บทที่ 362 องค์หญิงใหญ่กลับเมืองหลวง

เหล่าจางพูดถึงตรงนี้แล้วยังตบต้นขาพร้อมเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ต่อมาครอบครัวของแม่นางน้อยตามมาพบ ท่านโหวยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างนิ่งงัน จ้องมองอยู่นานสองนาน

ตอนนั้นข้ายังคิดว่าสองคนนี้ต่อไปคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่ เพราะต่อมาท่านโหวไปสงครามได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซิ่นอู๋โหว เป็นชายหนุ่มที่สง่างามผ่าเผยตัวจริง ทำให้มีแม่นางน้อยในเมืองหลวงชื่นชอบเขามากมายเท่าใดไม่อาจทราบได้ แต่ข้ารู้ว่าทุกคืนเขาจะมาร้านข้าเพื่อซื้อเกี๊ยวไปให้แม่นางผู้นั้น

แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นแม่นางผู้นั้น แต่ข้ารู้ว่าท่านโหวชอบนางมาก น่าเสียดายที่โชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ต่อมาท่านโหวกับท่านหญิงก็มีซื่อจื่อน้อย เจ้าว่าโลกนี้มักมีแต่คนเศร้าเสียใจใช่หรือไม่”

จี้จือฮวนมองเกี๊ยวชามนั้น ก่อนจะเงยหน้าพลางเอ่ยขึ้นมา “ไม่มีใครขัดขวางพวกเขาไม่ให้อยู่ด้วยกันอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ในนิยายเล่มนี้พวกเขาอาจไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทว่าบางทีอาจจะมีอีกโลกหนึ่ง ไม่ว่าชีวิตจะน่าเศร้าเพียงใด แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยมีความรักที่เร่าร้อนต่อกัน

เหล่าจางเองก็เข้าใจได้ นี่หมายความว่าท่านโหวได้เสียไปแล้ว ท่านหญิงผู้นั้นก็ไม่ใช่ภรรยาของเขาอีกแล้ว

“ใช่ ก็คงจะจริง”

เผยยวนซื้อเกาลัดกลับมา พลางกอดเอาไว้ในอ้อมแขนเพราะกลัวว่ามันจะเย็น ทันทีที่เปิดม่านเข้ามาก็พาลมเย็นหอบหนึ่งเข้ามาด้วย “เหลืออยู่นิดหน่อยพอดี ข้าเลยซื้อมาทั้งหมด สองวันมานี้อาชิงยังร้องจะกินอยู่เลย หากเห็นต้องดีใจเป็นแน่”

เหล่าจางเองจึงได้ลุกไปเก็บร้านด้านหน้าพร้อมเสียงหัวเราะ และให้เวลาส่วนตัวกับคู่สามีภรรยา

จี้จือฮวนเห็นมือของเขาแดงอีกแล้ว ก็รีบดึงมือของเขามาแนบไว้ที่ขอบชาม แต่เผยยวนกลับไม่รีบร้อนที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น เขาปอกเกาลัดสองลูกแล้วป้อนให้นางก่อน “ไม่รู้ว่าจะอร่อยเท่าที่เจ้าย่างบนภูเขาหรือไม่ แต่ว่าหอมมากทีเดียว”

ในบางเวลาจี้จือฮวนก็ไม่ได้ตระหนี่คำชมของตัวเอง “สามีซื้อให้ย่อมอร่อยที่สุดอยู่แล้ว”

เผยยวนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลง มุมปากยกขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “คำพูดเช่นนี้ต่อไปกลับห้องแล้วค่อยพูดจะดีกว่า”

“เพราะเหตุใดเล่า?”

“เพราะว่า…” ชายหนุ่มเลียมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางเหล่าจาง เมื่อแน่ใจว่าเขาคงไม่ได้ยิน จึงเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ “ข้าจะอยากหอมเจ้า”

“ฮูหยิน!” ขณะที่บรรยากาศกำลังละมุนละไม เสียงสูงของเอี๋ยนเฉาก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

สีหน้าของเผยยวนเปลี่ยนจากสดใสเป็นถมึงทึงทันที

ก่อนจะพบว่าเอี๋ยนเฉาได้กลับไปสวมเสื้อผ้าเนื้อดีแล้ว และกำลังเดินนำอาควนที่เดินถูมือเข้ามา “บังเอิญจริง ๆ ข้ากำลังคิดจะออกมาหาอะไรกินให้เต็มคราบก็เจอพวกท่านสองคนเข้าพอดี เป็นเพราะเจ้านักต้มตุ๋นสารเลวนั่น ทำให้แผงลอยในเมืองหลวงลดลงไปเกือบครึ่ง เลยต้องมาหากินเกี๊ยวร้อน ๆ ที่ร้านเหล่าจางสักชาม”

เอี๋ยนเฉาเอาแต่พูดเองเออเอง ทั้งยังจะยื่นมือไปหยิบเกาลัดตรงหน้าของจี้จือฮวนอีก

“แค่ก ๆ ๆ !” ทว่าอาควนกลับไอจนปอดแทบจะหลุดออกมา เพื่อบอกเป็นนัย ๆ ให้เอี๋ยนเฉาเก็บมือเก็บไม้ของตัวเองหน่อย หากถูกตัดขึ้นมาคนรับใช้อย่างเขาก็คงไม่สามารถช่วยได้

เอี๋ยนเฉาจึงหดมือกลับอย่างเขินอาย พลางยิ้มให้ทั้งสองคนภายใต้สายตาอาฆาตของเผยยวน

“เจ้าออกมาได้อย่างไรกัน?” เผยยวนไม่คิดจะไปที่คุกของราชสำนักเพื่อเอาตัวเขาออกมาแต่อย่างใด เจ้าเด็กนี่ควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง

“ข้าทำความดีความชอบ ไท่ซ่างหวงจึงให้คนปล่อยตัวข้าออกมา” เอี๋ยนเฉายังเลิกคิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิใจอีกด้วย

“พวกเจ้าว่าไท่ซ่างหวงรู้จักข้าได้อย่างไรกัน เพราะการกระทำอันชาญฉลาดและยิ่งใหญ่ของข้าแพร่กระจายออกไปใช่หรือไม่!?” เอี๋ยนเฉาส่ายหน้าอย่างมีความสุข “เฮ้อ ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องมีคนเห็นถึงความฉลาดของข้า”

แน่นอนว่าจี้จือฮวนกับเผยยวนไม่มีทางบอกเขา ว่าไท่ซ่างหวงตอนนี้ก็อยู่ที่กลุ่มกองเรือเช่นกันบราวนี่ออนไลน์

เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านป้าที่ไปหลูโจวจะปลอดภัยดีหรือไม่

หลูโจว

หิมะตกเต็มท้องฟ้า ชาวบ้านหลูโจวจำนวนมากต่างมารวมตัวกันที่ประตูของที่ว่าการ

กองทัพเกราะเหล็กตั้งแถวอยู่ข้างนอก เซี่ยวั่งซูจูงมือของเผยจี้ฉือเดินออกมาจากด้านใน เสิ่นหงเหวินสวมเครื่องแบบอย่างเป็นทางการของผู้ว่าการ เมื่อนางเดินออกมาเขาก็เป็นผู้นำสะบัดชายเสื้อคลุมและทำความเคารพอย่างเป็นทางการ

บรรดาชาวบ้านต่างก็คุกเข่าลง “เมืองหลูโจว ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ พระราชนัดดาพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”

เมื่อสองวันก่อนคลื่นลูกสุดท้ายของกระแสน้ำขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุดสำหรับคนทั้งเมืองในการต่อสู้กับน้ำท่วมได้พัดมา องค์หญิงใหญ่และพระราชนัดดาก็ไม่ได้ออกจากหลูโจวไปไหน แต่กลับปรากฏตัวบนเขื่อนพร้อมกับพวกชายชาตรีที่แข็งแรง

ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพวกเขา และฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน

พวกเขานำเสบียงมาด้วยจำนวนมาก และยังนำความหวังมาสู่เมืองหลูโจวด้วย พวกเขาสามารถสร้างเขื่อนได้ และยังเปิดช่องทางน้ำของมณฑลอื่น ๆ ซึ่งสามารถขุดลอกก้นแม่น้ำที่เดิมเป็นตะกอนทับถมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ได้สำเร็จ

ทั้งยังมีเงินสำหรับการบรรเทาภัยพิบัติเหลืออีกมาก เมืองหลูโจวผู้คนสามัคคีร่วมใจกันเพื่อสร้างเขื่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอีกนับไม่ถ้วนในภายภาคหน้า

เซี่ยวั่งซูมองไปยังคนมากมายที่คุกเข่าอยู่ ก่อนจะผลักเผยจี้ฉือเบา ๆ

“ลุกขึ้นเถอะ” ทว่าเผยจี้ฉือหาได้ตื่นกลัวไม่ เขาก้าวไปข้างหน้าและออกคำสั่งเสียงดัง

“พระราชนัดดาพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นฎีการาษฎรของพวกเรา

นี่เป็นฉัตรราษฎรที่พวกเราเย็บกันข้ามคืนเพื่อทั้งสองพระองค์ ขอพระราชนัดดานำไปใช้เพื่อคุ้มกัน พวกเราจะได้สบายใจด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฎีการาษฎร ทุกถ้อยคำย่อมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หลายปีมานี้เจ้าหน้าที่ของราชสำนักเอารัดเอาเปรียบเช่นไร เหล่าราษฎรแต่ละคนได้ประทับรอยนิ้วมือเอาไว้ หากราชสำนักไม่ยอมรับ นั่นก็เท่ากับปล่อยให้ทรราชครองอำนาจ

ไม่ว่าในราชวงศ์ใดหรือยุคสมัยใด หากได้รับฎีการาษฎรแล้วแต่กลับไม่พูดอะไร ล้วนต้องถูกผู้คนทั้งใต้หล้าเกลียดชัง

ความดีความชอบขององค์หญิงใหญ่และพระราชนัดดาไม่สามารถถูกกลบฝังได้ สาเหตุของหายนะในเมืองหลูโจวเกิดจากแมงเม่าของราชสำนัก จึงไม่สามารถปล่อยผ่านไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้

โครงการสร้างเขื่อนยังมีระยะเวลาอีกนับสิบปี ไม่ใช่จะแล้วเสร็จได้ในชั่วข้ามคืน และที่มีวันนี้ได้ ผู้ใดเป็นคนทำให้พวกเขา ผู้ใดร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเขา เหล่าราษฎรมีตา มีหัวใจเป็นของตัวเองจึงสามารถมองเห็นได้

“ผู้ว่าการเสิ่น”

เสิ่นหงเหวินคลานเข่าเข้ามาสองก้าว “พระราชนัดดา”

“นี่คือพระราชโองการจากไท่ซ่างหวง นับแต่นี้ไปเขื่อนหลูโจวต้องมอบให้ท่านแล้ว หากพบเจ้าหน้าที่ทุจริตอย่างเมิ่งซื่ออีก สามารถลงโทษได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งราชสำนัก”

นี่เกินกว่าอำนาจของผู้ว่าราชการมาก

“พระราชนัดดา?”

“ท่านเพียงแค่บอกข้ามาว่าท่านสามารถทำได้หรือไม่ ให้ความตั้งใจเดิมคงอยู่ สร้างเขื่อนให้สำเร็จ คืนความมั่นคงให้แก่หลูโจว”

“กระหม่อมจะทุ่มเทพลังและจิตใจ ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ”

เสิ่นหงเหวินยกมือสองข้างขึ้นสูง รับราชโองการอันหนักอึ้งไว้ในมือ นับแต่นี้ไปเขายังต้องดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการของแม่น้ำหลูโจวด้วย

เผยจี้ฉือประคองเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง “ผู้ว่าการเสิ่น เมืองหลูโจวต้องมอบให้ท่านแล้ว”

“กระหม่อมมิกล้า”

เผยจี้ฉือตบหลังมือของเขาเบา ๆ จากนั้นจึงหมุนกายไปประคององค์หญิงใหญ่ขึ้นรถม้า

ถูลี่ในฐานะท่านข่านของถู่เจีย ครั้งนี้เพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองแคว้น ก็มอบกำลังคนและลงแรงไปไม่น้อย ชาวเมืองหลูโจวจึงรักเขาเช่นกัน

มีหญิงสาวที่มีความกล้าหลายคนโยนถุงหอมขอพรที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างมากของที่นี่ให้แก่เขา ถูลี่จึงเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มออกมา สตรีชาวจงหยวนก็ไม่ใช่จะขี้อายกันทั้งหมด

ก่อนเผยจี้ฉือจะขึ้นรถม้า ได้มองหาเสิ่นเยี่ยนชิวท่ามกลางฝูงชนเล็กน้อย ในที่สุดก็เดินไปตรงหน้าของนางแล้วเอ่ยขึ้นมา “หนังสือที่ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าอยากอ่าน อาจารย์ข้าน่าจะมี ถึงเวลาข้าจะฝากให้คนเอามาส่งให้เจ้า”

เสิ่นเยี่ยนชิวมองหม่าซานเหนียงเล็กน้อย แล้วจึงย่อตัวลงคำนับเผยจี้ฉือ “ขอบพระทัยพระราชนัดดาเพคะ”

เผยจี้ฉือเม้มริมฝีปาก “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”

เสิ่นเยี่ยนชิวเห็นเขาหมุนกายจากไป ก็เดินตามไปสองก้าวแล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “เช่นนั้นข้าเขียนจดหมายให้พระองค์ได้หรือไม่เพคะ ข้าวาดภาพเป็น ข้าสามารถวาดทิวทัศน์ของเขื่อนออกมาให้พระองค์ได้”

เผยจี้ฉือจึงได้เผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา “ได้สิ แต่เจ้าเรียกข้าว่าอาฉือเถอะ พวกเรานับว่าเป็นสหายกันแล้ว”

เสิ่นเยี่ยนชิวจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

สายมากแล้ว เพื่อจะรีบกลับไปให้ถึงเมืองหลวงและอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคนโดยเร็ว ดังนั้นจึงถึงเวลาต้องกล่าวคำอำลาแล้ว

องค์หญิงใหญ่โบกมือไปมา ทว่ากลับไม่สามารถห้ามความกระตือรือร้นของชาวบ้านได้ พวกเขาไม่มีของมีค่าอะไรมามอบให้ แต่ฉัตรราษฎร ผ้าอวยพร พวกเขาสามารถทำได้

ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่ขบวนออกเดินทาง พวกเขายังเดินตามหลังมาเพื่อส่งพวกเขา จนกระทั่งออกมาถึงนอกเมืองก็ยังคงเฝ้าดูพวกเขาที่เคลื่อนออกห่างไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลับสายตาไป ทว่ายังคงได้ยินพวกเขาร้องเพลงพื้นบ้านของหลูโจวเพื่อส่งพวกเขาอยู่

.

.