ตอนที่ 335 ว่านฮุ่ยสารภาพ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 335 ว่านฮุ่ยสารภาพ

แปดโมงตรง อาจารย์เหวยเดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างอารมณ์ดี

เขากวาดสายตามองทั่วชั้นเรียน พอเห็นว่าไม่มีที่นั่งว่างแล้ว จึงประกาศด้วยความตื่นเต้น “มีผู้ที่สามารถสอบเข้าชั้นมัธยมปลายในปีนี้อยู่ในชั้นเรียนของเราด้วยล่ะ!”

ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางหลินม่ายอย่างพร้อมเพรียงกัน

เธอมีผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเรียน คนที่มีคุณสมบัตินั้นต้องเป็นเธอเท่านั้น

นักเรียนส่วนใหญ่ถึงจะอิจฉาแต่ก็ชื่นชมอยู่ในใจ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่นอกจากจะอิจฉาแล้วยังริษยาอีกด้วย

โดยเฉพาะว่านฮุ่ย ความริษยาทำให้หล่อนดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

อาจารย์เหวยหัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาของนักเรียน “พวกเธอเดาถูกแล้ว ครั้งนี้เพื่อนร่วมชั้นหลินม่ายสอบได้ 577 คะแนน ต่ำกว่าคะแนนสูงสุดในการสอบเข้ามัธยมปลายแค่สิบคะแนนเท่านั้น ถือว่าน่าเสียดาย”

ปกติแล้ว อาจารย์จะรายงานผลคะแนนจากสูงไปต่ำ ใครก็ตามที่มารับผลคะแนนสอบในวันนี้ จะได้รับใบรับรองผลการเรียนและใบรับรองการสำเร็จการศึกษาด้วย

นักเรียนทั้งชั้นเงียบกริบ รอฟังรายงานผลคะแนนจากอาจารย์เหวยด้วยความกระวนกระวาย

โดยเฉพาะว่านฮุ่ย หัวใจแทบกระดอนจนตีตื้นขึ้นมาจุกบริเวณลำคอ

ถึงหล่อนจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองทำได้ไม่ดีนักในการสอบเข้ามัธยมปลาย แต่ก็ยังคาดหวังว่าแม้ผลสอบเข้ามัธยมปลายจะออกมาไม่ดี ผลคะแนนที่ได้ก็ยังสูงพอที่จะไปถึงเส้นคะแนนสำหรับการสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษา

ไม่อย่างนั้นหล่อนก็ไม่ต่างจากนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน อาจเสียโอกาสในการเรียนต่อไปเลย

ท้ายที่สุดปาฏิหาริย์ก็ไม่ได้เกิดขึ้น

หลังประกาศผลคะแนนของหลินม่าย อาจารย์เหวยก็รายงานผลคะแนนของนักเรียนเก้าคนติดต่อกัน รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีชื่อของหล่อน ทำให้หัวใจเย็นเยียบไปแล้วครึ่งซีก

ถึงพวกเขาจะเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นชื่อดัง แต่ถ้าต้องการสอบเข้าเรียนในโรงเรียนอาชีวศึกษา ทุกคนต่างหวังว่าตัวเองจะติดสิบอันดับแรก ซึ่งความหวังหลังจากได้ยินการจัดอันดับนั้นช่างริบหรี่

สำหรับโรงเรียนมัธยมต้นแห่งอื่น แค่นักเรียนหนึ่งหรือสองคนจากทั้งระดับชั้นสามารถสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

ยิ่งอยู่นานว่านฮุ่ยยิ่งประหม่า ถ้าอันดับที่สิบไม่ใช่ของหล่อน มีหวังคงได้เรียนต่อแค่ชั้นมัธยมปลายแน่

แต่ด้วยทัศนคติที่พ่อกับแม่มีต่อหล่อน เกรงว่าแม้แต่มัธยมปลายพวกเขายังไม่ให้เธอเรียนต่อด้วยซ้ำ…

ในขณะที่ทุกอย่างในสมองกำลังตีกันอย่างบ้าคลั่ง อาจารย์เหวยก็พูดขึ้นว่า “ว่านฮุ่ย คะแนนรวม 540 คะแนน”

ว่านฮุ่ยดีใจมาก ในที่สุดหล่อนก็อยู่ในอันดับที่สิบ ผลคะแนนรวมก็ไม่ถือว่าต่ำเกินไป คงเพียงพอแล้วที่จะผ่านเส้นคะแนนต่ำสุดในการสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษา

ปีที่แล้ว คะแนนต่ำสุดของการสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาอยู่ที่ 531 คะแนน แต่หล่อนสามารถทำข้อสอบได้ถึง 540 คะแนน เกินเส้นยาแดงผ่าแปดมาตั้งเก้าคะแนน!

หล่อนลุกขึ้นเพื่อออกไปรับใบรับรองผลการเรียนและประกาศนียบัตร

อาจารย์เหวยกลับส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “เธอน่าจะทำสอบให้ได้มากกว่านี้อีกสักหนึ่งคะแนน ขาดอีกแค่คะแนนเดียวก็เข้าเรียนต่อโรงเรียนอาชีวศึกษาได้แล้ว”

หัวใจว่านฮุ่ยจมดิ่งลงทันที ดวงตาเบิกกว้าง ถามด้วยความประหม่า “คะแนนต่ำสุดของการสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาปีนี้อยู่ที่ 541 คะแนนเหรอคะ?”

อาจารย์เหวยพยักหน้าหงึกหงัก

ปกติแล้วผลการเรียนของว่านฮุ่ยอยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่คราวนี้เธอกลับทำข้อสอบได้ไม่ดีเท่าที่ควร เห็นได้ชัดว่าภาระทางจิตใจคงหนักหนาเกินไป

ถึงอาจารย์เหวยจะรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ แต่เขาก็ไม่อยากวิจารณ์อะไร เพราะหล่อนดูกระตือรือร้นต่อการสอบในระดับหนึ่ง

นอกจากอาจารย์เหวยจะไม่วิจารณ์หล่อนแล้ว ยังปลอบใจหล่อนด้วย “เรียนต่อมัธยมปลายก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อีกหน่อยอาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วย อนาคตไกลยิ่งกว่าเรียนปวช.เสียอีก”

ว่านฮุ่ยรับใบรับรองผลการเรียนและประกาศนียบัตร แล้วกลับไปนั่งที่ของตัวเองด้วยความสับสน

พระเจ้ากำลังเล่นตลกกับหล่อนหรือยังไงกัน ทำไมแม้แต่คะแนนเดียวยังปัดขึ้นให้ไม่ได้ หล่อนขาดไปแค่หนึ่งคะแนน โอกาสในการเรียนต่อโรงเรียนอาชีวศึกษาก็หลุดลอยไปแล้ว

หลังจากรายงานผลคะแนนสอบครบแล้ว อาจารย์เหวยก็แจกจ่ายรูปถ่ายจบการศึกษาให้กับนักเรียนทุกคน แล้วบอกว่า “โรงเรียนจะติดประกาศรับสมัครในวันพรุ่งนี้ ทุกคนอย่าลืมมาที่โรงเรียนเพื่อรับใบสมัครกันล่ะ”

ในยุคนี้ ประกาศการรับสมัครสอบเข้าชั้นมัธยมปลายจะส่งตรงถึงแต่ละโรงเรียน ไม่เหมือนกับระดับมหาวิทยาลัยที่จะส่งใบสมัครถึงตัวบุคคลโดยตรง

หลังจากอาจารย์เหวยอนุญาตให้ทุกคนกลับไปได้ นักเรียนก็จับกลุ่มกันสามถึงห้าคน แล้วเดินออกจากห้องเรียน

เหยียนเหวินเล่อเดินออกจากห้องพร้อมกับพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นสองสามคนด้วยเสียงหัวเราะ

ว่านฮุ่ยที่มองเขาจากด้านหลังโกรธจนน้ำตาแทบเล็ด

ตั้งแต่เรียนมัธยมต้นด้วยกันมา พวกเขาทั้งสองมักจะทำตัวติดกันเสมอ ถ้าไม่มีเหตุผลพิเศษ มีวันไหนบ้างที่พวกเขาไม่ได้เดินกลับบ้านพร้อมกัน?

แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะอยู่บนถนนคนละสาย แต่พวกเขาก็จะแยกกันกลางทางในภายหลัง

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ว่านฮุ่ยก็ตัดสินใจไล่ตามเหยียนเหวินเล่อไป แล้วร้องเรียกเขาด้วยความเก้อเขิน

ว่านฮุ่ยกับเหยียนเหวินเล่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เรื่องนี้คนทั้งชั้นเรียนต่างก็รู้

พอเห็นแบบนั้นเพื่อนร่วมชั้นสองสามคนที่เดินมากับเหยียนเหวินเล่อจึงบอกลากัน แล้วเดินเลี่ยงออกไปก่อน

เมื่อครู่บนใบหน้าของเหยียนเหวินเล่อยังมีรอยยิ้ม แต่ตอนนี้สีหน้าของเขากลับเย็นชา “เธอเรียกฉันทำไม?”

ว่านฮุ่ยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะพูดเสียงเบา “ฉัน… ฉันอยากคุยกับนาย…”

เหยียนเหวินเล่อเป็นเด็กหนุ่มที่มีนิสัยเรียบง่าย ยึดหลักความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง

เมื่อรู้ว่าว่านฮุ่ยราดสิ่งปฏิกูลลงบนศีรษะของหลินม่าย เขาแทบรับการกระทำของหล่อนไม่ได้

ในความทรงจำของเขา ว่านฮุ่ยเป็นคนจิตใจดี ทุกครั้งที่เพื่อนร่วมชั้นมาขอคำปรึกษาด้านการเรียนเมื่อไม่เข้าใจ หล่อนไม่เคยปฏิเสธเลย

ทุกครั้งที่เจอคนเดินเข้ามาถามทาง หล่อนมักจะยืนบอกทางให้อีกฝ่ายด้วยความอดทน

พ่อแม่ของหล่อนก็เป็นคนประหลาด รักพี่สาวและน้องชาย แต่กลับไม่รักลูกคนกลางอย่างหล่อน

ทั้ง ๆ ที่หล่อนเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ยังรักษาสภาพจิตใจที่ดีงามเอาไว้ได้

ถึงภายนอกเขาจะไม่เคยแสดงออก แต่เขาเองก็แอบชอบหล่อนเหมือนกัน และอยากดูแลหล่อนให้ดี

ใครจะไปคิดว่าหล่อนจะทำตัวน่ารังเกียจถึงขั้นปั้นเรื่องใส่ร้ายหลินม่าย!

หล่อนไม่รู้หรือว่าข่าวลือผิด ๆ คร่าชีวิตคนไปนักต่อนักแล้ว!

เขาเคยมีน้าสาวคนหนึ่ง ซึ่งถูกสังคมกดดันให้ต้องฆ่าตัวตายเพื่อหนีข่าวลือ

ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เกลียดคนที่สร้างข่าวลือและปล่อยข่าวลือยิ่งกว่าอะไรดี

หลังจากรู้ว่าว่านฮุ่ยสร้างข่าวลือขึ้นมาใส่ร้ายหลินม่าย เขาก็ไม่อยากสานสัมพันธ์ใด ๆ กับหล่อนอีกต่อไป

แต่เพราะว่านฮุ่ยร้องเรียกเขา เขาถึงต้องหยุดเดินอย่างเสียไม่ได้

จากความสัมพันธ์อันดีที่คลุมเครือระหว่างคนทั้งสอง หรือมิตรภาพในโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมต้น ทำให้เขาตีตัวออกห่างจากว่านฮุ่ยได้ยาก เขาหรือจะไม่คำนึงถึงความจริงในข้อนี้

เขาจ้องมองว่านฮุ่ยอยู่พักหนึ่ง ท่าทางอ่อนโยนลงกว่าเดิมมาก “เธออยากคุยอะไรล่ะ?”

ว่านฮุ่ยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ถึงนักเรียนส่วนใหญ่จะทยอยกลับบ้านกันไปแล้ว แต่เพื่อนร่วมชั้นจำนวนไม่น้อยก็ยังนั่งเอ้อระเหยกันอยู่

เพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นอยู่ใกล้พวกเขามาก แถมยังเหลือบมองมาทางนี้บ้างเป็นครั้งคราว

ว่านฮุ่ยตัดสินใจขอร้องเขา “เราไปหาที่ที่ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แล้วค่อยคุยกันเถอะ”

พอเห็นว่าเหยียนเหวินเล่อไม่ได้ปฏิเสธ หล่อนก็หันหลังกลับแล้วนำทางไป

ทั้งสองเดินตรงไปยังต้นเหมยแดงที่อยู่หลังอาคารเรียน

ต้นเหมยแดงในช่วงฤดูร้อนดูเขียวชอุ่มไปทั้งกิ่งก้านสาขา แสงแดดส่องผ่านระหว่างช่องว่างของใบไม้ ทิ้งลำแสงระยิบระยับไว้ใต้ลำต้นและบนตัวของนักเรียนทั้งสอง

ว่านฮุ่ยพูดช้า ๆ ด้วยความรู้สึกผิด “เหวินเล่อ ฉันรู้ดีว่าฉันผิด ฉันไม่ควรอิจฉาหลินม่ายที่ดีพร้อมกว่าฉันในทุก ๆ ด้าน และฉันก็ไม่ควรอิจฉาเวลาได้ยินนายชื่นชมหล่อนอยู่บ่อย ๆ เพราะอย่างนั้น… ฉันถึงได้แต่งเรื่องใส่ร้ายหล่อน…”

ขณะที่สารภาพ หล่อนก็ร้องไห้ไปด้วย “เหวินเล่อ นายรู้ไหมว่าฉันกลัวแค่ไหน ฉันกลัวว่าหลินม่ายจะดีกว่าฉันจนนาย… นายเกิดชอบหล่อนขึ้นมา จนนายไม่ชอบฉันไปอีกคน นายก็รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่รักฉัน ฉันเหลือความอบอุ่นเดียวในชีวิตก็คือนาย ถ้านายทอดทิ้งฉันอีกคน ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าจากนี้จะใช้ชีวิตต่อไปบนโลกนี้ยังไง”

คำสารภาพของหล่อนทำให้หัวใจของเหยียนเหวินเล่อเต้นไม่เป็นจังหวะ

เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่ตัวเองมักจะแสดงความชื่นชมต่อหลินม่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ จะทำให้หล่อนเดือดร้อนมากขนาดนี้

โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ฟังอย่างไรก็ตีความไปในเชิงฆ่าตัวตายได้ทั้งนั้น

เขารีบปลอบโยน “อย่ากังวลจนเกินไปเลย ฉันชื่นชมหลินม่ายก็เพราะชื่นชมจริง ๆ ไม่ได้มีความหมายอื่น”

ว่านฮุ่ยยอมทำเป็นเข้าใจตามน้ำไปก่อน แล้วพูดตะกุกตะกัก “งั้น… พวกเรา… จะเป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม? ถ้าความสัมพันธ์ของเราพัฒนาไปถึงขั้นนั้น ฉันถึงจะสบายใจ”

“…” เหยียนเหวินเล่อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

เขายอมรับว่าตัวเองชอบว่านฮุ่ย แต่ไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ก่อนที่เขาจะอายุสิบแปด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าว่านฮุ่ยใส่ร้ายหลินม่าย เขาก็ไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเร็วเกินไป เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่รู้จักหล่อนดีพอ

แต่พอมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลของเด็กสาว และคิดถึงสิ่งที่หล่อนพูดก่อนหน้านี้ เขาก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง

เขานิ่งเงียบไปนาน คิดทบทวนหลายตลบ ในที่สุดก็ยอมพยักหน้า เป็นการตอบรับคำขอร้องจากหล่อน

ว่านฮุ่ยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขทันที

แต่เหยียนเหวินเล่อกลับโพล่งขึ้นมาเสียก่อน “ก่อนเราจะคบกัน ฉันมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”

ความสุขล้นในใจของว่านฮุ่ยเหือดหายไปทันที แต่หล่อนกลับไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่นิด ถามกลับด้วยความระมัดระวัง “เงื่อนไขอะไร? ฉันทำได้หมดเลย”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อิจฉายังไงก็ไม่ควรใส่ความคนอื่นแบบนั้นน้า นอกจากจะเสียเครดิตแล้วยังจะเสียคนข้างกายไปด้วย

ไหหม่า(海馬)