“ถ้าทำงานที่บ้านข้า ข้าไม่ทำอาหารให้นะ แต่จะให้ทุกคนสองอีแปะเป็นค่าอาหาร” โจวกุ้ยหลานเอ่ยอีก

“ยังให้อีกสองอีแปะ?” หวังโหยวเกินตะลึงหนักกว่าเดิม เปลี่ยนสายตาที่มองโจวกุ้ยหลาน

บ้านนอกขาดสิ่งใด? เงิน! ค่าอาหารสองอีกแปะต่อวันต่อคน ถ้ากลับไปกินที่บ้าน อย่างนั้นจะประหยัดได้อีกสองอีแปะ ทำไมจะไม่ดี?

“แบบนี้จะจ้างคนได้หรือไม่?” โจวกุ้ยหลานเห็นหวังโหยวเกินนิ่งเงียบค่อนวัน พลันเอ่ยถาม

หวังโหยวเกินเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง “ได้! วันละสิบอีแปะ ทำงานอยู่ปากประตูบ้านตัวเอง ใครบ้างจะไม่ยินดี? กุ้ยหลาน แต่เจ้ามีเงินมากไหม?”

“เรื่องเงินน่ะมี อาเกินไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะจ่ายเงินค่าจ้างให้เป็นวัน”

ครั้นได้ยินโจวกุ้ยหลานกล่าวเช่นนี้ หวังโหยวเกินก็โล่งอก

เขาแค่กลัวว่าหากสร้างบ้านนางจนเสร็จแล้วไม่ได้เงิน คนในหมู่บ้านจะไม่ด่าทอเขาลับหลังหรือ? แล้วต่อไปก็อย่าคิดจะเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกเลย

อีกอย่าง ถ้าบุตรชายของเขาไปทำงานได้ รวมกับตัวเขาเอง นั่นหนึ่งวันมิต้องได้หลายสิบอีแปะหรือ?

ครั้นคิดเช่นนี้ หวังโหยวเกินก็หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นมา

แม้ครอบครัวเขาจะสุขสบายกว่าคนอื่นมาก แต่หากว่ากันตามจริง ผู้ใดจะรังเกียจเดียดฉันท์ที่เงินเยอะ?

“ได้ เรื่องนี้ข้าจะช่วยเจ้าถามให้ เจ้าต้องการกี่คน?”

เห็นเขารับจะเป็นธุระให้ โจวกุ้ยหลานก็โล่งอก พลันตอบ “มีกี่คนก็เอาทั้งนั้น แต่ต้องซื่อสัตย์เชื่อถือได้ ขยันขันแข็ง ไม่ต้องให้พวกเราคอยเฝ้า อาเกินรู้จักคนในหมู่บ้านดีที่สุด ข้าก็เลยอยากขอให้ท่านช่วยนี่แหละ ช่วยข้าหาคนที่เชื่อใจได้หน่อย ส่วนปกติก็ช่วยข้าควบคุมคนพวกนี้ ข้าจะให้ท่านดื่มน้ำชาวันละยี่สิบอีแปะ”

ยี่สิบอีแปะ!

สุดยอดไปเลย! เขาจะไปหาเงินมากขนาดนี้ได้ที่ไหน?

ที่สำคัญที่สุดคือ กุ้ยหลานมอบหมายงานนี้ให้เขา นั่นนับเป็นการยกย่องเขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน!

พอคิดอย่างนี้แล้ว สายตาที่มองโจวกุ้ยหลานก็อ่อนโยนมาขึ้นอีกหลายส่วน รู้สึกว่านางรู้ความ

พลันจึงตบหน้าอกตัวเองเอ่ย “ได้ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ รับรองว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยสวยงาม!”

ที่นางต้องการก็คำนี้นี่แหละ

โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้มเอ่ย “ท่านอาว่าอย่างนี้ข้าก็วางใจ เรื่องนี้ข้ากับฉางหลินจะพูดมากก็ไม่ดี ก็เลยได้แต่มาขอให้ท่านช่วย ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงได้แต่ไปหาคนที่ช่วยพวกเราสร้างบ้านเมื่อคราวก่อนแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน พวกเราไม่อยากเอาเงินให้คนนอกมีรายได้”

ครั้นหวังโหยวเกินได้ยินก็เข้าใจในความหมายของโจวกุ้ยหลานทันที หากคนในหมู่บ้านทำไม่ได้ เกรงว่านางต้องไปหาคนข้างนอกแล้ว เรื่องดีเช่นนี้จะให้หมู่บ้านอื่นแย่งไปได้อย่างไร?

หากแพร่ออกไป เขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

“วางใจเถอะ คนในหมู่บ้านเราทำงานเก่งกว่าคนหมู่บ้านอื่นอีก เจ้าจะเอาคนเมื่อไร?”

โจวกุ้ยหลานรู้ว่าการเตือนทางอ้อมเกิดเป็นผลแล้ว พลันตอบ “วันมะรืนพวกเราก็เตรียมจะเริ่มแล้ว อยากให้แล้วเสร็จก่อนปีใหม่ แผนภาพบ้านพวกเราวาดแล้ว ถึงตอนนั้นยังต้องอาศัยท่านอาช่วยดูเป็นหลักด้วย”

“อย่างนั้นข้าจะไปเรียกคนเดี๋ยวนี้แหละ!”

หวังโหยวเกินเอ่ยพลางลุกขึ้น

โจวกุ้ยหลานก็ไม่อยากรั้งให้เขาเสียเวลา จึงพาเจ้าก้อนน้อยบอกลาแล้วกลับ

พอเดินมาถึงลานบ้าน โจวกุ้ยหลานเอ่ยทักทายกับซิ่วเหลียน “อาสะใภ้ ข้าจะกลับแล้ว ท่านค่อยๆ ทำงานไปเถอะ”

“ได้ ค่อยเดิน” ซิ่วเหลียนตอบกลับอย่างขอไปที แล้วทำงานแปลงผักของตัวเองต่อ โจวกุ้ยหลานไม่ใส่ใจ พาเจ้าก้อนน้อยเดินออกไป

กระทั่งพวกเขาออกจากบ้านแล้ว หวังโหยวเกินก็เดินออกมา ตะโกนเรียกซิ่วเหลียน “ไม่ต้องทำของพวกนั้นแล้ว รีบช่วยข้าไปตามคนเถอะ ให้ผู้นำตระกูลเหล่านั้นในหมู่บ้านเรามาประชุมกันที่บ้านข้าเร็ว ข้ามีเรื่องจะพูด”

“เรื่องอะไรต้องรีบร้อนอย่างนั้น เอาไว้ให้ข้ารดน้ำผักกาดขาวเสร็จแล้วค่อยไปเรียกให้เจ้าแล้วกัน”

ซิ่วเหลียนตอบกลับยังไม่เห็นเป็นสำคัญก่อนจะรดน้ำแปลงผักของตัวเองต่อ

“ยัยแก่นี่ช่างไม่รู้จักธุระหนักเบาสำคัญไม่สำคัญ นี่เป็นเรื่องดีมาก! เรื่องดีเกี่ยวกับการมีรายได้! รีบไปเรียกให้ข้าเร็ว ไม่อย่างนั้นงานดีๆ วันละยี่สิบอีแปะของข้าก็จะลอยไปแล้ว!”

หวังโหยวเกินตะคอกด้วยความร้อนใจ

“อะไรนะ? เจ้าได้วันละยี่สิบอีแปะ? มีเรื่องดีอย่างนี้ด้วยหรือ?” ซิ่วเหลียนโยนกระบวยตักน้ำในมือทิ้ง ปัดมือสาวเท้าไปทางหวังโหยวเกิน

หวังโหยวเกินถลึงตาใส่นางหนักๆ “เบาหน่อยไม่ได้หรือ? คนอื่นได้ยินเข้าจะทำอย่างไร?”

ว่าแล้วก็บอกเล่าเรื่องที่โจวกุ้ยหลานหารือกับเขาให้ภรรยาฟังรอบหนึ่ง

ซิ่วเหลียนได้ฟังก็ตะลึง ตบหน้าขาฉาดแล้วพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ไอ้หยา เมื่อกี้ข้ายังนึกว่านางจะมารบกวนเจ้าเสียอีก ใครจะคิดว่าเป็นเรื่องดีอย่างนี้? รู้แต่แรกข้าก็พูดกับนางดีๆ แล้ว ให้พี่น้องบ้านแม่ข้ามาทำงานนี้ด้วยสิ”

หวังโหยวเกินทำตาขวางใส่ “ทำไมมีเรื่องอะไรก็เอาแต่นึกถึงบ้านแม่ของตัวเอง? นี่มันงานในหมู่บ้าน รู้หรือไม่? เรื่องนี้ให้คนในหมู่บ้านทำจะดีกว่า ถ้าเรียกพี่น้องบ้านแม่เจ้ามาหมด คนในหมู่บ้านมิต้องโวยวายยกใหญ่หรือ? เจ้ารังเกียจที่ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านสบายๆ ใช่ไหม?”

“ข้าก็ใช่จะว่าไม่จริง ข้าจะไปตามคนเดี๋ยวนี้แหละ!” ซิ่วเหลียนเอ่ยแล้ววิ่งออกไปข้างนอก

โจวกุ้ยหลานพาเจ้าก้อนน้อยกลับถึงบ้านตัวเอง ทำงานบ้านในบ้าน แล้วให้เจ้าก้อนน้อยเล่นเองพักหนึ่ง

นอกบ้านทุกคนพากันวุ่นจ้าละหวั่น ผู้นำตระกูลของตระกูลเหล่านั้นพอได้ข่าวก็รีบประชุมกับสมาชิกในบ้านของตนทันที สั่งการเรื่องนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างอยากได้งานดีๆ แบบนี้ ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงเอ่ยปากว่าเรื่องนี้เขาจะเป็นผู้ตัดสินเอง ให้ทุกคนมาพูดที่บ้านเขา ไม่ต้องไปบ้านตระกูลโจว

คนจำนวนมากที่คิดหาช่องทางต่างเอาไข่ไก่อะไรบ้านตนไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน อยากฉกฉวยงานนี้ไว้ ได้ของดีมาไม่น้อย ซิ่วเหลียนจึงดีใจยกใหญ่

แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้รับทั้งหมด เลือกคนที่มีพฤติกรรมดีเอาไว้ ไม่เก็บพวกเหลาะแหละเอาไว้สักคน ต่อไปเขายังต้องควบคุมคนพวกนี้อีก หากรับเข้ามา นั่นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว อีกอย่างเขาไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าโจวกุ้ยหลานด้วย ไม่อย่างนั้นนางจะไปหาคนหมู่บ้านอื่น

เพียงวันเดียว ผู้ใหญ่บ้านก็เลือกคนเสร็จแล้วและมาที่บ้านโจวกุ้ยหลานในยามบ่าย บอกเล่าสถานการณ์กับนาง

หวังโหยวเกินเลือกคนร้อยกว่าคนให้โจวกุ้ยหลานดู พอโจวกุ้ยหลานเห็นรายชื่อในนั้นก็จำได้ว่าเป็นคนขยันทำงานไม่ก่อเรื่อง พลันรู้สึกว่าหวังโหยวเกินพึ่งพาได้

“ท่านอา ดีทั้งนั้น ท่านจัดการเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ!” โจวกุ้ยหลานชมเชย

หวังโหยวเกินพึงพอใจที่อีกฝ่ายไม่พูดมาก พลันเอ่ย “ยังมีอีกหลายคนที่ข้าไม่ได้บอก กลัวว่าเจ้าจะใช้คนไม่มากอย่างนั้น ร้อยว่าคนนี่เอามาให้เจ้าเลือก ข้าว่ายี่สิบกว่าคนก็พอแล้ว”

โจวกุ้ยหลานก็พึงพอใจมากเหมือนกัน หยิบผ้าขาวผืนนั้นขึ้นมา แจกแจงบ้านที่จะสร้างกับหวังโหยวเกิน ทันใดนั้นเขาก็พลันตาค้าง