ตอนที่ 103-1 เขามีลูกแล้วหรือ
เฉียวเวยผู้สาบานว่าจะไม่หันกลับไป หลังจากฟังคำอธิบายประโยคนั้นจบก็อุ้มซื่อจื่อน้อยเดินกลับเข้าไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น!
เฉียวเวยเดินเข้ามาในเรือนก็วางซื่อจื่อน้อยผู้หลับสนิทลงบนเตียง หลังจากนั้นมานั่งตรงหน้าจีหมิงซิวแล้วแง้มบานหน้าต่างให้แสงเพียงพอ นางจึงได้เห็นสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของเขาชัด “ท่าน…เจ็บที่ใด”
“บาดเจ็บภายในเล็กน้อย มิเป็นอันใดมาก” จีหมิงซิวตอบอย่างนิ่งสงบ
เฉียวเวยคว้าข้อมือของเขามาจับ นิ้วเรียวขาวผ่องแตะบนจุดชีพจรของเขาแล้วเพ่งสมาธิตรวจดูครู่หนึ่ง คิ้วขมวดอย่างประหลาดใจ “ชีพจรของท่านแปลกนัก ชีพจรที่แข็งแรง หายใจหนึ่งครั้งควรเต้นสี่จังหวะ จุดชุ่น กวน ฉื่อ[1]สามตำแหน่งล้วนต้องมีชีพจร จังหวะชีพจรไม่เบาไม่หนัก อ่อนโยนแต่มีพลัง…ทว่าชีพจรของท่านมีลักษณะของชีพจรแกร่งเล็กน้อย ลมปราณไม่ดีมีมาก แต่ลมปราณดีก็เต็มเปี่ยม ลมปราณดีกับไม่ดีขับเคี่ยวกัน เลือดลมเต็มปริ่มเส้นลมปราณ จังหวะชีพจรมีพลัง แต่หากนานเข้า จะกลายเป็นล้นเส้นลมปราณ…ประเดี๋ยวก่อน เปลี่ยนอีกแล้ว”
จวนเอินปั๋วเป็นตระกูลแพทย์ มารดาของคุณหนูใหญ่เฉียวยังเป็นหมอเทวดาเสิ่นผู้เคยมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ช่วงหนึ่งในอดีต นางจะมีวิชาแพทย์ติดตัวบ้างก็พอมีเหตุผล แต่ยามเจิงปั๋วกับภรรยาจากโลกนี้ไปนางเพิ่งอายุห้าปี แล้วได้ยินว่าถูกเลี้ยงอย่างยกยอจนมิเอาไหน พิณภาพหมากอักษรชำนาญอยู่ แต่การรักษาคนและเรื่องหยูกยากลับมิรู้สักสิ่ง
“เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ” จีหมิงซิวประหลาดใจเล็กน้อย
เฉียวเวยยิ้มเขินอาย “วิชาแพทย์แผนจีนข้ามิแตกฉาน เพียงเคยอ่านตำราแพทย์มาสองสามเล่มเท่านั้น ขายหน้าท่านแล้ว สิ่งที่ข้าพูดไม่แน่ว่าจะถูก ท่านหาหมอคนอื่นมาตรวจดูดีกว่า”
จีอู๋ซวงเก่งกาจทั้งด้านการรักษาและการใช้พิษ เคยให้เขาจับชีพจรมาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่พูดก็ไม่ต่างจากที่นางกล่าวมากนัก
จีหมิงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พลันเปลี่ยนประเด็น “เจ้า…จดจำเรื่องราวก่อนหน้ามิได้ ถ้าเช่นนั้นก็จดจำชาติกำเนิดของตนมิได้ด้วยหรือ”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้าง่ายๆ โดยไม่มีเจตนาจะถามต่อ
จีหมิงซิวมองสีหน้าไม่สนใจไยดีสักนิดของนาง แล้วสงสัยเล็กน้อย “เจ้ามิอยากรู้หรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า นางมิใช่เจ้าของร่างคนเก่าเสียหน่อย จะรู้เรื่องราวของเจ้าของร่างคนก่อนมากมายไปทำอันใด เพียงจับพลัดจับผลูรู้เข้านิดเดียวยังวุ่นวายตัดขาดความสัมพันธ์กับยิ่นอ๋องสารเลวคนนั้นมิขาด หากรู้มากขึ้น นางกลัวว่าตนเองจะกระอักเลือด
ชีวิตเป็นของนาง นางอยากเดินทางใด นางคือผู้ตัดสินใจ
เจ้าของร่างคนก่อนเคยบอกป้าหลัวตามตรงว่าถูกคนในครอบครัวขับไล่ออกมา นางเคยสงสัยว่าครอบครัวที่ว่านั่นเป็นครอบครัวฝั่งสามี แต่ดูจากสภาพแล้วนางคงมิได้แต่งงาน คงมีบุตรทั้งที่ยังไม่ตบแต่งมากกว่า ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ขับไล่นางออกจากบ้านย่อมเป็นครอบครัวฝั่งมารดา
ครอบครัวพรรค์นั้น แตกต่างอันใดกับครอบครัวที่ทอดทิ้งนางเมื่อชาติก่อนเล่า
มิสู้ไม่รู้ มิสู้ไม่เอาเสียดีกว่า
จีหมิงซิวพยักหน้าอย่างเฉยชา “ไม่รู้ก็ดี”
บุตรีคนโตตระกูลเฉียวผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตัวตนเช่นนี้มิมีเกียรติยศชวนโอ้อวดสักนิด สบายใจสู้ตอนนี้มิได้อยู่มาก
“นายน้อย ข้าจะไปต้มยา จีอู๋ซวงบอกว่าใส่น้ำสองชามใช่หรือไม่” เยี่ยนแฟยเจวี๋ยถามจากนอกประตู
เฉียวเวยมองไปรอบๆ สิ่งที่แตกต่างจากเรือนสี่ประสานก็คือตั้งแต่เข้าประตูมา จนตอนนี้นางก็ไม่เห็นบ่าวรับใช้สักคนเดียว นางลุกขึ้นยืน “ข้าทำเองเถิด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยินดียิ่งนัก เขาต้มยาให้นายน้อย มิทราบต้มผิดไปกี่หม้อแล้ว โชคดีจีอู๋ซวงทราบว่าเขาเป็นคนหยาบกระด้าง ดังนั้นจึงเตรียมห่อยามาให้เพิ่มอีกหลายชุด
เฉียวเวยถือยาไปที่ห้องครัว ตามหาโถสะอาดใบหนึ่ง จากนั้นใส่น้ำเย็นแช่สมุนไพร ต้องแช่สองเค่อถึงหนึ่งชั่วยาม ยังไม่ทันทำอันใด พริบตาเดียวก็เที่ยงเสียแล้ว เฉียวเวยใส่ฟืนในเตา เริ่มล้างผักทำอาหาร
เดิมทีทั้งหมดนี่เป็นงานของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แต่ในเมื่อมีคนทำงานแทน จอมยุทธ์เยี่ยนย่อมยินดีอย่างยิ่ง
“แม่หนูทำงานเก่งเอาเรื่อง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคาบต้นหญ้าไว้ในปากยืนอยู่นอกหน้าต่าง พลางเอนร่างข้ามหน้าต่างมาคุยกับจีหมิงซิวที่นั่งอยู่ด้านใน
จีหมิงซิวไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น ดูแล้วเหมือนยังเหลือความโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบมองหนังสือในมือเขา แล้วเอ่ยอย่างสนุกสนาน “ตอนเด็ดผัก ขยับมือแม่นนักเชียว ทั้งเร็วทั้งเด็ดขาด มือก็มีกำลังมาก ท่านว่าข้ารับนางเป็นศิษย์ดีหรือไม่”
จีหมิงซิวมิสนใจเขา
“ไปเทน้ำแล้ว”
“ไปล้างผักแล้ว”
“หั่นเนื้ออยู่ จิ๊ๆ ดูการใช้มีดนั่นสิ”
จีหมิงซิวยังคงพลิกหนังสืออ่าน ตาไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้ม “พอเถิด มิต้องเสแสร้งแล้ว อยากดูก็ดูสิ หนังสือจะถูกท่านขยำเละแล้ว”
หนังสือที่น่าสงสาร ในที่สุดก็ได้จอมยุทธ์เยี่ยนช่วยเอาไว้
อาหารในห้องครัวมีเตรียมไว้พร้อม มีทั้งปลามีทั้งเนื้อ แล้วยังมีไส้กรอกเส้นใหญ่ที่หาได้ยากอยู่อีกด้วย เฉียวเวยขอดเกล็ดปลาและควักไส้จนสะอาด จากนั้นจึงหั่นเนื้อกับไส้กรอกมาเล็กน้อย แล้วไปเก็บผักกาดขาวกับบวบสดใหม่ที่ท้ายเรือน
เฉียวเวยรู้สึกว่าท้ายเรือนปลูกบวบ ฟักทองกับผักเล็กผักน้อยไว้สักหน่อยค่อนข้างดีทีเดียว รอบ้านใหม่สร้างเสร็จแล้ว ท้ายเรือนนางก็จะทำเช่นนี้บ้าง
ขณะที่เฉียวเวยหั่นผัก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เดินเข้ามา “ให้ช่วยหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ฝั่งนี้ไม่นานก็เรียบร้อย ท่านไปนั่งด้านนอกสักประเดี๋ยวเถิด”
มิได้หรอก ปล่อยให้เจ้าทำอาหารอยู่คนเดียว สายตาของนายน้อยใกล้จะเชือดเนื้อเถือหนังข้าทั้งเป็นอยู่แล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งลงหลังเตาไฟ “ข้าดูไฟให้เจ้าแล้วกัน”
เฉียวเวยไม่ให้เขาเข้าครัวเพราะกลัวว่าเขายิ่งช่วยจะยิ่งยุ่ง แต่ดูท่าทางยามเขาใส่ฟืนเพิ่มไฟก็นับว่าชำนาญอยู่ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “รบกวนแล้ว จริงสิ ข้ายังมิทราบว่าจะเรียกขานท่านอย่างไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะ “ข้านามว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เจ้าเรียกว่าจอมยุทธ์เยี่ยนหรือลุงเยี่ยนก็ได้” เอาเปรียบนายน้อยมิได้ ก็ขอเอาเปรียบแม่หนูคนนี้ก็ยังดี นึกถึงอดีตตอนสมองเลอะเลือน ‘ขายตัวเอง’ ให้นายน้อย ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วช่างขาดทุนนัก
ในสมองของเฉียวเวยไม่มีความคิดเรื่องระดับชนชั้นเหล่านั้น จึงเรียก ‘ลุงเยี่ยน’ อย่างสบายใจ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพออกพอใจยิ่งนัก เติบฟืนฟึบๆ อย่างว่องไวจนหวิดจะทำกระทะทั้งใบไหม้
“หลังจากนี้มีลุงเยี่ยนดูแลเจ้า ไม่ต้องกลัวพวกเขาหกคนรังแก” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมา
“หก…คน?” เฉียวเวยกะพริบตาอย่างงุนงงพลางใส่เนื้อที่หั่นเสร็จแล้วลงในชาม จากนั้นเริ่มหั่นบวบ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบ “ใต้บัญชานายน้อยมีลูกสมุนกระจอกงอกง่อยอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน สือชีกับข้า เจ้าเคยพบแล้วสองคน”
เฉียวเวยยังจำมิได้ว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยคือบุรุษลึกลับผู้อวดฝีมือใช้พิรุณกลีบบุปผาปลิดชีพที่สำนักศึกษาหนานซานเมื่อวันนั้น แต่นางเคยเห็นฝีมือของสือชีมาก่อน หากเช่นนั้นเรียกว่าลูกสมุนกระจอกงอกง่อย เกรงว่าใต้หล้าคงมีคนเพียงไม่กี่คนที่ไม่ไร้ฝีมือ นางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “จริงสิ ลุงเยี่ยน เหตุใดจึงไม่เห็นสือชี”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลิกคิ้ว “ก็อยู่หลังเจ้านั่นไง”
“หือ” เฉียวเวยหันหลังไปก็เห็นเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าผุดออกมาจากพื้นตั้งแต่เมื่อใด นางตกใจจนมีดเกือบร่วง!
มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดมิได้ยินเสียงสักนิด!
เจ็ดยอดฝีมือใต้บัญชาของจีหมิงซิว มีผู้ชำนาญวิชาพิษอย่างจีอู๋ซวง มีผู้ชำนาญอาวุธลับเช่นเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แล้วก็มีอี้เชียนอินยอดฝีมือแห่งการแปลงโฉมผู้กล่าวได้ว่ามีโฉมหน้านับพัน…ส่วนสือชี แม้มิรู้วิชาประหลาดพิสดารพวกนั้น แต่เขาเป็นคนที่วรยุทธ์และวิชาตัวเบาร้ายกาจที่สุด
สายตาของสือชีมองหารอบตัวเฉียวเวยรอบหนึ่ง เมื่อไม่พบวั่งซูตัวน้อยของเขา ก็เดินออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เฉียวเวยลูบหน้าอกอย่างตกใจไม่หาย เพิ่งจะไม่กี่หนนางก็ตกใจแทบแย่แล้ว มีคนกลุ่มนี้อยู่รายรอบทั้งวัน ต้องขอชมว่าจิตใจของจีหมิงซิวช่างมีความสามารถในการทนรับแรงกดดันมากยิ่งนัก…
อาหารทำเสร็จอย่างรวดเร็ว เนื้อน้ำแดงชามโต ปลาไนราดเต้าเจี้ยวหนึ่งตัว ไส้กรอกกผัดพริกหนึ่งจาน ผักกาดขาวผัดหนึ่งจานและน้ำแกงบวบไข่น้ำหนึ่งโถ ทั้งห้องครัวอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเย้ายวน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกล่อลวงจนน้ำลายสอ ไม่หยิบฟืนขึ้นมากัดก็นับว่าเขามีสติดียิ่งแล้ว
เฉียวเวยถอดผ้ากันเปื้อน จากนั้นไปที่ห้องเรียกจีหมิงซิวมากินข้าว “ไม่ใช่ของค้างคืน วางใจได้”
จีหมิงซิวลุกขึ้นไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร
เฉียวเวยเขย่าตัวปลุกซื่อจื่อน้อยผู้หลับสนิท “กินข้าวแล้ว”
ซื่อจื่อน้อยอ้าปากทั้งที่ยังสะลืมสะลือ
เฉียวเวยหัวเราะพรืด นางอุ้มเขาไปที่โต๊ะ เขาเอียงซ้ายเอียงขวาคิดจะนอนต่อ แต่เฉียวเวยส่งช้อนคันหนึ่งให้เขา เขากำช้อนไว้แล้วก็หลับ
เฉียวเวยมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้าง “ไม่รู้ว่าท่านชอบรสชาติแบบใด จึงทำแบบง่ายๆ อย่ารังเกียจเสียเล่า”
จีหมิงซิวนั่งลง เขานั่งลงเสร็จสือชีจึงนั่งลงบ้าง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับเฉียวเวยนั่งลงข้างจีหมิงซิว ส่วนตัวเขาขนม้านั่งตัวหนึ่งไปโต๊ะตัวอื่น
ช่วยมิได้ พวกเขามิสามารถร่วมโต๊ะอาหารกับนายน้อย นายก็คือนาย บ่าวก็คือบ่าว มิจำเป็นต้องให้นายน้อยเตือน พวกเขาก็แบ่งแยกชัดเจน เพียงแต่สือชีมีหัวใจของเด็กน้อยจึงมิเข้าใจสิ่งเหล่านี้
เฉียวเวยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยผู้นั่งเดียวดายอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง แล้วอยากจะเอ่ยปากแต่เห็นสีหน้าหมิงซิวไม่มีปฏิกิริยาสักนิด จึงได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไป
สือชีใช้ตะเกียบไม่เป็น เขากำตะเกียบเหมือนกำหมัด พอทำเช่นนี้ตะเกียบจึงแยกออกไม่ได้ เฉียวเวยจึงยื่นช้อนคันหนึ่งให้เขาเสีย
จีหมิงซิวคีบเนื้อสามชิ้น ผักสามใบ ไส้กรอกสามชิ้นกับปลาอีกสามคำให้เขา เขาก็ลงมือเคี้ยวตุ้ยๆ
“เจ้าก็กินด้วยสิ” จีหมิงซิวเห็นเฉียวเวยไม่ขยับ
เฉียวเวยเบ้ปาก “ท่านไม่เห็นคีบอาหารให้ข้าบ้าง”
จีหมิงซิวแววตาวูบไหว คีบอาหารแต่ละอย่างให้นางอย่างละนิด เฉียวเวยจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาลงมือทานอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก
นางก็เป็นคนที่พึงพอใจง่ายๆ เช่นนี้ ไม่มีการคิดฟุ้งซ่านทั้งวี่ทั้งวัน ความเข้าใจผิดใหญ่หลวงคุยกันจบก็คือจบ จีหมิงซิวกลับไม่เหมือนกัน เขาเป็นคนคิดมาก ยากนักจะโกรธใครสักคน แต่เมื่อโกรธแล้วต่อให้ผ่านไปเนิ่นนานก็มิหาย
“ท่านลองชิมนี่ดู” เฉียวเวยคีบเนื้อน้ำแดงที่น้ำมันเคลืบแวววาวชิ้นหนึ่งให้เขา
จีหมิงซิวไม่สนใจเนื้อน้ำแดง แต่กลับมองปลายนิ้วบวมแดงของนาง “เกิดอันใดขึ้น”
เฉียวเวยชะงัก ก่อนจะพบว่าเขากำลังมองนิ้วของตนเอง นางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอันใด ถูกเกล็ดปลาบาดเล็กน้อย”
จีหมิงซิวมิได้กล่าวอันใดอีก เขาคีบปลามาชิ้นหนึ่งแล้วเลาะก้างปลาออก ก่อนจะวางลงในชามของนางอย่างแผ่วเบา
อาหารมื้อนี้ จีหมิงซิวกินมากกว่าปกติหนึ่งชาม
ทานอาหารเสร็จแล้ว จีหมิงซิวจึงจูงมือเฉียวเวยกลับห้อง แล้วหยิบยาจินฉวงมาทาให้นางอย่างละเอียดลออ
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “หากแผลเท่านี้ยังต้องทายา เกรงว่าข้าคงต้องซื้อยาจินฉวงมาสักคันรถ”
ความจริงมันเป็นเพียงถ้อยคำที่เอ่ยอย่างไม่มีเจตนาใด แต่จีหมิงซิวกลับขมวดคิ้ว แล้วจับฝ่ามือกับนิ้วของนางกางออก เฉียวเวยมิค่อยมีรอยแผลเป็น พอบาดเจ็บแล้วไม่นานก็หาย ทว่าก่อนหายสนิทก็ยังมองเห็นรอยแผลอยู่ เขาลูบรอยบาดจางๆ หลายรอยบนฝ่ามือของนางเบาๆ “เป็นแผลได้เช่นไร”
หั่นผักบ้าง ทำนาบ้าง หากไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นก็ตอนทำของเล่นให้พวกเด็กๆ สรุปก็คือทำงานมากก็เลยเจ็บตัวมาก แต่มิใช่ปัญหาใหญ่
เฉียวเวยชักมือกลับ “ไม่ต้องดูหรอก ข้าไม่ได้บอบบางปานนั้น!” กล่าวจบก็มองเจ้าตัวน้อยที่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียง “จะทำเช่นไรกับซื่อจื่อน้อยดีเล่า ข้าทะเลาะกับเจาหวังเฟยในพระราชวังนิดหน่อย หลังจากนั้นข้ายังไถเงินนางมาเล็กน้อย”
แม้แต่ท่านอ๋องยังกล้าหาเรื่อง แค่พระชายาคนหนึ่งเหมือนจะไม่นับเป็นเรื่องแปลกใหม่อันใด จีหมิงซิวมองนาง “เล็กน้อย?”
เฉียวเวยยกมือขึ้นจับใบหูน้อยๆ ของนาง “แค่พันตำลึง”
จีหมิงซิววางยาจินฉวงลง
เฉียวเวยพึมพำเบาๆ “นางต้องเกลียดข้าแทบตายแน่ ตอนนี้หากพาบุตรของนางไปส่ง นางต้องคิดว่าข้าตั้งใจแน่ๆ”
“แล้วมิใช่หรือ”
เฉียวเวยสูดลมหายใจดังเฮือก “แม้แต่ท่านก็…” พูดได้ครึ่งหนึ่งก็เหลือบเห็นประกายหยอกเย้าพาดผ่านดวงตาของเขา “ท่านแกล้งข้าหรือ”
ริมฝีปากของจีหมิงซิวยกโค้งขึ้นน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผู้สังเกตการเคลื่อนไหวของทั้งคู่อยู่ตลอดลอบถอนหายใจ หลายวันมานี้นายน้อยหน้าบึ้งอยู่ตลอด เขาใกล้จะถูกแรงกดดันจากตัวนายน้อยบดขยี้จนหายใจไม่ออกแล้ว แม่หนูผู้นี้ช่างมีความสามารถนัก
แต่จะว่าไปแล้วปกติอารมณ์ของนายน้อยก็มิค่อยเปลี่ยนนัก ก็เพราะแม่หนูคนนี้ถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น
ขออย่าให้มีครั้งหน้าเลย หากมีอีกสักครั้ง ไม่นายน้อยตาย เขาก็คงผวาตาย
จีหมิงซิวปลุกซื่อจื่อน้อยผู้หลับสนิทขึ้นมาอย่างโหดร้าย
ซื่อจื่อน้อยถูกปลุกให้ตื่นแต่กลับไม่ร้องไห้ เขาเงยใบหน้านุ่มนิ่มที่ถูกกดทับจนเป็นรอยแดงขึ้นมา มองจีหมิงซิวอย่างงุนงง
“อยากกลับบ้านหรือไม่” จีหมิงซิวถาม
ซื่อจื่อน้อยส่ายหน้า
จีหมิงซิวเอ่ยกับเฉียวเวย “ส่งเขากลับบ้าน”
เฉียวเวย “…”
ก่อนหน้านี้ที่รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ใจดีเหมือนจะคิดไปเองอย่างไรก็มิรู้สิ
…
ยามสายัณฑ์เข้าโอบล้อม แสงอัสดงจากขอบฟ้าทอดเอียงตกต้องตัวอาคาร อาบไล้กำแพงเย็นเฉียบอันน่าเกรงขามให้กลายเป็นสีเหลืองนวลดูอบอุ่น
ประตูเมืองกำลังจะปิดแล้ว คนเดินทางเหลือน้อยนิดเพียงไม่กี่คน แต่ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประจำการกลับมากกว่าปกติหนึ่งเท่า ทุกคนล้วนทำงานอย่างแข็งขัน ตรวจสอบคนเดินทางทุกคน รถม้าทุกคันที่ผ่านไปทีละราย ไม่นานก็ตรวจค้นมาถึงรถม้าของจีหมิงซิว
นี่เป็นรถม้าเทียมม้าสองตัวคันหนึ่ง ตัวรถสีแดงคล้ำ หลังคารถสีน้ำตาล ล้อรถสีกรมท่า สารถีสวมเสื้อผ้าไม่สะดุดตา ทหารรักษาการณ์จึงไม่เห็นนายท่านของรถม้าคันนี้อยู่ในสายตา เขาหวดแส้ขวางทางรถม้าไว้ “หยุด! ลงมาจากรถเสีย!”
“ลงไปทำอันใด” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหาวอย่างเกียจคร้าน ฟังคู่รักที่เพิ่งกลับมาพบกันพลอดรักอยู่ตลอดบ่าย สติของเขารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ทหารรักษาการณ์เอ่ยอย่างไร้ความอดทน “ตรวจค้น! พูดไร้สาระทำอันใด รีบลงมาเสีย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มหยัน เด็กที่ขนยังไม่ขึ้นแต่กล้ากร่างต่อหน้าปู่เยี่ยนคนนี้ คอยดูว่าปู่เยี่ยนจะจัดการเจ้าอย่างไร!
“เฟยเจวี๋ย”
เสียงราบเรียบของจีหมิงซิวดังออกมาจากในตัวรถ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยุดมือ แล้วเก็บเข็มเงินระหว่างนิ้วกลับไป จากนั้นหยิบป้ายแผนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ทหารรักษาการณ์ผู้นั้นเห็นป้าย แวบแรกไม่อยากเชื่อ จึงวิ่งกลับไปเรียกสหายของตนมาตรวจสอบด้วยกัน เมื่อตรวจดูเรียบร้อย สีหน้าของทั้งคู่พลันกลายเป็นสีหน้านอบน้อมอย่างยิ่ง มิเอ่ยถึงการตรวจค้นรถอีก แต่เปิดทางให้เองปล่อยให้รถม้าแล่นเข้าไปในเมืองหลวง
เข้าเมืองหลวงได้ง่ายดายเช่นนี้เชียว หากเปลี่ยนเป็นตน น่ากลัวว่าต่อให้ซ่อนในถังอาจมก็ยังถูกหิ้วออกมา เฉียวเวยจิ๊ปากพลางส่ายหัว “บ้านท่านมิได้มีอำนาจธรรมดาๆ สินะ…”
นางเป็นเพียงแม่ม่ายสาวจากชนบทคนหนึ่ง เรียกหาเงินไม่มีเงิน เรียกหาชาติตระกูลไม่มีชาติตระกูล แล้วยังมีบุตรกับชายอื่นมาแล้วอีก คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเขาตาถั่วดีแท้
เมื่อรถม้าแล่นมาถึงถนนเส้นสำคัญในเมืองหลวง ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ร้านรวงบนถนนยกแผงออกมาตั้ง พ่อค้าตะโกนขายของ รถม้าแล่นขวักไขว่ ไม่มีตรงไหนมิคึกคัก
ซื่อจื่อน้อยนั่งไม่ติด เขาจะเอี้ยวร่างกายเล็กจ้อยไปเกาะหน้าต่าง แต่เฉียวเวยกดเขานั่งลง เขาไม่ร้องไห้แต่เบิกดวงตาแดงก่ำสองข้างจ้องนาง จนเฉียวเวยสงสัยว่าตนเองกำลังทารุณเขา
“ได้ๆ ข้าอุ้มท่านลงไป” เฉียวเวยอุ้มซื่อจื่อน้อยลงจากรถม้า
จีหมิงซิวรออยู่บนรถม้าพักหนึ่งมิเห็นคนกลับขึ้นมา ก็ลงจากรถไปด้วย
ทั้งสามคนเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางราตรีอันสว่างไสว
เฉียวเวยแต่งกายเรียบง่ายอยู่บ้าง แต่รูปโฉมสวยสะคราญ เรือนร่างอรชร บรรยากาศรอบตัวแลดูสงบนิ่ง ยามชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนปัดผ่านพื้นเบาๆ ประหนึ่งสายธารรินไหลผ่านหมู่ต้นสน
จีหมิงซิวกลับเหมือนแสงจันทราบนฟากฟ้าที่ส่องกระทบผิวน้ำอย่างเงียบสงัด
บุรุษองอาจสตรีงดงาม ดั่งมุกงามเคียงคู่หยก เด็กน้อยในอ้อมแขนก็รูปงามอย่างที่หาได้ยาก
ครอบครัวเช่นนี้มาเดินบนถนนใหญ่ ชวนให้ผู้คนหันมองกันให้ควั่ก พวกเขาต่างเผยสีหน้าอิจฉา
ซื่อจื่อน้อยอยากกินน้ำตาล เฉียวเวยซื้อถังหูลู่ให้เขา
จากนั้นเขาก็อยากกินขนม เฉียวเวยจึงซื้อขนมถั่วเขียวให้เขาหนึ่งกล่อง
เขายิ่งอยู่ไม่นิ่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเล็กจ้อยบิดดิ้นจะลงไปที่พื้น
ถึงแม้เฉียวเวยจะมีพละกำลังมากมาย แต่ก็สู้ไม่ไหวจับเขาไว้มิอยู่ เขาเหมือนปลาไหลตัวน้อยลื่นไหลลงไปอยู่ที่พื้น
เฉียวเวยคว้าเขาไว้ “ห้ามวิ่งมั่ว!”
ซื่อจื่อน้อยมองเฉียวเวยอย่างน่าสงสาร
“ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ ข้าไม่ใจอ่อนหรอก!” เฉียวเวยดันซื่อจื่อน้อยไปหน้าจีหมิงซิว “ท่านอุ้ม”
“ไม่อุ้ม”
“ท่านมิใช่ขอบเด็กน้อยอยู่พอสมควรหรือ” ดีต่อวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเสียปานนั้น หากมิทราบยังคิดว่าเป็นลูกแท้ๆ ของเขาเสียอีก เมื่อคิดอะไรได้ แววตาของเฉียวเวยก็ไหววูบ มุมปากยกขึ้นอย่างลำพองเล็กน้อย “หรือชอบแต่ลูกของข้ากันเล่า”
ใส่ใจนางปานนี้เชียวหรือ ใส่ใจจนรักบ้านแล้วต้องรักวิหคในบ้านด้วย…
จีหมิงซิวคิดในใจ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว
จีหมิงซิวมิชอบเด็กน้อย จวนอัครมหาเสนาบดีกับจวนกั๋วกงไม่มีเด็กสักคน ถึงขนาดที่เด็กคนใดเข้าใกล้เขาสักหน่อย เขาก็รังเกียจยิ่งนัก
หากจะกล่าวว่าผู้ใดเป็นข้อยกเว้นก็คงเป็นจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู
มิใช่บุตรของเขาแท้ๆ แต่กลับทำให้เขาอยากใกล้ชิดอย่างไม่มีสาเหตุ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่านี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น
เพียงแต่เมื่อคิดว่าพวกเขาเป็นเลือดเนื้อของยิ่นอ๋อง…
ฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิวพลันกำแน่นขึ้นเล็กน้อย
ซื่อจื่อน้อยเห็นอันใดก็อยากได้เสียหมด เฉียวเวยไม่มีเงินมากมายปานนั้นให้เขาถลุง จึงบังคับหิ้วเขาขึ้นรถม้า
เฉียเวยคิดว่าพวกเขาจะเดินทางไปจวนเจาอ๋อง คิดไม่ถึงว่ากลับมาที่พระราชวัง
จีหมิงซิวพาซื่อจื่อน้อยลงจากรถม้า
ซื่อจื่อน้อยอยากให้อุ้ม
จีหมิงซิวปฏิเสธอย่างไร้หัวใจ “เจ้าเดินเอง”
ซื่อจื่อน้อยเดินตามไปอย่างน่าสงสาร เดินก้าวหนึ่งหันกลับมามองเสียสามครั้ง มองเฉียวเวยน้ำตาคลอเหมือนเฉียวเวยทอดทิ้งเขา
[1] จุดชุ่น กวน ฉื่อ ตำแหน่งจับชีพจรตรงข้อมือ ตรงปุ่มกระดูกข้อมืคือจุดกวน ถัดมาทางข้อมือคือจุดชุ่น ถัดไปทางข้อศอกคือจุดฉื่อ