เมื่อเห็นรอยขีดเขียนสีดำบนแผ่นกระดาษนั้นแล้ว ดวงตาของฉิงเอ๋อร์ก็พลันเบิกกว้าง ขนตาของนางสั่นระริก
เจียงซื่อส่งยิ้มพลางเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องกลัวไป เพียงแค่เหยียดนิ้วไปจุ่มลงบนสีชาดและประทับลงไปเท่านั้นเอง ง่ายกว่าการเขียนเสียอีก”
อาหมานที่หน้าประตูแหงนเงยมองฟ้าอย่างไร้สุ้มเสียง
คุณหนู คุณหนูช่างปลอบใจคนได้เก่งเหลือเกิน
ฉิงเอ๋อร์กลัวยิ่งกว่าเก่า ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นนิ้วออกมา
ใบหน้าของเจียงซื่อเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ทำไมเล่า เรื่องโหดร้ายยังกล้าทำ แต่พอให้ยอมรับกลับไม่กล้าเสียอย่างนั้น”
ฉิงเอ๋อร์ทรุดตัวคุกเข่าลงพลางร้องไห้อ้อนวอน “คุณหนู คุณหนูโปรดยกโทษให้บ่าวเถิดนะเจ้าคะ บ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ…”
เจียงซื่อเย้ยหยัน “หากยกโทษแล้วจบเรื่องจะมีแผนกตรวจการไว้ทำไมกัน”
ฉิงเอ๋อร์มองไปที่เจียงซื่อด้วยความลังเล
หญิงสาวยังคงมองนางด้วยสายตาเย็นชากอปรกับท่าทีแข็งกร้าว
“คุณหนู ข้ามิได้มีเจตนาทำร้ายใคร ข้าเพียงแต่ไม่มีทางเลือก หากตอนนั้นข้าไม่ตอบตกลงคุณชายจู ข้าและพี่สาวก็ต้องตายด้วยน้ำมือพี่ชายอย่างไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ…” ฉิงเอ๋อร์โอบกอดความหวังสุดท้ายเว้าวอนอย่างสุดความสามารถ
แววตาของเจียงซื่อลุ่มลึก มุมปากยังคงแสดงออกถึงความเย้ยหยัน “ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อตัวเองและคนที่รัก แล้วยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาอีกงั้นหรือ เอาเถอะ มาลงนามและประทับตราให้มาจบๆ หากข้าพอใจ บางทีข้าอาจจะไม่ส่งตัวเจ้าให้ทางการ แต่หากยังคงยืดยาดอีกล่ะก็ ข้าจะไปหาอวี่เอ๋อร์ทันที…”
“ข้าจะประทับตราเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” ครั้นได้ยินเจียงซื่อเอ่ยถึงอวี่เอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์ก็หมดแล้วซึ่งความกล้า นางประทับนิ้วลงบนกระดาษทั้งน้ำตา
เจียงซื่อเป่าหมึกจนแห้งก่อนจะพับกระดาษเก็บ
ในค่ำคืนนี้ มีหลายคนที่ยังคงนอนไม่หลับ
เจียงอีพักอยู่ในเรือนไห่ถัง
เวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น ลมด้านนอกพัดแรงเสียจนหน้าต่างสั่นไหว ทว่าภายในห้องยังคงอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
เจียงซื่อนอนอยู่ข้างๆ เจียงอี นางนอนตะแคงมองพี่สาวที่ไม่มีวี่แววว่าจะง่วง
“พี่ใหญ่ นอนไม่หลับหรือเจ้าคะ”
เปลือกตาของเจียงอีสั่นเล็กน้อย ทว่านางมิได้โต้ตอบเจียงซื่อ
เจียงซื่อยื่นมือออกมาจากผ้าห่มและโอบกอดร่างบอบบางของพี่สาวเอาไว้
ภายใต้แสงไฟสลัวภายในห้องเงียบสงัด สายลมหนาวด้านนอกครางหวีดหวิวตลอดคืน
หัวใจของเจียงอีกำลังทุรนทุรายอยู่ในทะเลที่เย็นยะเยือก เสียงอันอบอุ่นของน้องสาวเป็นประหนึ่งขอนไม้ที่ลอยมาตามน้ำ เสมือนเป็นเศษเสี้ยวความหวังให้แก่นาง
“พี่ใหญ่ เยียนเยียนมิไม่อยู่กับพี่ นางก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกัน”
ในตอนนี้ เจียงซื่อรู้ว่าไม่ควรถามคำถามโง่ๆ ว่าพี่ใหญ่รักจูจื่ออวี้หรือไม่
นางเข้าใจความรู้สึกของพี่ใหญ่เป็นอย่างดี
การรักและไว้ใจคนๆ หนึ่งมาตลอดหลายปี ต่อให้เห็นด้านที่เลวร้ายที่สุดแล้วก็คงมิอาจตัดความสัมพันธ์ได้ในทันที
สิ่งที่พี่ใหญ่ของนางต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเวลา เวลาเปรียบเสมือนหินลับที่จะช่วยขัดเกลาหัวใจที่อ่อนแอดวงนี้ แล้ววันหนึ่งเมื่อนึกถึงชายผู้นั้นอีกครั้ง ความอาลัยอาวรณ์จะแปรเปลี่ยนเป็นคำสบถว่า ‘สัตว์เดรัจฉาน’ ออกมาแทนที่ และนี่คงเป็นความสามารถของเวลา
นางเชื่อว่าสักวันวันนั้นจะมาถึง เพียงแค่ยังมิใช่ตอนนี้ ฉะนั้นสิ่งที่นางจะทำก็คือใช้เยียนเยียนมาปลุกความกล้าหาญในตัวพี่ใหญ่
ครั้นเจียงอีได้ยินเจียงซื่อเอ่ยถึงลูกสาว นางก็ตอบสนองโดยพลัน
นางกำอาภรณ์สีขาวราวหิมะของเจียงซื่อเอาไว้ แล้วร้องไห้เงียบงัน
หางตาของเจียงซื่อลื่นด้วยน้ำตาไม่แพ้กัน นางเอ่ยอย่างนุ่มนวล “พี่ใหญ่ อีกไม่นานเยียนเยียนก็จะได้มาอยู่กับพี่ และอีกหน่อยพี่และเยียนเยียนก็จะอยู่ที่นี่โดยมีท่านพ่อ มีพี่รอง มีข้า พวกเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข…”
มือของเจียงอียังคงดึงแขนเสื้อของเจียงซื่อไว้แน่น ทว่าเสียงร้องไห้กลับดังและหนักหน่วงขึ้น
อาเฉี่ยวที่นอนเฝ้าอยู่นอกห้องพลิกตัวก่อนจะถอนหายใจในใจ
ต้ากูไหน่ไนช่างน่าสงสารเสียจริง เห็นอย่างนี้แล้วสู้ให้คุณหนูอยู่สบายๆ แบบนี้ยังดีเสียกว่า
อื้ม ความจริงแล้วการแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นกลางค่ำกลางคืน หรือมีชายหนุ่มรูปงามแอบปีนกำแพงเข้ามาหาก็มิได้เป็นเรื่องแย่นักหรอก
ต้ากูไหน่ไนเป็นสตรีอ่อนสุภาพ ปฏิบัติตนตามหลักทำนองคลองธรรม แต่ผลสุดท้ายกลับเป็นเสียอย่างนี้
เจียงซื่อที่กำลังปลอบประโลมพี่สาวมิรู้เลยว่า ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้ ความคิดของสาวรับใช้ที่ชื่ออาเฉี่ยวได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ก่อนที่ฟ้าจะสว่าง เหล่าขุนนางที่ต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต่างก็ถือโคมไฟเดินออกจากเรือนท่ามกลางสายลมหนาว เขาเหล่านั้นพากันมุ่งหน้าไปยังประตูเฉียนชิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตื่นบรรทมตั้งแต่เช้า มีข้าหลวงค่อยปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์จนเสร็จเรียบร้อย และหน้าที่ของประมุขก็เริ่มต้นขึ้น
เมื่อคืนเขามัวแต่ง่วนอยู่กับการอ่านนิทานพื้นบ้านจนลืมเวลา เป็นเหตุให้เช้านี้จึงดูยังงัวเงียอยู่เล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ดูไม่สดใสนัก พานไห่ขันทีอาวุโสจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท กระหม่อมสั่งให้คนต้มน้ำแกงมาให้เสวยจะได้กระปรี้กระเปร่าดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นปฏิเสธ
ออกว่าราชการทุกๆ เช้าก็คงมีแต่เรื่องพวกนั้น ช่างน่าเบื่อจริงๆ
แน่นอนว่าแม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะบ่นกระปอดกระแปด ทว่าเขากลับชอบความน่าเบื่อเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย
คำว่า ‘น่าเบื่อ’ จึงหมายความว่าไม่มีเรื่องใหญ่ เรื่องร้าย หรือเรื่องที่ทำให้เกิดความรำคาญใจ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาถึงได้มีเวลาไปสำราญอยู่กับตำนานนิทานพื้นบ้าน มิฉะนั้นแล้วผู้ที่อยู่ในฐานะผู้ปกครองคงหลับตาไม่ลง เพราะต้องเป็นกังวลเรื่องบ้านเมือง
ง่วงเหลือเกิน กลับไปจะไปนอนต่ออีกหน่อย จัดการธุระปะปังนี้ให้เสร็จ แล้วก็กลับมาอ่านที่เหลือต่อให้จบ เมื่อคืนกำลังอ่านถึงตอนสนุกๆ กลับถูกพานไห่มาขัดจังหวะเสียได้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองใบหน้าแสนคุ้นเคยเหล่านั้น สายตาอันเฉียบแหลมของเขาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
เหตุใดบางคนถึงดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้สรุปในใจ คงมีใครสักคนโชคร้ายกระมัง
เป็นจริงดังนั้น หลังจากรายงานเรื่องราวประจำวันแล้ว มีขุนนางจำนวนมากออกมาร้องเรียนกล่าวหาคนๆ หนึ่ง ซึ่งก็คือ จูจื่ออวี้ ซู่จี๋ซื่อในสำนักฮั่นหลิน
ปีใหม่ใกล้เข้ามาทุกที เหล่าผู้ตรวจการต่างก็เกรงว่าจะสร้างผลงานได้ไม่ดี เจ้านี่ควรจะเป็นตัวอย่างชั้นเลิศให้แก่เหล่าบัณฑิตแท้ๆ กลายเป็นซู่จี๋ซื่อที่น่าจะมีงานรัดตัวกลับมีเวลาไปก่อเรื่องฉาวเช่นนี้ได้ แล้วจะเก็บคนเช่นเจ้าไว้ให้ได้อะไรขึ้นมา
ครั้นได้ฟังคำตำหนิอันดุเดือดของเหล่าผู้ตรวจการแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน
ซู่จี๋ซื่ออนาคตไกลออกไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยแล้วยังกล้าเรียกว่าเป็นคู่สามีภรรยางั้นหรือ
คนโง่เช่นนี้สอบมาเป็นจิ้นซื่อได้อย่างไร
ฮ่องเต้ลูบคางอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ตลอดปีที่ผ่านมานี้ มีบุรุษที่เมินเฉยต่อขนบธรรมเนียมเพื่อสตรีที่รักมากเหลือเกิน คราวก่อนก็บุตรชายของจวนอันกั๋วกง มาคราวนี้ก็บุตรชายของจูเส้าชิง
หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในบทนิทานก็นับเป็นเรื่องราวน่าประทับใจ แต่ครั้นเกิดขึ้นในชีวิตจริงแล้ว ก็จะถูกตราหน้าว่าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ยุคนี้ราษฎรทั้งหลายเมินเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติถึงเพียงนี้แล้วหรือ
ต้องเป็นเพราะวิธีการจัดการกับอันกั๋วกงที่หละหลวมเกินไป ผู้คนถึงได้พากันหลงผิด
จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้มหน้าลง “สิ่งที่พวกเจ้าว่ามาถูกต้องอย่างยิ่ง บัดนี้ตำแหน่งของจูจื่ออวี้ถือเป็นอันสิ้นสุด แล้วเขาจะไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งไปชั่วชีวิต”
“ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งนัก” ถึงจะกล่าวสรรเสริญไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจของบางคนกลับรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะจัดการขั้นเด็ดขาดเช่นนี้ นี่กะจะให้พวกเขาขยับตัวไม่ได้เลยงั้นสิ
“จูเส้าชิงแห่งศาลต้าหลี่บกพร่องในหน้าที่ ลดตำแหน่งลงมาอยู่ขั้นห้าและดำรงตำแหน่งผู้ช่วยก็แล้วกัน”
เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน พลางตำหนิว่าฮ่องเต้ช่างไร้ความปรานี
การที่บุตรทำผิดแล้วลงโทษผู้เป็นบิดาถือเป็นเรื่องปกติ แต่การลดตำแหน่งไปถึงสองระดับทำให้จูเส้าชิงแทบจะเป็นลมล้มพับ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองที่ประชุมก่อนจะสั่ง “ส่วนอันกั๋วกงถูกปรับเงินเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี”
ทั้งหมดตะลึงพรึงเพริดหนักกว่าเก่า
อันกั๋วกงมาเกี่ยวอะไรด้วย
นึกออกแล้ว เพราะบุตรชายคนเล็กของอันกั๋วกงก็ทำเรื่องขายหน้าในทำนองเดียวกัน แต่ทว่าพวกเขาแต่งงานกันไปตั้งหลายเดือนแล้วหนา
ดูเหมือนว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะรู้ว่าเหล่าขุนนางกำลังคิดอะไร จึงตรัสเพียงว่า “เพิ่มโทษ”
ใบหน้าของเหล่าขุนนางบิดเบี้ยวไม่เป็นรูป
แบบนี้ก็มีด้วยรึ
การลงโทษติดต่อกันถึงสามครั้งจะทำให้เหล่าขุนนางรู้สึกหวาดกลัว
“ว่าแต่สตรีที่มาข้องแวะกับจูจื่ออวี้คือใครมาจากไหน”