตเต๋าฉางเกิง ส่วนเรื่องอื่นๆ… ข้ายังไม่เคยถามเขาเลย”
ฉยงเซียวขมวดคิ้วทันทีขณะมองไปที่จ้าวกงหมิง จ้าวกงหมิงก็หัวเราะเบาๆ และกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ไม่เช่นนั้น ข้าจะพาเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรเล่า? น้องหญิงสาม เจ้าฉลาดเฉียบแหลมมาตลอด ในบรรดาพวกเราพี่น้องทั้งสี่คน นอกจากน้องหญิงรองแล้ว ก็มีเจ้าที่มีเล่ห์เหลี่ยมรอบจัดมากที่สุด! วันนี้เจ้าต้องช่วยพี่ชายของเจ้านะ
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่ว กำลังนั่งอยู่ตรงมุมของสถานที่จัดงานประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า ขณะมองดูพี่น้องคู่หนึ่งผ่านรูปปั้น แล้วเขาก็อดจะรู้สึกฉงนในใจไม่ได้
สองพี่น้องผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้…กำลังพึมพำอันใดกันอยู่ในวิหารของเขา?
ในวิหารเทพทะเล ขณะนี้ ฉยงเซียวก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “พี่ชาย ท่านประสงค์สิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
จ้าวกงหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวต่อไปว่า “เจ้าช่วยข้าถามเทพแห่งท้องทะเลผู้นี้ทีว่า มีวิธีใหม่ๆ อีก หรือไม่? ที่ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง มันมีกฎห้ามในการใช้มากเกินไป หากว่าเขามีหลายวิธี ต่อให้ต้องใช้สมบัติวิญญาณมากมายมาแลกกับมัน ก็ไม่เป็นไร เพราะนี่เป็นกลเม็ดสุดยอดของโลกบรรพกาลจริงๆ มันเป็นความลับที่เทพแห่งท้องทะเลยังไม่เคยเปิดเผยต่อผู้ใด!”
“ท่าน…”
ฉยงเซียวรู้สึกขบขันจ้าวกงหมิงอย่างยิ่ง นางจ้องมองพี่ชายร่วมสาบานซึ่งดูแลนางและพี่สาวทั้งสองของนางมาหลายปี พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หากเทพแห่งท้องทะเลมาภายหลังจากนี้ พี่ชายก็อย่าพูดเรื่องเหลวไหลนะ ข้าจะช่วยท่านให้ได้ข้อมูลมาเองเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้น จ้าวกงหมิงก็ประสานมือคารวะเป็นการขอบใจนางทันทีแล้วตะโกนซ้ำๆ ว่า “ขอบใจเจ้านัก น้องหญิงสาม ขอบใจน้องหญิงสาม!”
ในขณะนั้น ผู้ดูแลวิหารซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเทพแห่งท้องทะเลก็ก้าวเข้ามาก่อนจะเชิญเซียนทั้งสองให้ไปนั่งรอในห้องโถงด้านหลังอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เชิญเหล่าสานุศิษย์ในวิหารเล็กๆ ออกไปก่อน แล้วจึงปิดประตูวิหาร
แล้วในเวลาไม่นาน ร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่จำแลงกายเป็นเทพแห่งท้องทะเลของหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งอยู่ในรูปเซียนชราเคราขาวก็ขี่เมฆ บินมาแต่ไกล และร่อนลงหยุดที่ลานวิหาร
จากนั้นเขาก็โบกสะบัดแส้หางม้าครั้งหนึ่ง แล้วข่ายอาคมพลังเซียนเพื่อป้องกันการตรวจจับก็ปรากฏขึ้นรอบกายเขาทันที
ข่ายอาคมต่างจากค่ายกลเวท ข่ายอาคมจะดำรงอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ และถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังเซียน ส่วนค่ายกลเวท จะใช้รากฐานค่ายกลและพลังแห่งสวรรค์และปฐพีสร้างขึ้นมา ซึ่งสามารถคงอยู่ได้นาน
ในห้องโถงด้านหลัง ฉยงเซียวจิบชาก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ
นางรู้สึกว่า ชาในแดนมนุษย์มีรสชาติย่ำแย่ยิ่ง ขณะกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านไม่ได้บอกว่า เวลาที่เทพแห่งท้องทะเลจะใช้ร่างจำแลงกายเมื่อปรากฏตัวขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ดูให้ดีๆ กว่านี้สิ” จ้าวกงหมิงกะพริบตาพลางยิ้ม “นี่น่าจะเป็นร่างจำแลงกายเช่นกัน แต่เป็นชั้นเยี่ยม”
“อืม วิธีการจำแลงกายเช่นนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่า เทพแห่งท้องทะเลผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เขาคือ… นักพรตเต๋าฉางเกิงแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินหรือ?”
ฉยงเซียวก้มหน้าครุ่นคิดและทำการหยั่งรู้บางอย่าง…
เอ่อ นางได้รับการเตือนจากแผนภาพไท่จี๋ ในขณะที่จ้าวกงหมิงได้ยืนขึ้นแล้ว และหัวเราะเสียงดังลั่นพลางอ้าแขนออกและต้อนรับหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งเข้ามาจากห้องโถงด้านหน้า
ผู้หนึ่งดูเป็นจอมยุทธ์สง่างาม ส่วนอีกคนดูเป็นชายชราผมขาวท่าทางใจดี
เมื่อได้พบกัน พวกเขาทั้งสองก็ทำการคารวะเต๋าให้กันและกัน
“เทพแห่งท้องทะเล เทพแห่งท้องทะเล เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรอไม่?”
“ขอบคุณสหายเต๋า ข้าสบายดี แล้วสหายเต๋าเป็นอย่างไรบ้าง?
“ฮ่าๆๆๆ” จ้าวกงหมิงเท้าเอวแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “เทพแห่งท้องทะเล ตั้งแต่ที่ข้าแยกกับเจ้าเมื่อครั้งล่าสุด ข้าก็มีความสุข สนุกมากจริงๆ มันเยี่ยมมาก!”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สหายเต๋าเอาวิธีที่ข้าสอนครั้งล่าสุดไปใช้…มีเรื่องกับผู้อื่นหรือไม่?”
“ใช้คำว่า ‘มีเรื่อง’ ช่างฉลาดจริงๆ!”
จ้าวกงหมิงยิ้มและหรี่ตาขณะกล่าวว่า “ครั้งล่าสุดที่ข้าได้รับการชี้แนะนำจากสหายเต๋า ข้าได้เดินทางไปรอบดินแดนเทวะประจิมเป็นพิเศษสองสามครั้ง แล้วลากเอาพวกคนที่ข้ารำคาญตา มานาน จัดการแก้เผ็ดสั่งสอนพวกเขา! แล้วเจ้าเดาสิว่า เกิดอันใดขึ้น เทพแห่งท้องทะเล?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเฝื่อนพลางกล่าวว่า “คนพวกนั้นไม่กล้ามีปัญหากับเจ้าแล้วสิ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า สหายเต๋าก็รู้จักข้าเช่นกัน! เจ้ารู้จักข้าจริงๆ!”
“สหายเต๋า เจ้าอย่าทำเช่นนี้บ่อยนัก เจ้าเป็นถึงศิษย์ชั้นนอกคนโตของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และยังเป็นอดีตอาคันตุกะของจอมปราชญ์ในวังปี้โหยวอีกด้วย” หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าว “การมีเรื่องกับผู้อื่น อาจทำให้เจ้ารู้สึกสดชื่นดีสักพัก แต่มันจะส่งผลให้ชื่อเสียงของเจ้าเสียหายอย่างใหญ่หลวง”
“เฮ้” จ้าวกงหมิงถอนหายใจพลางโบกมือแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ชื่อเสียงก็เกิดขึ้นจากการต่อสู้ที่ข้าสร้างขึ้นมาด้วยมิใช่หรือ แล้วยังมีปฏิญญาต้าเต๋าที่สหายเต๋าทำไว้ด้วยไม่ใช่หรือ? แล้วผู้ใดจะกล้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปหลังจากให้สัตย์สาบานนี้แล้วเล่า? เพียงแต่ว่าระยะหลังมานี้ ข้าคิดว่าวิธีเหล่านี้ง่ายดายเกินไป จึงอยากได้แบบใหม่ ๆ บ้าง เทพแห่งท้องทะเล เจ้ามีกลเม็ดใหม่ๆ บ้างหรือไม่…”
“พี่ชาย?”
ในขณะนั้นมีเสียงเรียกเบาๆ จากทางด้านหลังของจ้าวกงหมิง “ท่านให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา ดูปฏิญญาต้าเต๋านั้นได้หรือไม่เจ้าคะ”
“แน่นอน” จ้าวกงหมิงกล่าวพลางหยิบผ้าที่เผ่ามังกรทำขึ้น ออกมาจากแขนเสื้อของเขาและใช้พลังเซียนส่งไปให้ฉยงเซียวที่ลุกขึ้นยืนรอรับแล้ว
จากนั้นจ้าวกงหมิงก็แนะนำหลี่ฉางโซ่ว
“เทพแห่งท้องทะเลมานี่สิ นี่คือน้องสาวบุญธรรมของข้า ปกติแล้ว นางมักจะฝึกบำเพ็ญอยู่บนเกาะซานเซียน นางมีนามเต๋าว่า ฉยงเซียว”
หลี่ฉางโซ่วทำตามท่าทางแนะนำของ จ้าวกงหมิงและมองไปทางฉยงเซียว
ทางด้านเทพธิดาที่ยืนขึ้นมานั้น นางได้ถอนพลังเวทที่ปกปิดตัวเองออกและเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางออกมาให้เห็น
นี่คือเทพธิดาซานเซียวที่มีชื่อเสียงหรือ?
นางแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเขียวหยกอ่อนๆ ที่ทำจากผ้าไหมสีเขียว เส้นผมสีดำพลิ้วไหวราวกับเมฆเคลื่อนคล้อย และมีผ้าคาดรัดรอบเอวเรียวบาง และสวมเท้ารองเท้าหุ้มข้อสูงสีขาว…
หากจะให้กล่าวว่า สตรีผู้นี้งดงาม ก็ดูเหมือนว่าจะน้อยเกินไป หากจะกล่าวว่านางดูเพรียวบาง ก็ดูจะด้อยมากเกินไป
หลี่ฉางโซ่วอุทานในใจหลายครั้งพลางยิ้มและชื่นชมว่า “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของสามเซียนมาช้านานแล้ว ได้พบกันวันนี้ ก็นับว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่สูญเปล่าแล้ว” ฉยงเซียวเม้มริมฝีปากและแย้มยิ้ม ใบหน้าเล็กและบอบบางของนางดูขัดเขินเล็กน้อย แต่นางก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “สหายเต๋ากล่าวชมเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าสหายเต๋ามีนามใด ข้าได้ยินมาจากพี่ชาย เรียกขานนามสหายเต๋าว่า นักพรตเต๋าฉางเกิง แต่เกรงว่านั่น อาจเป็นนามแฝงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ช่างเป็นเทพธิดาที่ฉลาดอะไรเช่นนี้…
……………………………………………………………….
[1] เปรียบถึงการมีความสัมพันธ์กับสตรีมาก