บทที่ 262 ไม่ออมมือ (2)
อีกฟากหนึ่ง เซวียนผิงโหวไม่ได้รับรู้เลยว่าไท่จื่อเฟยได้ประสบพบเจอกับโศกนาฏกรรมใด เขานั่งอยู่บนรถม้าเพื่อกลับจวน ส่วนสารถีภีคือฉังจิ่ง
รถม้าเพิ่งจะเคลื่อนมาได้ครึ่งทาง จู่เขาก็สั่งให้ฉังจิ่งหยุดรถม้า
“ฉังจิ่ง” เขาเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” ฉังจิ่งเหลียวกลับไปแล้วแหวกม่านสบตากับเขา
ภายในตัวรถไม่มีตะเกียง มีเพียงแสงสลัว ทว่าริมทางมีทั้งแสงเทียนและแสงจันทร์ที่ส่องแสงลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้ามา ตกกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาที่นับวันยิ่งดูสง่างามของเซวียนผิงโหว
ฉังจิ่งมองคนไม่เป็น มองไม่ออกว่าคนผู้นี้หน้าตาดีตรงไหน
เซวียนผิงโหวตะโกนถาม “เจ้ามีสิ่งที่กลัวหรือไม่”
ฉังจิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
เซวียนผิงโหวมองเขาด้วยความสงสัย “ไม่มีเลยหรือ”
ฉันจิ่งก้มหน้า “แมลงสาบ”
เซวียนผิงโหว “…”
เจ้าเป็นถึงมือสังหารอันดับหนึ่งแห่งพรรคศาสตร์มืดแต่กลับกลัวแมลงสาบเนี่ยนะ
“สกปรก” ฉังจิ่งอธิบายด้วยสีหน้าขยะแขยง
สมัยเด็กฉังจิ่งเคยกินแมลงสาบเข้าไปตัวหลายตัวตอนกินข้าว นั่นเป็นเพราะมีคนตั้งใจแกล้งเขา ผลปรากฏว่าเขาขยะแขยงจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาพอเห็นแมลงสาบก็จะคิดถึงยามที่ตัวเองกินมัน ขนหัวก็ลุกไปหมด
เซวียนผิงโหวยักคิ้ว เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ยังดีที่อาเหิงกลัวแค่แมว น่าอายน้อยกว่าเจ้า”
มุมปากข้างหนึ่งของฉังจิ่งกระตุกขึ้น เรื่องพรรค์นี้ท่านก็ยังจะแข่งอย่างนั้นหรือ
จะว่าไปแล้ว เซวียนผิงโหวเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าอาเหิงจะกลัวแมว หากมาคิดให้ดีแล้วตัวเขาก็ไม่ใช่พ่อที่ดีสักเท่าไหร่ แม้แต่ลูกชายตัวเองกลัวอะไรก็ยังไม่รู้
เซวียนผิงโหวสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจแล้วเอ่ยขึ้น “อย่าเพิ่งกลับจวน แวะไปที่ตรอกปี้สุ่ยก่อน แล้วก็หาแมวมาให้ข้าสักตัว”
ไม่นานฉังจิ่งก็หาแมวเร่ร่อนตามริมทางมาได้ตัวหนึ่ง เซวียนผิงโหวหิ้วเจ้าแมวจรจัดแสนน่าสงสารตัวนั้นขึ้นมา เขาขมวดคิ้วมุ่น เจ้านี่จะสามารถพิสูจน์ว่าเขาคืออาเหิงได้อย่างนั้นหรือ
ฟ้ามืดแล้วแต่กู้เจียวและเสี่ยวจิ้งคงก็ยังไม่กลับบ้าน เซียวลิ่วหลังจึงตั้งใจว่าจะออกไปตามหา เขาเพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตูเรือนออกมาก็เห็นรถม้าแสนคุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู
เซวียนผิงโหวนั่งอยู่นอกตัวรถ ในเมื่อหิ้วคอเจ้าแมวเร่ร่อนอย่างรังเกียจ
เขาตั้งใจแล้วว่าจะใช้เจ้าแมวตัวนี้ทดสอบเซียวลิ่วหลัง ทว่าเซียวลิ่วหลังดันเดินออกมาจากประตูเสียก่อน
เขายัดเจ้าแมวตัวนั้นใส่อ้อมแขนของฉังจิ่งตามสัญชาตญาณ ก่อนจะใช้ร่างกำยำของตนบังฉังจิ่งไว้จนมิด
เขาลงมือรวดเร็วยิ่งนัก เซียวลิ่วหลังจึงยังไม่ทันเห็นเจ้าแมวตัวนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าเขาท่าทีลับๆ ล่อๆ
เซียวลิ่วหลังไม่สนใจเขา เดินออกไปจากตรอกด้วยสีหน้าเฉยชา
ฉังจิ่งมองแมวจรจัดที่ถูกยัดใส่อ้อมแขนของเขาอย่างกะทันทัน พลางเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่พิสูจน์แล้วหรือขอรับ”
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจ “ไม่พิสูจน์แล้วล่ะ” เอาเป็นว่าไม่ใช้สิ่งนี้เพื่อพิสูจน์ก็แล้วกัน
“เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ฉังจิ่งไม่เข้าใจ
เซวียนผิงโหวถอดหายใจอีกครั้ง “ข้ากลัวว่าเขาจะใช่อาเหิงจริงๆ”
ฉังจิ่งมองแมวจรในอ้อมอก ก่อนจะมองเซวียนผิงโหว “หากใช่ท่านชายอาเหิงก็ดีมิใช่หรือขอรับ”
เซวียนผิวโหวเอ่ยอย่างขมขื่น “ไม่ดี หากใช่เขา เขาก็จะตกใจกลัวเพราะเจ้าแมวตัวนี้”
มือสังหารนั้นไม่ถนัดเรื่องเข้าอกเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนเป็นที่สุด หากกู้เจียวไม่เข้าใจความรู้สึกของแม่นางเหยาที่ต้องเลือกข้าง ฉังจิ่งเองก็ไม่เข้าใจเซวียนผิงโหวที่ระแวดระวังยามอยู่ต่อหน้าเซียวลิ่วหลังเช่นกัน
ฉังจิ่งถาม “แมวตัวนี้จะยังเก็บไว้อยู่หรือไม่ขอรับ”
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้อง แมวเร่ร่อนในจวนก็กำจัดให้หมด”
…
ในที่สุดนางข้าหลวงทั้งสองก็ตามหาไท่จื่อเฟยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรลักเด็กจนเจอที่สวนผลไม้ ในยามนี้แทบจะมองไม่ออกว่าเป็นใบหน้าของไท่จื่อเฟยเลยก็ว่าได้ เมื่อเหล่านางข้าหลวงเห็นว่าหัวโจกที่รุมทุบตีนั้นคือฉินฉู่อวี้ ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
สั่งให้จับตัวไว้นั้นคงเป็นไปไม่ได้ ไท่จื่อเฟยเป็นลูกสะใภ้ของฮ่องเต้ก็จริง แต่ฉินฉู่อวี้นั้นเป็นลูกชายแท้ๆ ของฮ่องเต้กับฮองเฮา
อีกอย่าง ถูกคนกล่าวหาว่าเป็นโจรลักเด็กนั้นช่างน่าขายหน้านัก หากแพร่งพรายออกไปไท่จื่อเฟยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
สุดท้ายแล้วนางข้าหลวงทั้งสองคนก็วานให้คนไปแจ้งกับทางการให้มารับตัวไท่จื่อเฟ่ยออกไป… เอ่อ ไม่สิ หามออกไปต่างหาก
หลังจากกลับมาถึงวัง ฉินฉู้อี้ยังโอ้อวดเรื่องที่ตนไล่ตะเพิดโจรลักเด็กได้สำเร็จกับเสด็จพ่อ ทั้งยังได้รับคำชมจากฮ่องเต้อีกต่างหาก
ณ ตำหนักจวง
หมอกำลังตัดไหมให้กับอันจวิ้นอ๋อง ก่อนจะทำแผลเป็นครั้งสุดท้าย กำชับให้พักผ่อนให้เพียงพอก่อนจะหิ้วกล่องยาแล้วขอตัวลา
บ่าวส่งหมอออกจากเรือน
ราชครูจวงส่งสายตา อู่หยางก็เข้าใจในทันที เขาเดินออกมาจากห้องแล้วปิดประตูทั้งสองบานลงจากด้านนอก
อันจวิ้นอ๋องนั่งพิงหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมขาที่บาดเจ็บของตน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว ท่านปู่รีบเข้านอนเถิดขอรับ”
ราชครูจวงเอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “เซวียนผิงโหวรังแกกันเกินไป แค้นนี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะเอาคืนให้เจ้า”
อันจวิ้นอ๋องหลุบตาลง มุมปากยกยิ้มเจื่อน “ง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือขอรับ เขาเป็นถึงพ่อตาของฝ่าบาท ทั้งยังเป็นพี่ชายของฮองเฮา ทั้งยังกุมอำนาจทหารไว้ในมือ คนนับร้อยน้อมรับบัญชาของเขา ผู้ใดจะกล้าต่อกรกับเขา”
แววตาของราชครูจวงมืดมนลงยิ่งกว่าเดิม “หากไทเฮายังอยู่ในราชสำนัก คนอย่างเซวียนผิงโหวไม่มีวันได้ออกมาเดินลอยหน้าลอยตาเช่นนี้หรอก!”
เมื่อเอ่ยถึงจวงไทเฮา อันจวิ้นอ๋องกลับไม่เถียงเลยสักคำ
นางเป็นสตรีที่เก่งกาจด้านการทหารยิ่งนัก กุมอำนาจราชสำนักถึงสองรัชสมัย ยามที่เซวียนผิงโหวยังเล่นดินเล่นโคลนอยู่นั้น นางก็เป็นถึงฮองเฮาผู้อยู่เหนือเจ้ากรมทั้งหกแล้ว
แม้จะเป็นคนที่เก่งกาจเพียงใดก็ต้องมีวันที่พลาดพลั้ง ไม่อย่างนั้นนางจะเป็นโรคเรื้อนได้อย่างไร
ราชครูจวงเอ่ยเสียงเยือกเย็น “เจ้าประเมินเซียวลิ่วหลังผู้นั้นต่ำเกินไป ข้าเกรงว่าเขาจะจำไทเฮาได้ตั้งแต่แรก จึงตีสนิทกับไทเฮาด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่ตอนนั้น และปิดบังพวกเรามาโดยตลอด ทั้งยังเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทเปิดกั๋วจื่อเจียนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่จะพาไทเฮากลับเข้ามาในเมืองหลวง โชคดีที่กั๋วจื่อเจียนในยามนี้มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของฝ่าบาท พวกเราจึงมีโอกาสพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ มิอาจปล่อยให้ไทเฮาตกอยู่ในกำมือของพวกเขาอีกต่อไป”
คราวนี้เขาไม่ได้โต้เถียงคำพูดของท่านปู่เช่นกัน
ทว่าไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น “ท่านปู่คิดว่าควรทำเช่นไร”
ราชครูสะบัดแขนเสื้อกว้าง “บุกไปหาที่เรือน ไปเจอไทเฮา!”
ณ ตรอกปี้สุ่ย หญิงชราเพิ่งจะเล่นไพ่เสร็จไปหนึ่งตา จากนั้นนางก็ดันโต๊ะเล่นไพ่ออกห่าง “วันนี้พอแค่นี้ ไม่เล่นแล้ว!”
เหล่าเพื่อนบ้านยังไม่ทันหนำใจก็ต้องพากันแยกย้ายกลับบ้าน
ใช่แล้ว แม้จะเสียเงิน แต่ก็เล่นอย่างสำราญใจไม่น้อย
กระนั้นแล้วก็ต้องยกความดีความชอบให้กับกลยุทธ์หาเงินของหญิงชรา หญิงชราจะไม่เล่นกับขาไพ่คนเดิมทุกวัน แล้วก็จะไม่ปอกลอกเพียงแค่คนใดคนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น หากเมื่อวานยายเฒ่าจ้าวเล่นเสีย วันนี้นางก็จะให้อีกฝ่ายชนะ ทุกคนมีทั้งได้มีทั้งเสียงก็ย่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา
หากคิดคำนวณบัญชีอย่างละเอียด เงินที่พวกเขาเสียก็เป็นเงินของตัวเอง ส่วนเงินที่ได้ก็มาจากขาไพ่ ไม่มีใครได้เงินจากกระเป๋าของหญิงชราแม้แต่แดงเดียว
หญิงชราบิดเอวไล่ความขี้เกียจ จากนั้นก็ไปที่เรือนหลังถัดกันเพื่อแวะดูกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุน
กู้เหยี่ยนแอบมานอนอู้อยู่บนเตียง ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นก็นั่งทำงานฝีมืออยู่บนเก้าอี้ตัวน้อยอย่างน่าเอ็นดู
หญิงชราพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เสี่ยวซุ่นเด็กคนนี้ เอาการเอางานใช้ได้
นางไม่ได้คาดหวังอะไรกับกู้เหยี่ยนมากนัก แค่มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว
แม่นางเหยากำลังปักผ้า ลิ่วหลังสามคนนั้นไม่รู้ว่าไปทำอะไรข้างนอก ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่กลับมา
หญิงชราหิวแล้วจึงไปที่เข้าครัวไปเพื่อหาของกิน
แม่นมฝางไปรับชุดที่ร้านเย็บผ้า เย็นนี้จี้จิ่วอาวุโสจึงเป็นคนทำกับข้าว
จี้จิ่วอาวุโสทำอาหารง่ายๆ สองสามอย่าง ตุ๋นน้ำแกงไก่ใส่หน่อไม้อีกหนึ่งหม้อ ทั้งยังทำขนมฉือปาราดน้ำตาลทรายแดง
จากนั้นก็ทำอาหารให้เสี่ยวจิ้งคงแยกต่างหาก ได้แก่ ไข่ตุ๋นร้อยชั้น เต้าหู้ผัดลูกชิ้นเจ ผักกวงตุ้งผัดกุ้งเจ
“เด็กๆ กลับมาหรือยัง” จี้จิ่วอาวุโสเรียงจานชามพลางเอ่ยถาม น้ำเสียงฟังดูสนิทสนม คำเรียกแสนเป็นธรรมชาติ เหมือนกับยามที่ตาเฒ่าจ้าวและยายเฒ่าจ้าวพูดถึงลูกหลานตัวเองไม่มีผิด
“ยัง” หญิงชราเริ่มหาของกิน
“ทางนี้” จี้จิ่วอาวุโสราวกับรู้อยู่แล้วว่านางจะต้องหิว จึงยกฉือปาราดน้ำตาลแดงจานน้อยที่เตรียมไว้ต่างหากออกมา ขนมฉือปาจานนี้โรยด้วยงาขาว เพราะเด็กๆ พวกนั้นล้วนแต่ไม่ชอบกินขนมฉือปาจานที่โรยงาขาว
หญิงชราไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ นางถือจานเอาไว้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวน้อย ก่อนจะลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
คนหนึ่งง่วนอยู่หน้าเตาไฟ อีกคนหนึ่งกินอยู่ข้างหลังเตา น้ำมันในกระทะเดือดเสียงซู่ซ่า กลิ่นน้ำมันต้นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งครัว
ปัง ปัง ปัง!
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
“ใครกัน” แม่นางเหยาวางผ้าปักลงแล้วเดินออกไป
จี้จิ่วอาวุโสเดินจ้ำออกมาจากครัว ก่อนจะเอ่ยว่าแม่นางเหยาที่ตั้งท้องอยู่ “ข้าจัดการเอง ข้าจัดการเอง!”
“อ๋อ เจ้าค่ะ” แม่นางเหยากลับเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย
อันที่จริงประตูเรือนนั้นปิดงับไว้มิได้ลงกลอน คงจะมิใช่เพื่อนบ้านระแวกนี้ ไม่อย่างนั้นคงผลักประตูเข้ามาแล้ว
“ผู้ใดกัน” เขาเอ่ยถามพลางผลักเปิดประตูไม้
เมื่อเขาเห็นราชครูจวงที่ยืนอยู่หน้าประตู หัวใจก็เต้นถี่รัวขึ้นมา เขางับบานประตู จากนั้นก็ขยี้เศษฝุ่นบนกำแพงมาป้ายหน้า ก่อนเปิดประตูออกอีกครั้ง บีบเสียงจนฟังดูแปลกประหลาดแล้วเอ่ยถามออกไป “เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไร”
ราชครูจวงมองเขาหัวจรดเท้าด้วยสายตาแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่ารู้สึกมึนงงกับการที่เขาเปิดแล้วปิดประตูเมื่อครู่ จากนั้นก็จ้องมองใบหน้าที่เปรอะไปด้วยฝุ่น เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูธรรมดา วินาทีนั้นเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ่าวในเรือน จึงไม่ได้มองหน้าจี้จิ่วอาวุโสให้ชัดเจนนัก
เพราะหากมองนานกว่านี้ คงต้องจำได้อย่างแน่นอน
ราชครูจวงเอ่ยเสียงเรียบ “เรียกนายหญิงใหญ่บ้านเจ้าออกมา ข้ามีธุระกับนาง”
จี้จิ่วอาวุโสคิดสะาระตะแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าราชครูจวงจะมาหาถึงเรือนเช่นนี้ จะไม่ยอมให้จวงไทเฮาจำคนตระกูลจวงได้เป็นอันขาด
เพราะก่อนที่จวงไทเฮาจะความจำเสื่อม ลูกหลานที่นางเอ็นดูเป็นที่สุดก็คืนอันจวิ้นอ๋อง ตอนนั้นอันจวิ้นอ๋องไปเป็นเชลยศึกที่แขว้นเฉิน จวงไทเฮก็กริ้วจนไม่กินข้าวกินปลาอยู่หลายวัน ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ
ยามนี้ลิ่วหลังไปแย่งชิงตำแหน่งจอหงวนที่ควรเป็นของอันจวิ้นอ๋องไป หากนางฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้เพราะคนตระกูล เซียวลิ่วหลังมีหวังจบเห่แน่
จี้จิ่วอาวุโสยืดอกผายพลางเอ่ย “นายหญิงใหญ่อะไร เจ้าเป็นใครกัน มาหาผิดคนแล้ว รีบไปไกลๆ รีบไปไกลๆ! ไม่อย่างนั้นข้าจะแจ้งทางการ!”
“เป็นแค่บ่าวรับใช้ กล้าดีอย่างไรมาขวางนายท่านของข้า! ถอยไป!” องครักษ์ข้างกายราชครูจวงก้าวฉับขึ้นมาข้างหน้า ผลักจี้จิ่วอาวุโสให้พ้นทางอย่างไม่ใยดี!
จี้จิ่วอาวุโสโซซัดโซเซ จนเกือบจะล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาประคองเขาไว้ได้ทัน
เขาเหลียวกลับไปมอง จบกัน ไทเฮาปีศาจล้มแคว้นออกมาแล้ว
หญิงชราไม่แลตามององครักษ์เลยสักนิด สายตาเย็นชาเอาแต่จ้องมองที่ใบหน้าของราชครูจวง
นางสวมชุดเรียบง่าย บนศีรษะไร้ซึ่งเครื่องหัวหรือปิ่นมุกใดๆ ทว่ามาดอันน่าเกรงขามนั้นราวกับแผ่นออกมาจากข้างใน แม้แต่จี้จิ่วอาวุโสที่ถูกนางพยุงไว้ยังสั่นไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่
นับตั้งแต่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับนางมา ครั้งนี้เขารู้สึกหวาดกลัวที่สุดก็ว่าได้ น่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่นางโมโหถือมีดไล่ฟันเพื่อไถเงินเสียอีก!