บทที่ 329 การเต้นรำรอบแรก

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 329 : การเต้นรำรอบแรก

ทันทีที่เขาสบตากับจี้ป๋อหนง หลินเจี๋ยก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทันที

เขาเป็นพวกที่ประคบประหงมลูกสาวจะตายไป จะปล่อยให้เธอถูกคนอื่นตำหนิต่อหน้าได้อย่างไรล่ะ?

ถ้าพูดด้วยเหตุผลแล้ว เขาก็แค่ต้มซุปไก่เยียวยาจิตใจ…

แค่ก ๆ แค่ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาจนได้ลูกค้าประจำมาเท่านั้นเอง แล้วอีกฝ่ายก็ให้ของขวัญที่ไม่แพงมากแก่เขาด้วย…

แจ่ม! ฟังดูเหมือนขั้นตอนการทำงานของนักต้มตุ๋นดีแท้

อันดับแรกก็ซื้อใจก่อน แล้วก็ใช้สารพัดวิธีในการหลอกเอาเงินมาบำรุงตัวเอง จากนั้นก็เขี่ยอีกฝ่ายทิ้งแล้วหอบเงินหนีไป

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ช่วยเธอแก้ปัญหาอย่างจริงจังนะ…

ในเมื่อในตอนนั้นจี้ป๋อหนงก็มาด้วยตนเองแล้วกลับไปอย่างสันติสุข ปล่อยให้จี้จือซู่เชิญเขาให้ร่วมมือ นั่นก็คงเป็นเพราะเขายืนยันแล้วว่าเจ้าของร้านหลินเป็นคนดี…

…ใช่ไหม?

หลินเจี๋ยระลึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับจี้จือซู่ก่อนหน้านี้อย่างระมัดระวังขึ้นมาเร็วจี๋ รวมถึงคำพูดและการกระทำของเขาเองในระหว่างนั้นด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ไปพูดอะไรหยาบคายกับมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของนอร์ซินเข้า และยังให้เกียรติเขาในระดับหนึ่งด้วย

อืม…ถึงกับบอกไปด้วยนี่ว่าครั้งหน้าถ้าพบจี้ป๋อหนง เขาจะให้หนังสือเป็นของขวัญสักเล่มด้วย

ครั้งนี้ เขาเตรียมของขวัญที่จะให้ไว้ในแดนนิมิตของเขาแล้ว เนื่องจากจี้ป๋อหนงเป็นนักธุรกิจ เขาจึงเลือกหนังสือเศรษฐศาสตร์ให้เป็นพิเศษ นั่นก็คือ ‘การสอบสวนธรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะดูไม่ค่อยมีประโยชน์นักสำหรับโครงสร้างธุรกิจผูกขาดที่ผิดปกติของนอร์ซิน แต่ว่ากันว่าหอการค้าแอชพบเส้นทางใต้ดินเส้นที่สองเข้าแล้ว บางทีการปกครองผูกขาดของบริษัทโรลล์ก็คงใกล้แตกสลายในไม่ช้า?

นอกจากนี้ หนังสือปูพื้นฐานเศรษฐศาสตร์จากต่างโลกเล่มนี้ยังถูกเรียกขานในนามคัมภีร์ไบเบิ้ลด้านเศรษฐศาสตร์ตะวันตกอีกด้วย มันอาจจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เขาได้ไม่มากก็น้อย

อย่างน้อย จากวิสัยทัศน์ของจี้ป๋อหนง เขาก็น่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการจากหนังสือเล่มนี้

หลินเจี๋ยรู้สึกว่าของขวัญชิ้นนี้เหมาะสมแล้ว และมีโอกาสที่เขาจะได้ลูกค้าใหม่อีกต่างหาก ดังนั้นความอับอายก่อนหน้านี้ก็ลืม ๆ ไปเถอะ

อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็เป็นแขกที่ได้รับเชิญมาอย่างถูกต้องด้วย ดังนั้นเขายังต้องกลัวอะไรอีก?

แถมเรื่องนี้ คนผิดจริง ๆ แล้วก็คือจี้ป๋อหนงเองด้วยนี่?

มหาเศรษฐีคนนี้นี่ขี้เล่นจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาก็คิดอยู่ว่าคุณหนูจี้จะออกมาตามใจชอบโดยไม่มีคนอื่นสอบสวนเรื่องราวได้อย่างไร ที่แท้เขาก็เล่นบทตามพ่อไปออกรบ…แล้วปลอมเป็นคนขับรถมาลองเชิง

‘เอาเงินสองล้านนี่ไป แล้วอย่ามาวอแวคุณหนูอีก’

ซะอย่างนั้นล่ะ!

นี่ไม่ใช่การแสดงความจริงใจเลยสักกะผีก!

ของในกระเป๋าที่ให้เจ้าดำกินไป ก็ถือว่าแทนคำขอโทษที่หลอกผมแล้วกันนะ!

ทันทีที่เจ้าของร้านหลินคิดถึงจุดนี้ หลังของเขาก็เหยียดตรงขึ้นทันที

ชายหนุ่มป้องปากกระแอมกระไอ ปรับสีหน้า เผยรอยยิ้มเปิ่น ๆ แต่สุภาพให้จี้ป๋อหนงแล้วยกแก้วไวน์ที่ใช้ปิดหน้าตัวเองขึ้นเล็กน้อยราวกับจะอำนวยอวยพร

จี้ป๋อหนงที่ยืนอยู่กลางห้องโถงตะลึงไป แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดครู่หนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ซับซ้อนอย่างมากและเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงแทบมองไม่ออกเลยว่าเขาดีใจหรือ…อย่างไร?

หลินเจี๋ยประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้าที่ปนเปนั้นคงจะเป็นความตื่นเต้นระคนดีใจ และยังมีอารมณ์ที่เข้าใจได้ยากปนอยู่อีกด้วย ทำให้ดวงตาสีเทาของจี้ป๋อหนงเปล่งประกายวาบ

แต่การเห็นเขามันน่าตื่นเต้นตรงไหน?

ทว่าความเคลือบแคลงของหลินเจี๋ยก็คงอยู่ได้เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ เพราะหลังจากนั้นจี้ป๋อหนงก็วางตัวเหมือนเจ้าภาพงานเลี้ยงทั่วไป เขายิ้มอย่างใจเย็นแล้วยกแก้วไวน์ทักทายหลินเจี๋ยตอบ

ดูเหมือนว่าสีหน้าแปลก ๆ เมื่อครู่จะเป็นแค่การคิดไปเอง

หลินเจี๋ยยังคงยิ้ม ลดแก้วไวน์ลงแล้วส่ายหน้า คิดว่าบางทีเขาคงคิดไปเองจริง ๆ…

ประธานผู้ทรงเกียรติของบริษัทโรลล์คงไม่แสดงสีหน้าไร้มารยาทแบบนั้นออกมาหรอก

แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น นี่ก็ถือเป็นการ ‘พบปะโดยบังเอิญแล้วคลายความขุ่นข้องหมองใจ’ จากนี้ไปเราก็สามารถร่วมมือกับบริษัทโรลล์ได้อย่างราบรื่นขึ้น…

หลินเจี๋ยคิดพลางเห็นจี้ป๋อหนงเดินจากไป แล้วเขาก็หันกลับมาเตรียมพูดคุยกับว่าที่ลูกค้าคนใหม่ทั้งสองที่เขาเพิ่งได้รู้จัก

แต่เมื่อเขาหันกลับมา ก็พบว่าทั้งสองคนกลับนิ่งค้างอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าต่างที่กัน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

หลินเจี๋ยเดินเข้าไปใกล้แล้วโบกมือตรงหน้าทั้งสอง “ทึ่งที่ประธานจี้เดินเข้ามาอย่างเท่เหรอครับ?”

เฟจรีบดึงสติกลับมาก่อนแล้วรีบส่ายหน้า จะให้เขาถามตรง ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้ข่าวที่ผู้เชี่ยวชาญประกาศออกมาก่อนเวลาได้อย่างไร อีกฝ่ายก็คงตอบเลี่ยง ๆ ว่าเป็นเรื่องฟ้าฝนอยู่ดี ดังนั้นจึงพูดอย่างเขิน ๆ ด้วยรอยยิ้ม

“เปล่าครับ ผมแค่กำลังคิดว่าในเมื่อนี่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณหนูจี้ การเต้นรำแรกก็ควรให้เธอเปิดฟลอร์ก่อน แต่ไม่รู้ว่าเธอจะเลือกใครในหมู่แขกมาเป็นคู่เต้น…”

เอิ่มมม…

หลินเจี๋ยลูบคาง นี่เป็นปัญหาจริง ๆ ด้วยแฮะ

ไม่รู้ทำไม จู่ ๆ เขาก็สังหรณ์ร้ายขึ้นมาในเรื่องนี้?

เยด้าที่อยู่ใกล้ ๆ ดูลังเลเหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า

หลินเจี๋ยมองเห็นว่าเธอเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามก่อน “คุณเยด้ามีอะไรอยากพูดกับผมหรือเปล่าครับ? ไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าอยากถามก็ถามได้เลย”

เยด้ามองไปรอบ ๆ แล้วเข้ามาถามใกล้ ๆ ด้วยเสียงเบา ๆ “คุณรู้จักคุณจี้เหรอคะ? หมายถึงไม่ได้รู้จักผิวเผินอย่างเรา ๆ ทั่วไป หรือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกัน คุณดูเหมือนมีมิตรภาพส่วนตัวกับประธานบริษัทโรลล์อยู่เลย?”

เธอลดเสียงลงอีก “ฉัน…เห็นคุณยกแก้วไวน์ให้คุณจี้ป๋อหนงเมื่อกี้ แถมจากชื่อแล้ว คุณก็น่าจะมาจากทางเหนือด้วยใช่ไหมคะ?”

เยด้าเคยคิดว่า ‘ฟ้าผ่าย้อนกลับ’ น่าตกใจพอแล้ว แต่เธอไม่คิดเลยว่านาทีต่อมา เธอจะได้เห็นหลินเจี๋ยยกแก้วไวน์ไปทางหนึ่ง

เมื่อมองตามไป สุดท้ายเธอก็เห็นภาพจี้ป๋อหนงเริ่มยกยิ้มด้วยอารมณ์ที่ปั่นป่วน

นั่นไม่ใช่การตอบโต้อย่างสุภาพอย่างแน่นอน เพราะจากฐานะของจี้ป๋อหนง หากมีคนทั่วไปยกแก้วไวน์ให้เขา เขาจะทำเพียงทักทายตอบอย่างสุภาพ

ไม่ว่าจะดูสูงส่งหรือถือตัวแต่ไหน จี้ป๋อหนงมีคุณสมบัติพอจะทำเช่นนี้แน่นอน ยิ่งกว่านั้น เขายังทำเช่นนั้นจริง ๆ

เว้นเสียแต่เขาอยากจะพูดกับอีกฝ่ายเอง ไม่เช่นนั้น เขาก็อาจจะไม่ไว้หน้าแม้แต่คนที่เขตกลางส่งมา

คนที่ควรค่าให้เขาพูดคุยด้วยบางทีอาจจะมีไม่กี่คน…แต่หลินเจี๋ยตรงหน้าเธอกลับเป็นหนึ่งในนั้นได้

การคาดเดาในใจของเยด้าก้าวขึ้นไปอีกขั้น คุณหลินคนนี้ต้องมีฐานะสำคัญมากแน่ ๆ ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้จักกับจี้ป๋อหนงในระดับหนึ่ง จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงรู้ข้อสรุปของผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จี้ป๋อหนงจะพูดออกมาได้…

หลินเจี๋ยพูดไม่ออก เขาไม่รู้จะอธิบายปัญหาการแปลภาษาอัตโนมัติระหว่างทั้งสองฝั่งอย่างไรดี

“ถึงแม้ว่าชื่อของผมจะมีรูปแบบเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณจี้เลยนะครับ…”

“แต่ถ้ายืนกรานให้ผมต้องพูด ที่จริงแล้วคนที่ผมคุ้นเคยด้วยจะเป็นคุณหนูจี้มากกว่าครับ”

เยด้าและเฟจตะลึง “คุณหนูจี้?”

หลินเจี๋ยพยักหน้า “คุณหนูจี้เป็นแขกของร้านหนังสือของผมครับ ที่จริงความสัมพันธ์ของเราก็ธรรมดามาก ๆ ผมก็แค่ขายหนังสือให้เธอหลายเล่ม แล้วช่วยเธอแก้ปัญหาบางอย่างเท่านั้นเอง เธอเป็นแค่แขกธรรมดา หรืออย่างมากก็เพื่อน…ที่เชื่อใจกันได้ แล้วเธอก็เป็นคนให้บัตรเชิญกับผมมาครับ”

สีหน้าของเยด้าพลันเปลี่ยนไปเป็นพิลึกพิลั่น “แค่เพื่อนธรรมดา?”

หลินเจี๋ยพยักหน้า “ครับ…”

“คุณหลินอยู่นี่เอง ฉันกำลังมองหาอยู่พอดีเลยค่ะ”

เสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง หลินเจี๋ยหันไปมองแล้วก็พบสาวงามในชุดราตรีสีดำประดับดอกกุหลาบแดงที่อกเดินมาหาเขาอย่างแช่มช้า

ดวงตาสีเทาเหล็กของเธอเปล่งประกายสว่างไสว ต้นขาเรียวสวยของเธอปรากฏจากใต้เสื้อผ้าของเธอเล็กน้อย และมือเพรียวบางของเธอก็ยกผมขึ้นทัดหู เผยให้เห็นต่างหูปริซึมสีแดง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้คนรอบ ๆ พากันหลีกทางให้ตัวเอกที่แท้จริงของงานเลี้ยงครั้งนี้

สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความวิตกกังวลและความคาดหวัง เธอสูดหายใจลึก ๆ แล้วยื่นมือไปทางหลินเจี๋ย “คุณหลิน ไม่ทราบว่าฉันเชิญคุณเป็นคู่เต้นรอบแรกได้ไหมคะ?”

“…”

หลินเจี๋ยเลิกคิ้วมองมือเรียวยาวในถุงมือยาวสีดำที่ยื่นมาหาเขา แล้วสัมผัสได้ถึงสายตาหลากหลายจากบรรดาแขกที่มองมาทางเขา

แม้ว่าสถานที่และบรรยากาศจะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกไม่มีผิด

ในตอนนั้น จี้จือซู่ที่ตัวเปียกโชกเดินเข้ามาในร้านหนังสืออย่างกระอักกระอ่วนดูเหมือนจะสวมชุดราตรีสีดำเหมือนกัน…ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอจะเปล่งประกายต่างกับเมื่อก่อนมากแค่ไหนแล้ว?

หลินเจี๋ยจับมือข้างนั้นแล้วยิ้มอย่างฝืน ๆ “แน่นอนครับ”