บทที่ 323 ภาพลวงตาปรากฏ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 323 ภาพลวงตาปรากฏ

การเกี้ยวพาราสีที่กระทันหัน ถึงกับทำให้หลานเยาเยาเสียวสันหลังวาบ

ผู้คนนี้นี่ ในเวลาเช่นนี้ ยังจะมาทำตัวกะล่อนอีก ควรจะเพลาๆลงบ้าง

แล้วจากนั้น!

ทั้งสองก็แบ่งหน้าที่กัน

คนหนึ่งหันไปบรรเลงกู่ฉิน ค่อยๆบรรเลงท่วงทำนองที่แตกต่างกันออกมา

ส่วนอีกคนก็ใช้พลังภายในในการเคลื่อนเตียงเปลให้เคลื่อนไป พร้อมกับมองไปยังพื้นน้ำแข็งว่ามีกลไกอยู่หรือไม่

ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้ผ่านไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้าแต่ต่อเนื่อง

จนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่แล้ว

โดยหลานเยาเยาได้ให้กับเย่แจ๋หยิ่งไปแล้วห้าถึงหกเข็ม แต่มันก็ยังไม่ได้ผลอะไรดังเคย

ในอุโมงค์แห่งนี้ ไม่มีกลางวันกลางคืน พวกเขาจึงไม่สามารถคำนวณเวลาได้ หลานเยาเยาจึงต้องใช้เวลาในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บมาใช้ในการดูเวลา

จนเวลาผ่านไปเป็นเวลาห้าวันแล้ว

พวกเขาได้ทำเครื่องหมายไว้บนผนังของช่อง ซึ่งในเวลาห้าวันพวกเขาเพิ่งจะเห็นเครื่องหมายเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น สิ่งนี้สามารถทำให้รู้เลยว่าเขาวงกตนี้นั้นใหญ่ขนาดไหน

ส่วนเสียงท่วงทำนองของกู่ฉินก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆ

เย่แจ๋หยิ่งที่ตอนนี้ลมหายใจไม่คงที่ มองไปยังมือของหลานเยาเยาที่ไม่ยอมหยุดบรรเลงกู่ฉิน ความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นมาในดวงตา

มือทั้งสองข้างของนางบวมแดงจนเลือดจะไหลออกมาแล้ว แต่นางก็ยังคงไม่หยุดบรรเลง จนใกล้จะตกอยู่ในภวังค์แล้ว

“เยาเยา เจ้าหยุดบรรเลงเถอะ”เขากล่าวห้ามอีกครั้ง

หลานเยาเยาทำราวกับไม่ได้ยิน แล้วดีดบรรเลงเพลงต่อไป นางปิดตาลง ดีดกู่ฉินไปด้วยพร้อมกับใช้สัมผัสตามภาพลวงตาไปด้วย

แต่ว่า……

นางรู้ว่ารู้สึกว่ากำลังจะเข้าใกล้แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ถึงได้รู้สึกถึงการเกิดขึ้นของภาพลวงตาเพียงแวบเท่านั้น

แต่แล้ว!

มือเรียวยาวข้างหนึ่งก็กดสายกู่ฉินเอาไว้ แล้วเสียงเพลงก็เงียบลง

หลานเยาเยาค่อยๆลืมตาขึ้น มองดูคนที่อยู่ใกล้ด้วยสีหน้าที่โมโหเล็กน้อยอย่างเย่แจ๋หยิ่งแล้ว นางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ก่อนจะสะบัดมือของเขาออกแล้วค่อยพูด

“ข้าไม่สามารถหยุดบรรเลงได้ ข้าเกือบจะหาทางเข้าสู่ภาพลวงตาได้แล้ว ”

แต่ทว่า

เย่แจ๋หยิ่งดึงมือของนางขึ้นมา แล้ววางไว้ตรงหน้านางพร้อมกับพูดออกมา

“เจ้าดูมือเจ้าสิ ว่ามันบวมขนาดไหนแล้ว?”

นิ้วมือทั้งสิบทุกนิ้วทั้งแดงทั้งบวม หากยังดีดบรรเลงต่อไป ผิวของนิ้วต้องลอกออกมาเป็นแน่

สิ่งนี้หลานเยาเยาก็รู้ดี แต่นางจะต้องบรรเลงเพลงต่อไป

แล้ว!

นางจึงได้เงยหน้าขึ้นไปเผชิญหน้ากับเย่แจ๋หยิ่งด้วยสีหน้าที่ยากจะเข้าใจ

“เช่นนั้นท่านสามารถที่จะผลักเตียงออกโดยไม่ใช้กำลังภายหรือไม่?”

เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น หลายวันมานี้ยังจะต้องใช้พลังภายในในการเคลื่อนเตียงอีก แล้วยังเอาแต่จ้องมองไปยังทุกที่เพื่อหากลไกอีก

ซึ่งเขาทำอยู่เช่นนั้นอย่างไม่ยอมหยุดหย่อนเลย

พื้นน้ำแข็งโปร่งใสและสะท้อนแสง หากจ้องเป็นเวลาอาจทำให้ตาบอดได้

ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำไปหมด ลมหายใจไม่คงที่ แต่ก็ยังจะใช้พลังภายในเคลื่อนเตียงเปลไปเรื่อยๆอีก นางพูดผิดตรงไหนกัน?

ได้ยินเช่นนั้น!เย่แจ๋หยิ่งถึงกับนิ่งชา ด้วยความไม่อยากจะเชื่อมองไปยังนาง

แล้วหลานเยาเยาก็ได้พูดต่อ“เช่นนั้นท่านสามารถที่จะไม่จ้องพื้นน้ำแข็งตลอดเวลาได้หรือไม่?หากท่านทำเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับตัวเองให้ดีดกู่ฉิน”

ถึงนางจะดีดบรรเลงกู่ฉินอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกสิ่งอย่างที่เย่แจ๋หยิ่งทำนั้นนางรู้เห็นทั้งหมด

จึงไม่สามารถที่จะให้เขาพยายามอยู่ฝ่ายเดียว

โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง?

นี่ทำให้เย่แจ๋หยิ่งพูดจาไม่ออก เขาได้เพียงมองนางอย่างจดจ่อ ก่อนจะนิ่งเงียบไปนานแล้วจึงได้พูดออกมาด้วยเสียงเบา

“ก็ได้ เช่นนั้นเราทั้งสองพักกันก่อนสักประเดี๋ยวเถอะ”

พูดไป เย่แจ๋หยิ่งเอื้อมมือมาจับนางเอาไว้ แต่กลับหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสกับนิ้วที่บวมแดงของนาง แล้วหยิบขวดยาออกมาจากภายในเสื้อ แล้วทาให้กับนาง

เมื่อเห็นท่าทางที่ระมัดระวังของเขา เพราะกลัวนางจะเจ็บ และเขายังค่อยเป่านิ้วของนางเบาๆอีกด้วย หลานเยาเยาจึงไม่ได้ขยับตัวแล้วปล่อยให้เขาทายาให้กับนางอย่างว่าง่าย

นางรู้ดีว่ายาในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตัวเองนั้นดีกว่ายาที่เย่แจ๋หยิ่งทาให้เป็นหลายเท่า แต่นางก็ไม่คิดทีจะหยิบมันออกมา

เพราะว่าตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งอ่อนโยนเป็นอย่างมาก……

อ่อนโยนถึงกับทำให้นางไม่อยากให้เขาหยุด

ถ้าหาก……

เวลาสามารถหยุดนิ่งได้ นางก็อยากจะให้มันหยุดในช่วงเวลาเช่นนี้

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีถ้าหาก

ไม่เช่นนั้นมันก็คงจะสามารถอยู่ได้นานกว่านี้……

หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งทายาให้กับนิ้วทั้งห้าของนางเสร็จ ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองนาง แล้วก็ได้เห็นนางกำลังมองเขาด้วยดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้า

เขาตื่นตระหนก ก่อนจะถามด้วยเสียงเบาๆ

“ยังเจ็บอยู่งั้นหรือ?”

“ปะ เปล่า”

เมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้อย่างราบคาบ หลานเยาเยาจึงได้แอบกัดปากตัวเอง ก่อนจะรีบดึงมือกลับ

แต่ไม่ทันได้ระวังจนใช้แรงมากเกินไป ทำให้นิ้วมือที่เพิ่งถูกทายาไปเมื่อสักครู่นี้ถูกบาดจนเป็นแผล แล้วเลือดสดๆก็ไหลลงไปยังจิ่วเซียวหวงเพ่ย เลือดถูกดูดเข้าไปทันที และเสียงบรรเลงก็ดังขึ้นมา

“เต๊ง……”

หลานเยาเยาตะลึงงัน จ้องมองไปยังกู่ฉินอย่างจดจ่อ

มันบรรเลงเอง?

เย่แจ๋หยิ่งนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะฉีกผ้าบนชุดของตัวเองแล้วพันแผลให้กับนาง

หลังจากพันแผลเสร็จ ทั้งสองก็จ้องมองไปยังสายกู่ฉินพร้อมกัน

แต่น่าเสียดาย เพราะมันดังขึ้นมาเพียงครั้งเดียว ก็ไม่มีเสียงดังขึ้นมาอีกเลย

ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในแววตาของหลานเยาเยา ทันใดนั้นนางก็หยิบเข็มเงินขึ้นมากำลังจะแทงไปยังนิ้วมือของตัวเอง แต่กลับถูกเย่แจ๋หยิ่งห้ามเอาไว้

“เจ้าจะทำอะไร?”

“เลือด มันกำลังดื่มเลือด ข้าต้องให้เลือดมัน บางทีอาจจะได้ผลก็ได้”

ในเมื่อหลังจากดื่มเลือดแล้ว มันสามารถบรรเลงได้เอง เช่นนั้นนางก็จะให้มันดื่มไปอีกสักหน่อย ไม่แน่มันอาจจะดีใจจนบรรเลงเพลงเองก็เป็นได้

“ไม่ต้อง บางทีกู่ฉินตัวนี้อาจจะไม่ต้องดื่มเลือด”

“หมายความว่าอย่างไร?”

หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งพูดเช่นนี้ออกมา หลานเยาเยาก็ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

ไม่กี่ครั้งก่อน จิ่วเซียวหวงเพ่ยไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดมันก็สามารถบรรเลงได้เอง ครั้งนี้เมื่อดื่มเลือดเข้าไปแล้วมันกลับมีปฏิกิริยา คาดว่าครั้งนี้เลือดอาจเป็นโอกาสเดียวแล้ว

“บางทีมันอาจจะบรรเลงเองแล้ว”

หลังจากกล่าวจบ ดวงตาของเย่แจ๋หยิ่งก็ขยับไปมองยังด้านหลังของนาง โดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังจ้องมองอะไรอยู่ แต่แววตาอันลึกล้ำของเขาฉายแววที่น่าประหลาดใจออกมา ก่อนจะขยับริมฝีปากพูด

“ภาพลวงตาปรากฏแล้ว!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!หลานเยาเยาก็รีบหันหลังกลับไปดู ดวงตาก็ถึงกับเบิกตากว้าง

“ตุบๆๆ……”

เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆดังขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวราวกับเทพเจ้ากำลังเดินยังทางของพวกเขา

คือเขา……

คนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเย่แจ๋หยิ่ง

“โต๊ง……”

ในตอนนั้นเองเสียงกู่ฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เสียงนี้ดังขึ้นมา มันก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาอีก แต่ภาพลวงตานั้นยังคงอยู่ดังเดิม

พอมองดูชายหนุ่มชุดขาวเดินผ่านพวกเขาไป ทั้งสองจึงรีบลงจากเตียงแล้วเดินตามหลังเขาไป

จิ่วเซียวหวงเพ่ยในอ้อมแขนของหลานเยาเยา ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้นมา บทเพลงกู่ฉินก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุดแล้วเสียงบรรเลงกู่ฉินก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ “โต๊งๆๆๆๆๆ”

ท่วงทำนองที่นุ่มนวลและเชื่องช้า แต่ในความไพเราะของมันกลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็น เหมือนกับความเยือกเย็นของชายหนุ่มชุดขาวคนนั้น ……

หลังจากที่เดินตามชายหนุ่มชุดขาวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดเขาก็หยุดเท้าลง

“เป็นที่นี่ได้อย่างไร?”หลานเยาเยาพึมพำกับตัวเอง

ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่กี่วันก่อนนางมายังช่องทางแห่งนี้คนเดียวแล้วได้พบกับชายหนุ่มขาว

ในตอนนั้นนางเองก็ได้ทำเครื่องหมายเอาไว้ด้วย

ชายหนุ่มชุดขาวหยุดลงตรงที่นางได้ทำเครื่องหมายเอาไว้ แล้วลูบมันอย่างเบาๆ