บทที่ 368 เซี่ยเซวียนหนีไปแล้ว

บรรดาคุณชายน้อยที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางเย่อหยิ่ง ทว่าเมื่อออกมาจากโรงละครได้ กลับไม่ได้รีบร้อนตามหาองครักษ์ของตนเอง แต่ทั้งหมดกลับเดินตามหลังอาอินอย่างสงบเสงี่ยมราวกับนกกระทา

องครักษ์เชื่อถือได้เท่าลูกสาวตระกูลเผยหรือไม่?

ไม่เลย

สตรีที่ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยที่สุดในโลกเป็นใคร?

คนคนนั้นก็คือเผยถังอินที่มีพลังมหาศาลจนไร้ที่เปรียบ!!

หนุ่มน้อยอายุสิบขวบหลายคนล้วนอยากจะลากอาอินมาสาบานเป็นพี่น้องเสียเดี๋ยวนี้

ทว่าอาอินไม่ว่างมาพูดจาไร้สาระกับพวกเขา นางต้องรีบไปตามหาน้องชาย

“พี่หญิง!”

อาอินมองดูชัด ๆ ก็พบว่าคนที่ถือไม้เสียบถังหูลู่ที่สูงกว่าตัวเองอยู่นั้นหากไม่ใช่อาชิงแล้วจะเป็นใครไปได้

“เจ้าไปที่ใดมา!?” อาอินถาม

“นั่นน่ะสิ!” เซี่ยห่วงก็เอ่ยถามอีกหนึ่งคำถาม ภายในใจก็พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา อ้า ที่แท้การได้เอ่ยถามสองพี่น้องอย่างมั่นใจ เป็นความรู้สึกที่สบายใจเช่นนี้เองน่ะหรือ!

โอกาสไม่ควรปล่อยให้หลุดมือ เวลาผ่านไปไม่อาจย้อนกลับมาได้

เสี่ยวลิ่วจื่ออุ้มเขาขึ้นมา “บาดเจ็บหรือไม่ มีคนสองคนลักพาตัวไปใช่หรือไม่?”

อาชิงพยักหน้าให้ “ไม่ได้รับบาดเจ็บขอรับ เจอคนรู้จักเข้า ตีพวกเขาตายหมดแล้ว ท่านดู เขายังให้ถังหูลู่ข้ามาด้วยนะขอรับ”

เสี่ยวลิ่วจื่อมุมปากกระตุก ดูถูกเจ้าเด็กคนนี้เกินไปจริง ๆ ไปที่ใดก็มีแต่คนหนุนหลัง เปลี่ยนภัยอันตรายให้แคล้วคลาดปลอดภัย เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดี

“ด้านนอกวุ่นวายน่าดู พวกเรารีบกลับกันเถอะ”

ใบหน้ากลม ๆ ขององค์ชายสิบมุ่ยลง “หา~ พวกเจ้าจะกลับแล้วหรือ?”

อาชิงแกว่งถังหูลู่ในมือไปมา “มีถังหูลู่เต็มเลย พวกเรามาแบ่งกันเถอะ”

บรรดาคุณชายน้อยไม่เคยกินถังหูลู่ข้างถนนมาก่อน หากอยากกินครัวที่จวนก็จะทำให้กิน

แต่เมื่อมองพี่อาอินแล้ว ก็เข้าแถวรอหยิบอย่างเงียบ ๆ

“เอาล่ะ พวกเราจะกลับบ้านแล้ว พวกเจ้าก็รีบกลับไปเถอะ” อาอินมองเหล่าผู้ติดตามที่เดินตามก้นองค์ชายสิบต้อย ๆ เล็กน้อย พลางปัดมือไปมา

เซี่ยห่วงมุ่ยปาก “นาน ๆ ครั้งกว่าจะได้เจอกัน เช่นนั้นพวกเจ้าจะออกมาอีกเมื่อใด ช่วงนี้ข้าพักอยู่นอกวังนะ”

“ใช่! จวนของพวกเราอยู่ที่ตรอกฉางผิง”

“บ้านข้าก็อยู่ตรงตรอกหย่งซุ่น!”

“แล้วก็…อีกสองวันเป็นวันเกิดข้า”

ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมที่จะเชิญพวกอาอินไปเล่นที่บ้านอย่างขัดเขินอยู่นั้น อาอินก็จูงมือน้องชายพลางแบกถังหูลู่ที่แจกไม่หมด แล้วพาพวกเสี่ยเฮยคุยไปหัวเราะไปเดินตรงกลับบ้านไปแล้ว

ทันใดนั้นพวกเขาก็เข้าใจความรู้สึกว่าเหตุใดองค์ชายสิบถึงรีบเอาใจสองพี่น้องนั่นแล้วบราวนี่ออนไลน์

พวกเราก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้

แต่ว่านางร้ายกาจมาก! นางช่วยพวกเราเอาไว้นะ!

“ไม่ใช่ ต่อให้นางไม่สนใจพวกเรา แต่พวกเราสามารถไปหาพวกนางได้นี่นา”

องค์ชายสิบสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะส่งสายตาให้เขา “รู้จักเจ้ามาตั้งนาน ในที่สุดเจ้าก็พูดประโยคที่เข้าท่าเป็นแล้ว”

“มีเหตุผล พวกเราตามไปเล่นที่บ้านพวกเขากันเถอะ!”

ในชั่วพริบตา บรรดาคุณชายน้อยที่มีท่าทางหดหู่ใจเมื่อครู่ ก็เดินตามก้นกันต้อย ๆ ไปอย่างมีความสุข

ทางใต้ของเมืองหลวง

“เศษสวะ!”

“ใครใช้ให้พวกเขาผลีผลามไปล้างแค้นกัน!? ตอนนี้พวกทหารต่างก็กำลังตรวจสอบกากเดนของขุนศึกใหญ่ทั้งสี่ไปทั่ว หากพวกเรายังอยู่ในเมืองหลวงก็คงจะไม่เหมาะ”

“พี่ใหญ่ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีขอรับ?” คนที่พูดคือสายแยกของตระกูลไป๋

“ข้าให้คนไปติดต่อองค์ชายสามแล้ว ในเมื่อเขาถูกปลดเช่นนี้ ดูท่าก็คงหมดใจกับราชสำนักแล้ว พวกเราจะพาเขาขึ้นเหนือ ติดต่อพรรคพวกเก่า สนับสนุนเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ ข้าคิดว่าเขาต้องตกลงอย่างแน่นอน ตระกูลเมิ่งกับพวกเราล้วนถูกบีบจนมาถึงทางตัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ลองดูสักตั้ง”

ทุกคนนิ่งเงียบ ใช่แล้ว พวกเขาไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว หากไม่ก่อกบฏ ก็…ต้องหนีไปตลอดชีวิต

ใครจะยอมกัน?!

“ได้!”

ข่าวการหายตัวไปของเซี่ยเซวียน เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงร่ำไห้และคร่ำครวญของสมาชิกที่เป็นสตรีของตระกูลเมิ่งที่ถูกลากเข้าสำนักการสังคีต*

* สำนักการสังคีต (教坊司) หมายถึง หน่วยงานที่ดูแลการละครและดนตรีในราชสำนัก

ตอนนั้นพวกจี้จือฮวนกำลังกินข้าวอยู่ในจวนตระกูลฮวา

ไท่ซ่างหวงบอกว่าองค์หญิงใหญ่ใกล้จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่อย่างไรเสียก็เป็นการมาเยือนของคณะทูตจากถู่เจีย จึงได้ส่งคนไปแจ้งเซี่ยเจินก่อน ถึงตอนนั้นอาฉือก็จะตามองค์หญิงใหญ่มาด้วย

และเขาก็ไม่เหมาะที่จะอยู่จวนตระกูลฮวาต่อ จึงจะไปพักที่ตำหนักไท่จี๋ที่เคยพักแต่เดิมและไม่ไกลจากวังหลวงเท่าไรนัก

ไท่ซ่างหวงกลับเมืองหลวงแต่กลับไม่เข้าวัง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อกับลูกชายตระกูลเซี่ยนั้นเป็นความจริง

“หนีไปแล้ว? การป้องกันของเมืองหลวงหละหลวมเกินไปแล้ว” เสี่ยวลิ่วจื่อบ่นออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็มองสีหน้าของไท่ซ่างหวงเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาไม่แสดงสีหน้าใด ๆ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ดูท่าลูกน้องของเซี่ยเซวียน จะยังมีคนที่มีความสามารถอยู่”

แม้ว่าเขาจะถูกปลดเป็นสามัญชน แต่คดีหลูโจวก็ยังต้องรอตรวจสอบให้กระจ่างก่อนค่อยตัดสิน การหนีตอนนี้เป็นทางเลือกเดียวของเขาจริง ๆ แต่ว่าหนีอย่างไรก็ต้องมีคนภายในและภายนอกร่วมมือกัน เพียงแต่เมื่อเขาทำเช่นนี้เขาก็จะกลายเป็นกบฏทันที ต่อให้มีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ ทว่าก็จะกลายเป็นคนที่ใครก็สามารถสังหารได้ ไม่ใช่องค์ชายสามเช่นในอดีตอีกแล้ว

และเขาก็ไม่ได้พาลูกหลานสายตรงของตระกูลเมิ่งไปเลย

เกรงว่าเรื่องที่เซี่ยเซวียนหนีไป คงทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินโมโหแทบตายเป็นแน่

“ช่างเถอะ พวกเรากินของพวกเราต่อดีกว่า องค์ชายสามหนีหรือไม่หนี คนที่มีปัญหาก็คือฮ่องเต้” ฮวาเซียงเซียงพูดออกมา ภัตตาคารเริ่มได้รับการปรับปรุงใหม่ ขั้นตอนเกี่ยวกับทางการทั้งหมดได้รับการประทับตราแล้ว ช่วงนี้นางจึงยุ่งมาก

ส่วนฮ่องเต้เซี่ยเจินเวลานี้ก็กำลังเต้นเร่า ๆ ด้วยความโมโหอยู่จริง ๆ ทั้งยังสั่งลงโทษสถานหนักและประหารเจ้าหน้าที่อีกหลายคน ก่อนจะสงบสติอารมณ์ลงได้

เครื่องหอมของเจียงเช่อ สำนักหมอหลวงสามารถแกะส่วนผสมออกมาได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับไม่เหมือนกัน เดิมเขานอนได้จนฟ้าสาง ถึงแม้บางครั้งร่างกายจะรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ทว่าตอนนี้ต่อให้เป็นตอนกลางวันก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า ง่วงงุน ร่างกายหนักอึ้ง เปลือกตาบวมและหย่อนยาน ใบหน้าของเขาซึ่งเดิมเป็นคนดูดี ทว่าตอนนี้ร่างกายกลับผิดรูปไปเพราะฤทธิ์ของยา มองดูแล้วน่ากลัวอย่างมาก

“ฝ่าบาท ทูตของถู่เจียขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

เนิ่นนานกว่าดวงตาที่ขุ่นมัวของฮ่องเต้เซี่ยเจินจะขยับสักที ช่วงนี้สมองของเขาไม่ได้ปลอดโปร่งเท่าใดนัก คำพูดก็ไร้ชีวิตชีวา

“ทูตของถู่เจีย พวกเขากลับไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

หากเขาจำไม่ผิด คณะที่ส่งเสด็จพี่กลับมาก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าเมืองหลวงมาด้วยซ้ำ

“ย้อนกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เชิญเข้ามา”

ทูตของถู่เจียที่มาครั้งนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอี้ชุ่นที่อยู่ข้างกายของถูลี่

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกว่าทูตที่มาครั้งนี้ยังหนุ่มแน่น เพียงแต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความดื้อรั้นของชายหนุ่มบนทุ่งหญ้า

อี้ชุ่นสาวเท้านำคนสองคนที่ติดตามมายังด้านหน้า ก่อนจะคารวะฮ่องเต้เซี่ยเจินตามแบบของถู่เจีย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยภาษาราชการที่ไม่ค่อยคล่องเท่าไรนักออกมา “อี้ชุ่นคารวะฮ่องเต้แห่งต้าจิ้น กระหม่อมได้รับราชโองการจากท่านข่านให้นำของขวัญล้ำค่าของถู่เจียมาถวาย ยังมีสาส์นตราตั้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินยกมุมปากขึ้น “ขอบพระทัยท่านข่านของพวกท่านด้วย”

เจียงเต๋อนำสาส์นตราตั้งส่งไปตรงหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ในสาส์นนั้นบอกว่าอีกไม่กี่วันเขาจะมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงเข้าใจได้ในทันที เพียงแต่กลัดกลุ้มที่เสด็จพี่ของเขายังอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน หากท่านข่านรู้ต้องคิดว่าเขาปฏิบัติต่อไทเฮาของพวกเขาไม่ดีเป็นแน่

ตามหลักแล้วข่านผู้นี้มีศักดิ์เป็นหลานชายของเขา ก็ควรจะพบหน้าอย่างคนที่สนิทสนมกัน แต่ว่าเซี่ยวั่งซูไม่ชอบหน้าเขา และตอนนี้ก็มีเรื่องมากมายรอให้เขาจัดการ หากต้องไปรับคนที่หมู่บ้านตระกูลเฉินด้วยตัวเอง เกรงว่าคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนด่าอีกยกเป็นแน่

โชคดีที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินยังมีเวลาอีกหลายวัน จึงให้คนพาอี้ชุ่นไปเตรียมที่พักของทูต ดูว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่

อี้ชุ่นก็ขี้เกียจจะพูดกับเขา แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบฮ่องเต้เซี่ยเจิน แต่เขากลับรู้สึกว่าร่างกายของฮ่องเต้พระองค์นี้ราวกับถูกควักไปจนกลวงหมดแล้ว หากตามที่ชาวถู่เจียพูดกัน เทพหมาป่าคงลงโทษสถานหนักจึงได้มีสภาพเช่นนี้

.