ตอนที่ 369 นัดพบ มีคนไม่พอใจ (3)
“ลองชิมฮะเก๋ากุ้งอันนี้ดู ถือว่าเป็นอาหารเช้าขึ้นชื่อของอี้ผิ่นจวี๋ ไม่เลวเลย” หนิงเซ่าชิงประคองมั่วเชียนเสวี่ยให้นั่งลง และหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบฮะเก๋ากุ้งให้มั่วเชียนเสวี่ยชิ้นหนึ่ง
รุ่งอรุณที่เงียบสงบเช่นนี้ เต็มไปด้วยความอบอุ่น มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากให้เรื่องหนักใจเหล่านั้นมาทำลายบรรยากาศนี้ จึงกินฮะเก๋ากุ้งที่อยู่ในจานอย่างว่าง่าย
หนิงเซ่าชิงเห็นนางกินอย่างอารมณ์ดี ก็นั่งลงข้างนาง มั่วเหนียงที่รู้หน้าที่ก้าวเข้ามารินชาให้ว่าที่กูเหยียจอกหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยกินฮะเก๋ากุ้งที่หนิงเซ่าชิงคีบให้นาง เมื่อเห็นหนิงเซ่าชิงดื่มแค่ชา ก็ลุกขึ้นไปคีบให้หนิงเซ่าชิงชิ้นหนึ่งเช่นกัน ทว่านางไม่ได้วางลงในชามตรงหน้าหนิงเซ่าชิง แต่ส่งตรงถึงปากหนิงเซ่าชิงแทน
หนิงเซ่าชิงยิ้มเอาใจ อ้าปากรับ
หนิงเซ่าชิงกินอย่างมีความสุข มั่วเชียนเสวี่ยก็ป้อนอย่างอารมณ์ดี
มีมั่วเชียนเสวี่ยเป็นผู้ริเริ่ม หนิงเซ่าชิงก็คีบอาหารอีกครั้ง ทั้งยังไม่ได้วางลงในจาน และป้อนถึงปากมั่วเชียนเสวี่ยเช่นกัน
กินไปกินมา มั่วเชียนเสวี่ยก็ไปนั่งกินบนตักหนิงเซ่าชิง…
มั่วเหนียงยืนอยู่ด้านข้าง นอกจากรินชาแล้ว ก็ก้มหน้าลงเพราะความเขินอาย พยายามลดทอนการคงอยู่ของตนเองสุดความสามารถ
นึกถึงปีนั้น ระหว่างท่านกั๋วกงกับฮูหยิน ก็ถือว่ารักกันมากแล้ว แต่กลับไม่ได้ทำให้นาง…หน้าแดงจนถึงใบหูเช่นนี้
สองคนต่างป้อนอาหารเช้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม อาหารมื้อนี้ล้วนกินกันอิ่มมาก
นอกห้องส่วนตัว กุ่ยซา ชูอี และสืออู่ สามคนต่างมองตากัน เมื่อได้กลิ่นอายหอมหวานจนเลี่ยนลอยออกมาจากในห้อง ก็รู้สึกเมามาย…
เทียบเชิญที่หนิงเซ่าชิงส่งไปจวนกั๋วกงนั้นระบุไว้ชัดเจนว่า จะพามั่วเชียนเสวี่ยไปเดินเล่นริมทะเลสาบ
เมื่อกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่นอกเมืองไม่ไกล แต่กลับมีชื่อเสียงมากในเทียนฉี
ตอนที่คนทั้งคู่เดินเคียงไหล่กันที่ริมทะเลสาบ ก็มีสายตาจ้องมองมาไม่หยุด
หนิงเซ่าชิงที่คิ้วกระบี่พาดเฉียง จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาทั้งคู่งดงามเป็นอย่างมาก ทุกการเคลื่อนไหวนั้นสูงส่งงามสง่า หล่อเหลาน่ามองไม่ธรรมดา เมื่อมีมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ข้างกาย เขาเลยอารมณ์ดีมาก จึงดูสุภาพอ่อนโยนสง่างามไม่เป็นรองใคร
มั่วเชียนเสวี่ย แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นหญิงงามแห่งยุค ทว่ารูปโฉมงดงามเช่นกัน สงบเยือกเย็นภูมิฐาน เมื่อลมริมทะเลสาบพัดมาเอื่อยๆ ก็คล้ายกับสตรีในภาพวาด นัยน์ตาที่มองหนิงเซ่าชิงแฝงการยั่วยวนโดยไม่รู้ตัว
เช่นนี้ ระหว่างที่เคลื่อนไหวจึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางมีเสน่ห์มาก
ชายหญิงคู่หนึ่งที่มีรูปโฉมเช่นนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนเป็นธรรมดา
ทั้งสองคนถูกมองจนชิน จึงไม่เอามาใส่ใจ
มั่วเชียนเสวี่ยหยอกล้อ “เซ่าชิง ท่านดูสิ ที่ข้าพูดในวันนั้นถูกต้องหรือไม่…คุณหนูตระกูลขุนนางจำนวนมากล้วนมองมาที่ท่าน”
มั่วเชียนเสวี่ยจงใจเน้นเสียงหนัก
หนิงเซ่าชิงยิ้ม แววตามีประกายเจ้าเล่ห์ไหววูบ “ข้างกายยังมีเจ้าที่เป็นหมูตัวนี้อยู่ก็พอแล้ว มากไปก็กินไม่ไหว”
นี่มันเป็นยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเองชัดๆ
ทำไมอ้อมไปอ้อมมาแล้ว ตัวเองกลับกลายเป็นหมูเสียอย่างนั้น มั่วเชียนเสวี่ยไม่คล้อยตาม กระโดดขึ้นมา ต้องการจะตีเขาสักหลายที
หนิงเซ่าชิงเอียงตัวหลบไปได้ และเอ่ยปลอบว่า “แม้ว่าเชียนเสวี่ยจะเป็นหมู แต่ก็เป็นหมูที่สวยที่สุดในใต้หล้านะ” สาวใช้และองครักษ์ที่ตามอยู่ด้านหลังห่างๆ ไม่กล้าก้าวขึ้นไปด้านหน้ามากกว่านี้อีกก้าว
ตอนนี้คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ แมกไม้นานาพรรณแข่งกันผลิดอกชูช่ออวดความงาม แต่ในสายตาของหนิงเซ่าชิง ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่ขับให้มั่วเชียนเสวี่ยโดดเด่นขึ้นมาเท่านั้นเอง
นางบอบบาง นางจริงใจ นางน่ารัก นาง…
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เขาเห็นโลกใบที่แตกต่างออกไป เป็นยาดีที่ทำให้หัวใจเขาอบอุ่น
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยออกจากจวน ข่าวเรื่องว่าที่กูเหยียเชิญนางไปเที่ยวที่ริมทะเลสาบย่อมแพร่ออกไปทันที
“ท่านพี่? ท่านว่ามั่วเชียนเสวี่ยหมายความว่าอะไรกันแน่” มั่วปี้หรุ่ยที่มีสีหน้าเกรี้ยวกราดบุกเข้ามาในห้องของมั่วปี้หรง และกระชากผ้าเช็ดหน้าในมือนางเขวี้ยงลงกับพื้นทันที!
มั่วปี้หรงนั้นฉลาดกว่ามั่วปี้หรุ่ย แม้จะรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่กลับทำเป็นไม่รู้
“ทำไมหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้ทำให้เจ้าโมโหขนาดนี้?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ มั่วปี้หรุ่ยเกลียดชังจนกัดฟันด้วยความเคียดเเค้น!
“ไม่ใช่เพราะนางแพศยามั่วเชียนเสวี่ยนั่นรึไง! จวนหนิงส่งเทียบเชิญมาขนาดนี้แล้ว บอกว่าจะพานางไปเที่ยวเล่นริมทะเลสาบในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทำไมนางแพศยานั่นถึงไม่พาพวกเราไปด้วย”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ แบบนี้มันเกินไปแล้วจริงๆ!”
ความจริงแล้ว มั่วปี้หรงคิดง่ายมาก แม้ว่าตอนนี้พวกนางสองคนจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่กลับไม่สามารถรับประกันได้ว่าในภายหน้าเมื่อแต่งเข้าตระกูลหนิงไปแล้วจะยังคงปรองดองกันเช่นนี้อีก!
คนเราล้วนคิดเพื่อตัวเองทั้งนั้น ใครก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“แน่นอน รอมั่วเชียนเสวี่ยกลับมา คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! แค่นางแพศยาที่ไร้บิดามารดาผู้หนึ่ง!”
ได้ยินเช่นนั้น มั่วปี้หรงก็หัวเราะเสียงเบา
โวยวายไปเถอะ ยิ่งเจ้าก่อเรื่องโหดร้าย ข้าก็ยิ่งชื่นชอบ
……
เพี๊ยะ!
“สตรีสารเลว! สตรีที่น่ารังเกียจ!”
อวี่เหวินหันเหล่ยที่ถูกหนิงเหล่าฮูหยินเห็นเป็นคนไร้ค่าในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังคงจมอยู่กับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของนางต่อไป!
เมื่อได้ยินสาวใช้ข้างกายรายงานว่าพี่เซ่าชิงพามั่วเชียนเสวี่ย สตรีน่ารังเกียจผู้นั้นไปเที่ยวเล่นที่ริมทะเลสาบในฤดูใบไม้ผลิก็ทำให้นางโมโหจนปาถ้วยชาทิ้งทันที!
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย ข้าจะไปพบเหล่าฮูหยิน!”
นางจะต้อง ‘ชื่นชม!’ มั่วเชียนเสวี่ยต่อหน้าเหล่าฮูหยินให้ดี จะได้ไม่ทำให้นางยโสโอหังเช่นนี้ จนทำให้ตัวเองโมโห!
ครั้งที่แล้ว นางยังไม่ทันได้เอ่ยว่าอะไรมั่วเชียนเสวี่ย ก็ถูกปิดปากกลับมา ครั้งนี้นางจะต้องเติมฟืนสุมไฟให้ดี
ทว่า ผลลัพธ์ที่ได้แค่คิดก็รู้แล้ว เหล่าฮูหยินใช้เหตุผลที่ว่าสุขภาพเจ็บป่วยมาปฏิเสธการขอเข้าพบของอวี่เหวินหันเหล่ย นี่ทำให้อวี่เหวินหันเหล่ยโมโหจนสาปแช่งหญิงชราหนังเหนียวตายยากผู้นี้ในใจ และสาปแช่งมั่วเชียนเสวี่ยสตรีน่ารังเกียจนั่นยกใหญ่!
……
ภายในเรือนฉือหนิง
ตอนนี้หนิงเหล่าฮูหยินกลับไม่ได้มีอาการป่วยแม้แต่น้อย นางนั่งอยู่บนตั่งด้วยกิริยามารยาทที่เรียบร้อย หลับตาลงเล็กน้อย เพื่อพักผ่อน
หมัวมัวชราที่อยู่ข้างกายเหล่าฮูหยินไม่เข้าใจเรื่องนี้ จึงถามว่า “เหล่าฮูหยินนี่…”
หมัวมัวชราผู้นี้ ก็คือสาวใช้ซึ่งเป็นสินเดิมเจ้าสาวที่ติดตามนางมาในตอนที่เหล่าฮูหยินยังเยาว์วัยแต่งเข้ามา หลายสิบปีแล้ว จึงเป็นคนสนิทนานแล้ว
“หึ!” เหล่าฮูหยินแค่นเสียงเย็น เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของนางว่า “เด็กสาวผู้นี้ไม่รู้ความมากเกินไปแล้ว! มีใบหน้าพริ้มเพราแต่กลับไม่มีสมอง ประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ของตระกูลอวี่เหวินนั้นเข้มงวดและรอบคอบเสมอมา บุตรหลานออกไปข้างนอกสามารถเป็นอาจารย์ ทำงานในราชสำนักสามารถเป็นอัครมหาเสนาบดี ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดถึงได้สอนคนที่ไร้สมองเช่นนี้ออกมาได้! คนเช่นนาง ในภายหน้าเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยแต่งเข้ามา จะยังมีที่ให้นางยืนอีกหรือ ข้าจะเอานางมาทำอะไร”
หมัวมัวคิดให้ละเอียดดูแล้ว ก็เป็นจริงตามนั้น จึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก
……
หนิงเซ่าชิงกับหนิงเซ่าอวี่ สองพี่น้องฐานะต่างกันราวฟ้ากับดิน ตอนนี้อารมณ์ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นกัน
มั่วเชียนเสวี่ยกับกุ้ยเสี่ยวซี คนหนึ่งอยู่บนฟ้า คนหนึ่งอยู่ใต้ดิน!
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยถูกหนิงเซ่าชิงเอาใจ ส่วนกุ้ยเสี่ยวซีกลับถูกหนิงเซ่าอวี่ดูหมิ่น
เพี๊ยะ…
เสียงดังชัดลอยออกมาจากภายในห้องอีกครั้ง เหล่าสาวใช้และหมัวมัวที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ล้วนตกใจจนเหงื่อเย็นๆ ผุดเต็มร่าง แต่กลับไม่มีใครก้าวเข้าไป และไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปสักคน!