บทที่ 331 รอยยิ้มที่หายไป

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 331 : รอยยิ้มที่หายไป
บทที่ 331 : รอยยิ้มที่หายไป

ในที่สุด วงออเครสตร้าที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของงานเลี้ยงก็จบการแสดง

คู่นักเต้นที่เต้นวนอยู่ในสนามหยุดนิ่งหลังจบการเต้น หลังจากทำความเคารพคู่เต้นรำของพวกเขาอย่างหรูหราแล้ว พวกเขาต่างเดินไปในทิศทางเดียวกันเสียจนลานเต้นรำเกือบจะโล่งทั้งหมด

ที่นั่น คู่ชายหญิงที่ได้รับการเว้นที่ว่างไว้ใหญ่โตก็หยุดเต้นแล้วเช่นกัน

แขกบางคนแอบมองมาด้วยแววตาผิดหวัง ในขณะที่คนอื่น ๆ เผยความดูแคลนออกมา

ในงานสังคมของ ‘ชนชั้นสูง’ เช่นนี้ การเต้นรำย่อมเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าสังคม และกำพืดของบุคคลนั้น ๆ ก็จะสามารถเห็นได้จากท่าทางการเต้นรำ

ก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่พยายามฝึกฝนการเต้นรำของตนโดยแอบหวังว่าจะถูกจี้จือซู่เลือกเป็นคู่เต้นรำในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ แล้วจากนั้นจึงเผยกิริยาอันเปี่ยมเสน่ห์ที่ฝึกฝนมา…

ความมั่นใจในตนเองและความสามารถที่จะได้รับเกียรติอย่างสูงในครั้งนี้ หากไม่ดีพอ คนใกล้ตัวมากมายก็อาจชิงมันไปได้ทุกเมื่อ

แต่ไม่คิดเลยว่าในขณะที่รบกันเองอย่างดุเดือดไปได้ครึ่งทาง ชายที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนคนนี้ดันกลายเป็นผู้ได้รับเกียรติจากคุณหนูจี้ไปเสียได้

แน่นอนที่คนพวกนี้จะกัดฟันซุบซิบกันอย่างลับ ๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเทียบตัวเองกับอีกฝ่าย แล้วก็พบว่านอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว คน ๆ นี้ก็ดูธรรมดาไปเสียทุกอย่าง รวมไปถึงฝีเท้าของเขายังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่มากเหมือนสามัญชนทั่วไป ราวกับเขาไม่ได้ตั้งใจ…หรือคิดอะไรอยู่ขณะเต้นรำ

แต่น่าเสียดายที่หลินเจี๋ยประพฤติตัวค่อนข้างดี เขาคงเส้นคงวาในการพูดคุยกับคุณหนูจี้อย่างออกรสตั้งแต่ต้นจนจบ

หลินเจี๋ยใช้มือข้างหนึ่งกระชับมือของจี้จือซู่ไว้ ในขณะที่มืออีกข้างโอบเอวเธอ ปิดฉากการเต้นรำด้วยท่วงท่าที่เรียบง่ายที่สุด จากนั้นก็ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว

การเต้นรำหรืออะไรแบบนั้น…สำหรับเขาที่หมกตัวอยู่แต่ในร้านหนังสือมาหลายปี นี่ก็ถือว่าชวนให้เขินอยู่บ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องเต้นรำโดยเมินสายตาที่จ้องมารอบตัวเขา

หลังจากเพลงหยุดลง จี้จือซู่ก็ละมือที่วางบนบ่าของหลินเจี๋ยออก เดินถอยไปสองก้าว ยกชายกระโปรงของเธอขึ้นถอนสายบัวอย่างสง่างาม ค้อมหัวลงแล้วพูดอย่างถ่อมตัว “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณค่ะ ทุกครั้งที่เราคุยกัน มันทำให้ฉันตระหนักว่าฉันยังมีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก และความรู้ที่มากล้นของคุณ…ทำให้ฉันได้รับประโยชน์มากมายเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะถึงอย่างไรคุณก็เป็นลูกค้าขาประจำ ผมให้ความสนใจกับบริการหลังการขายมาก ๆ เลยนะครับ แต่ถึงอย่างไร เราก็รู้จักกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว ไม่จำเป็น…ต้องทำตัวสุภาพนักหรอกครับ คิดเสียว่าเราเป็นเพื่อนกันก็ได้นะ”

หลินเจี๋ยยิ้มอย่างอ่อนใจ มองจี้จือซู่ที่ก้มหัวให้เขาอยู่ตรงหน้าแล้วรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา นึกสงสัยว่าเพราะคุณหนูจี้เข้ามาในร้านหนังสือครั้งแรกในคืนฝนตกหรือเปล่าที่ทำให้จิตใจของอีกฝ่ายอ่อนแอขนาดนี้

หรือเพราะเขาจงใจยึดตำแหน่งผู้พูดอย่างมีอำนาจสูงกว่ามาตลอด ทำให้จี้จือซู่รู้สึกต้องการพึ่งพา?

เขาคิดเสมอว่า…เหมือนคุณหนูจี้จะเชื่อฟังเขาด้วยท่าทีที่พินอบพิเทาเกินไป หรือก็คือ ‘ศิโรราบใต้อาณัติหลินเจี๋ยโดยสิ้นเชิง’

ถึงเขาจะจงใจก็เถอะ แต่ถ้ามากเกินไป เขาก็รู้สึกผิดหน่อย ๆ อยู่ดี…

จี้จือซู่เม้มปาก ใบหน้าของเธอทั้งตระหนกและกระอักกระอ่วนขึ้นมาครู่หนึ่งสั้น ๆ แต่พริบตาต่อมาก็กลับเป็นปกติ เธอพยักหน้าตกลงอย่างยากลำบาก “คุณพูดถูก ฉันจะปฏิบัติต่อคุณเหมือนเพื่อนค่ะ”

แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากสุด ๆ สำหรับเธอที่จะปฏิบัติต่อผู้ที่แข็งแกร่งและลึกล้ำราวพระเจ้าตรงหน้าเหมือนเพื่อน แต่ในเมื่อนี่เป็นคำขอของคุณหลิน เธอจึงต้องทำให้ดีที่สุด

“…”

ถ้าสถานการณ์ตอนนั้นไม่ได้ออกจะเคร่งขรึมอย่างตอนนี้ หลินเจี๋ยก็อยากจะกุมขมับถอนหายใจจริง ๆ

สีหน้าคุณจริงจัง ไม่ได้ใกล้กับคำว่าผ่อนคลายเลยครับ!

นี่เหมือนผมออกคำสั่งคุณเลย ความรู้สึกที่ได้นี่ เหมือนคุณยิ่งระวังตัวกว่าเดิมอีกไม่ใช่หรือไงครับ!

หลินเจี๋ยบ่นในใจอย่างอ่อนแรง แต่แล้วเขาก็เห็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในสูทหรูหราเดินเข้ามายกแก้วไวน์แสดงรอยยิ้มสวยให้กับจี้จือซู่

“คุณหนูจี้ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”

จี้จือซู่ลอบขมวดคิ้วนิด ๆ คนตรงหน้าเธอไม่ใช่ผู้ดีทั่วไป แต่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลนักเวท ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคู่แข่งที่ค่อนข้างร้ายกาจ ฝีมือไม่เลว และมีความสามารถอยู่ในระดับสัตว์ประหลาดเหมือนกับเธอ

ตรงตามข้อมูลที่เฟจได้รับ ในงานเลี้ยงนี้มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเข้าร่วมด้วยอยู่หลายคน

หากเปลี่ยนไปเป็นในอดีตล่ะก็ จี้จือซู่ย่อมพยายามสุดตัวเพื่อตีสนิทคนเหล่านี้เพื่อหาเบี้ยต่อรองเพิ่มให้บริษัทโรลล์มากขึ้น รวมไปถึงหาแนวร่วมทางธุรกิจที่ถูกต้อง เพื่อที่ตัวเธอ พ่อของเธอ และทั้งเครือบริษัทโรลล์จะสามารถโต้กลับการโจมตีต่าง ๆ ได้…

นี่คือชะตากรรมที่เธอไม่อาจขัดขืนได้

แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเธอตัดสินใจพึ่งพาคุณหลิน คนเหล่านี้ก็หมดประโยชน์

“ไม่เจอกันนานจริง ๆ ค่ะ” จี้จือซู่พยักหน้า

แม้ว่าคนเหล่านี้จะหมดค่า แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องรักษามารยาททางสังคมเอาไว้ ดังนั้น เธอจึงแนะนำหลินเจี๋ยให้รู้จักกันตามมารยาท “จอห์น เฟร็ด บุตรชายคนรองของตระกูลเฟร็ดค่ะ”

เธอพิจารณาแล้วตัดสินใจว่าจะไม่แนะนำชื่อของหลินเจี๋ยให้กับจอห์น

ประการแรกคือ ฐานะของคุณหลินควรเปิดเผยต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายประกาศร่วมมือกัน เพื่อที่จะสร้างผลกระทบที่รุนแรงพอ

ประการที่สอง…เธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวหลินเจี๋ยให้คนไร้ค่าเช่นนี้รู้จัก เพราะมันจะทำให้เขาราคาตก

หลินเจี๋ยย่อมไม่รู้ถึงหัวใจที่ครุ่นคิดอย่างบิดเบี้ยวของจี้จือซู่ เขาเผยรอยยิ้มแล้วยื่นมืออย่างสุภาพ “สวัสดีครับ”

สีหน้าของจอห์นดูแปลก ๆ แทนที่เขาจะยื่นมือออกไปจับตอบ เขากลับขมวดคิ้วมองจี้จือซู่อีกสักพัก แล้วเขาก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะแนะนำต่อไป แล้วสีหน้าที่เขามองหลินเจี๋ยต่อจากนั้นก็น่าดูชมเอาการ

ไม่ใช่เพราะความกระอักกระอ่วน แต่เป็นสีหน้าที่ปนเประหว่างความประหลาดใจ เย้ยหยัน และจู่ ๆ ก็เหมือนรับรู้บางอย่างได้ จากนั้นก็ยินดีในความทุกข์ยากของผู้อื่น

ในความเห็นของเขา การที่แนะนำคนเพียงฝ่ายเดียวจะเกิดขึ้นเพียงแค่ในสองสถานการณ์ อย่างแรกคืออีกฝ่ายหนึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง และอย่างที่สองคืออีกฝ่ายไม่มีค่าควรให้แนะนำ

เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มผมดำตรงหน้าเขาคนนี้มาก่อน ดังนั้น สถานการณ์แรกเป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้เพียงในสถานการณ์ที่สอง… ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นแค่โล่ที่จี้จือซู่ใช้?

เพราะเธอยังไม่อยากเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต เธอถึงกับใช้วิธีแย่ ๆ แบบนี้เสียได้…

เขารักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ขออภัยนะครับคุณหนูจี้ ไม่ทราบว่าสุภาพบุรุษท่านนี้ชื่ออะไรเหรอครับ? ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายควรได้รับการแนะนำเท่าเทียมกันจึงจะนับว่าสมตามมารยาทพื้นฐานนะครับ?”

จอห์นเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งและยกยิ้มเหยียด ๆ ก่อนจะพูดต่อ “แม้ว่าช่องว่างระหว่างฐานะของเราจะใหญ่หลวง แต่จะแนะนำเพียงฝ่ายเดียว ผมว่าก็ยังน่าอายเกินไปนะครับ”

“…?”

จี้จือซู่ค่อนข้างงุนงง

ก็จริงของคุณ เรื่องนี้น่าอับอาย…

แต่ทำไมคุณไม่อายเลยล่ะ แถมยังดูกระหยิ่มยิ้มย่องอีกต่างหาก? การดูถูกครั้งนี้ไม่แรงพอ หรือจอห์นคนนี้เป็นมาโซคิสม์ตัวพ่อกันแน่เนี่ย?

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้…

สายตาของจี้จือซู่จ้องมือที่ค้างอยู่กลางอากาศของหลินเจี๋ย หัวใจของเธอกระตุกวูบ จากนั้นเธอก็มองขึ้นไปที่ใบหน้าของหลินเจี๋ย

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าของร้านหนังสือหายไปแล้ว