บทที่ 265.2 ฟื้นคืนความทรงจำ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 265 ฟื้นคืนความทรงจำ (2)
อีกฝ่ายไม่ได้มาดี ต้องการจับตัวพวกเขาไป หรือหากกลับไปก็ถูกฉังจิ่งฆ่าทิ้ง ไม่ว่าทางไหนก็เห็นท่าไม่ดีทั้งนั้น

“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใครกัน” จี้จิ่วอาวุโสถามอย่างตื่นตระหนก

คนชุดดำนำนับสิบแหวกทางออก ด้านหลังของพวกเขามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ พอได้ยินเสียงนั้นม่านของรถม้าก็ถูกเลิกขึ้น ราชครูจวงเดินลงมาจากรถม้า

สองมือของราชครูจวงสอดไว้ในแขนเสื้อกว้าง สีหน้าดูเย่อหยิ่งแต่ก็ดูถ่อมตนในเวลาเดียวกัน เขาเยื้องย่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง กวาดตามองหญิงชราและจี้จิ่วอาวุโส แววตาก็พลันเยือกเย็นขึ้นมา “ที่แท้ก็เจ้านี่เอง!”

มิน่าล่ะคราวก่อนที่เจออีกฝ่ายที่ตรอกปี้สุ่ยถึงได้รู้สึกแปลกชอบกล ที่แท้ก็คนคุ้นเคยนี่เอง! มิน่าล่ะถึงได้ลนลานปิดประตูเช่นนั้น มิน่าล่ะถึงไม่กล้าสู้หน้าเขา

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

แถมยังอยู่กับไทเฮาด้วย

ก่อนที่จี้จิ่วฮั่วจะออกจากราชการเคยฟาดฟันกับไทเฮาอย่างเอาเป็นเอาตาย ห้ำหั่นกันถึงสองรัชสมัย สู้รบปรบมือกันตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจวบจบพระองค์ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าชาตินี้ก็ไม่มีวันญาติดีกันได้

ทว่าทั้งสองคนกลับปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เดียวกัน แถมยังท่าทางดูสนิทชิดเชื้อกันอีกต่างหาก!

คงจะมีเรื่องที่ตนยังไม่รู้สินะ ทว่ายามนี้ไม่มีเวลาคิดไต่ตรอง เรื่องเร่งด่วนในยามนี้คือต้องรีบพาตัวไทเฮากลับไปให้เร็วที่สุด!

สายตาของราชครูจวงหยุดอยู่ที่มือของจี้จิ่วอาวุโสที่กำรอบข้อมือของหญิงชรา แววตาของเขาเปลี่ยนไปในทันใด ก่อนจะคำรามลั่นออกมา “สามหาว!”

จี้จิ่วอาวุโสชักมือกลับด้วยความรู้สึกผิด

ราชครูจวงไม่กล้าใช้คำพูดหยาบคายต่อหน้าหญิงชรา เขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องพี่ กลับไปกับพี่”

หญิงชรามองเขาด้วยสายตารังเกียจ “ไสหัวไป”

ราชครูจวง “…”

ราชครูจวงสูดหายใจลึก บอกตัวเองว่าไทเฮาแค่ความจำเสื่อม คำที่นางพูดไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ และไม่ใช่คำประกาศิตของไทเฮา

หากไทเฮาจำได้แล้วว่าตนเองเป็นใคร ย่อมยกโทษให้สิ่งที่เขาทำลงไปในวันนี้อย่างแน่นอน

เขาเหลียวกลับไปสั่งเหล่าคนชุดดำ “พาตัวไทเฮาไป! ส่วนคนผู้นั้น…” เขามองจี้จิ่วอาวุโสหัวจรดเท้า “จัดการเสีย!”

เป็นถึงไทเฮาเจ้าแคว้นแต่กลับมีมลทินหม่นหมองกับชายอื่น หากเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้แพร่งพรายออกไป แล้วกลายเป็นที่ซิบซุบนินทายังไม่เท่าไหร่ เกรงว่าจะรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีและตำแหน่งไว้ไม่ได้เนี่ยสิ

ฮ่องเต้ยิ่งไม่มีข้ออ้างใดเป็นเหตุสั่งปลดไทเฮาอยู่พอดี เขาไม่มียอมให้ฮ่องเต้ฉวยโอกาสนี้ไปได้

จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยเสียงเย็น “จวงป๋อยงเจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าจะฆ่าคนกลางถนนเช่นนี้เชียวหรือ” ดูสิดูแต่ละคน เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาหรือไร

ราชครูจวงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าวางแผนลอบสังหารไทเฮา ข้าฆ่าฆาตกรเช่นเจ้า จะมีความผิดได้อย่างไร”

พูดจบ เขายกมือส่งสัญญาณให้ลงมือฆ่า ไม่แยแสจี้จิ่วอาวุโสอีกต่อไป

อีกฟากหนึ่ง กู้เจียวและฉังจิ่งออกกระบวนท่าจนมือเท้าเป็นพันลวัน เจ้าหมอนี่วรยุทธ์สูงส่งนัก กำลังของกู้เจียวเพิ่งจะฟื้นคืนมาแค่สามส่วนจากชาติก่อน รับมือเจ้าหมอนี่ไม่ไหวจริงๆ!

ทันในนั้นเอง กู้เจียวก็สังเกตเห็นลูกแก้วในกระเป๋ากางเกงของเขา นางจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้เจอเขา เขาเหมือนกำลังมองหาลูกแก้วบนพื้น

แววตาของกู้เจียวเป็นประกายขึ้นมาในทันใด หัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกเข้ากับหน้าท้องของเขา ฉังจิ่งยกมือขึ้นป้องกันการโจมตีของนางตามสัญชาตญาณ กู้เจียวยื่นมือข้างหนึ่งออกมาแล้วฉีกกระเป๋าเขาจนเสียงดังแควก

ลูกแก้วของเขากลิ้งกระเด้งกระดอนลงบนพื้น

ฉังจิ่ง ‘ลูกแก้วของข้า!’

ฉังจิ่งไม่สนใจกู้เจียวอีกต่อไป เขามัวแต่ตามเก็บลูกแก้ว

กู้เจียวรีบตามไปทางที่จี้จิ่วอาวุโสและท่านย่าหนีไป

ท้องฟ้าราวกับถูกกรีดเปิดเป็นแผลกว้าง สายฝนกระหน่ำตกเทลงมาในทันใด

หญิงชราและจี้จิ่วอาวุโสถูกคนชุดดำแยกตัวออกจากกัน คนชุดดำไม่กล้ารุนแรงกับหญิงชรามากนัก ทำได้เพียงออกแรงฉุดรั้งนางเท่าที่ทำได้ แล้วลากตัวนางขึ้นรถม้าไป แต่กับจี้จิ่วอาวุโสนั้น พวกเขาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

จี้จิ่วอาวุโสถูกเตะจนหมอบไปกับพื้น เจ็บจนแทบหยัดตัวลุกขึ้นมาไม่ไหว

“หยุดนะ!” หญิงชราบอกกับราชครูจวง

ราชครูจวงทำหูทวนลม “ไทเฮาโปรดขึ้นรถม้าพ่ะย่ะค่ะ!”

ชายชุดดำผู้หนึ่งชักดาบออกมาแล้วจ่อไปที่ลำคอของจี้จิ่วอาวุโส

วินาทีนั้นเข็มเงินเล่มหนึ่งก็แทงทะลุม่านฝนที่ตกกระหน่ำ แล้วปักเข้ากับข้อมือของชายชุดดำในทันใด!

ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วข้อมือของชายชุดดำ ดาบในมือร่วงลงสู่พื้น

คนที่เหลือที่เห็นเหตุการณ์ ก็พากันหันไปมองทางกู้เจียว ก่อนจะชักดาบในมือแล้วชี้ไปทางกู้เจียวอย่างพร้อมเพรียง

สายฝนโหมกระหน่ำ

กู้เจียวเดินฝ่ผ่าสายฝน คนเหล่านั้นล้อมเข้ามาหมายจะโจมตี กู้เจียวทะยานตัวขึ้น เหยียบหัวนักฆ่าชุดดำคนหนึ่ง ก่อนจะม้วนพลิกตัวผ่านไป ทั้งยังชักดาบข้างเอวของเขาติดมือไปด้วย และใช้มีดสั้นอีกด้ามหนึ่งกันดาบยาวที่พุ่งมาหาตน

กู้เจียวกำดาบไว้ในมือ ชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ดวงตาทั้งสองราวกับกองเพลิงลุกโชน รังสีพิฆาตอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง!

คนเหล่านี้ฝีมือเทียบกับฉังจิ่งไม่ได้เลยสักนิด ใช้เวลาเพียงไม่นานก็แหวกทางจนมาประชิดหลังของหญิงชรา

ทว่าวินาทีที่กำลังจะคว้าตัวหญิงชรา ชายชุดดำผู้หนึ่งก็ยกดาบยาวจ่อที่ลำคอของจี้จิ่วอาวุโส “อย่าขยับ! ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเขา!”

กู้เจียวปากริชในมือออกไปในทันที ดาบยาวของคนผู้นั่นร่วงลงสู่พื้น กู้เจียวพลันย่างสามขุมเข้าไปใกล้ แล้วคว้ากริชที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ขาข้างหนึ่งถีบอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองกับพื้น นางกระชากผมของอีกฝ่ายแล้วใช้กริชเชือดลำคอของเขา!

กู้เจียวมาอยู่ที่นี่ก็นานแล้ว แต่ก็พยายามยับยั้งตัวเองมาตลอด นางไม่ใช้อาวุธใด ใช้เพียงแค่เข็มเงินที่ไร้เลือดให้เห็น เพราะเลือดนั้นทำให้นางบ้าคลั่ง

อาจารย์เคยพูดเอาไว้ว่านางคือเครื่องมือสังหารอันสมบูรณ์แบบ

และคงจะเป็นอย่างที่เขาว่า

นางรักษาผ่าตัดคน ความจริงแล้วไม่ใช่เพื่อนช่วยชีวิตใครแต่อย่างใด แต่นางทำเป็นฝึกฝนจิตใจของตัวเอง

นางต้องควบคุมตัวเองไม่ให้เผยความโหดเหี้ยมออกมา

ทว่ายามนี้ คมมีดของนางได้กรีดลึกลงไปผิวของอีกฝ่าย สายเลือดไหลไปตามคมมีดเพราะสายฝน

ความเหี้ยมโหดภายในตัวกู้เจียวเริ่มทำงาน นางกำกริชไว้ในมือ ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นสะท้านไม่หยุด

นางจะฆ่าเพียงคนเดียว และจะฆ่าเป็นคนสุดท้าย

“เจียวเจียว”

ทันในนั้นเองหญิงชราก็กุมมือของนางไว้ ฝ่ามือที่ร่วงโรยไปตามวัยเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นกอบกุมหลังมืออันอ่อนเยาว์ของนางเอาไว้ “เจียวเจียวเด็กดี มาหาย่าเร็ว”

น้ำเสียงนั้นดังขึ้นข้างใบหูแท้ๆ แต่เหมือนราวกับดังอยู่ใต้น้ำ ได้ยินเพียงรำไร

“เจียวเจียว”

“เจียวเจียว”

หญิงชราเรียกนางครั้งแล้วครั้งเล่า

ในที่สุดเลือดอำมหิตในกายของกู้เจียวก็คลายกำลังลง เส้นเลือดฝอยในดวงตาของนางค่อยๆ เลือนหาย นางเหลียวกลับไปมอง ก่อนจะทิ้งกริชในมือลง “ท่านย่า ข้ามาพาท่านกลับบ้าน”

หญิงชราพยักหน้า “จ้ะ”

ราชครูชะงักงันเพราะรังสีนักฆ่าของกู้เจียว จนลืมไปเสียสนิทว่าต้องร้องตะโกนหยุดนาง

ชายชุดดำล้วนแต่มองกู้เจียวด้วยสายตาหวาดกลัว มือหนึ่งถือดาบชี้ไปที่นาง ขณะเดียวกันก็ถอยห่างอย่างระแวดระวัง

ไม่ใช่เพียงฝีมือของนางที่แข็งแกร่ง แต่รังสีอาฆาตที่แผ่ซ่านอย่างรุนแรงนั้นมากกว่าที่ทำให้คนกลัวจนหัวหดไปตามๆ กัน

ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ยามนี้กู้เจียวจะอยู่ข้างกายหญิงชรา ยอมให้หญิงชราจูงมือตัวเองอย่างว่าง่าย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามเลยสักคน

ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกนางเดินจากไป ฝนตกหนักเหลือเกิน เพิงคลอนแคลนที่ตั้งอยู่ในตรอกไม่อาจต้านทานสายฝนอันรุนแรงได้ เสียงสะพานขาดดังสะเทือน หลังคายักษ์ถล่มลงมาตำแหน่งที่กู้เจียวและหญิงชรามุ่งหน้าไป

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วนัก จี้จิ่วอาวุโสหมายจะเข้าไปผลักพวกนางแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

สองหูของกู้เจียวกระตุก เมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง หลังคาขนาดใหญ่ก็ทับลงมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก แม้นางจะค้ำยำไม่ไหว แต่นางก็หันหลังกลับไปแล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของท่านย่าเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ป้องกันท้ายทอยของนาง ใช้ข้อศอกรองรับเมื่อล้มลงไปกับพื้น

นางใช้ร่างของตนเป็นกำบังให้กับหญิงชรา

หญิงชรามองหลังคาที่ทับกู้เจียวอยู่ นางผลักกู้เจียวไม่ไหว ทำได้เพียงให้มือป้องศีรษะของกู้เจียวไว้

นางป้องกันศีรษะของกู้เจียวไว้ได้ แต่กลับไม่อาจปกป้องตัวเอง ไม้ท่อนหนึ่งตกลงมากระแทกเข้ากลางหน้าผากของนาง!

‘ไทเฮา…’

‘จวงจิ่นเซ่ส่อ…’

ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วทั้งหัวสมอง ราวกับสมองถูกกรีดเป็นแผลเปิดอ้า ภาพคุ้นเคยและแปลกตานับไม่ถ้วนชักนำให้ความทรงจำทะลักเข้ามา

‘จิ่นเซ่ส่อ ไหนบอกพ่อซิ โตมาเจ้าอยากเป็นอะไร’

‘อยากเป็นนกตัวหนึ่ง’

‘เพราะเหตุใดเล่า’

‘เพราะว่าบินได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ! เช่นนั้นแล้วข้าก็จะไม่ต้องถูกขังอยู่ในเรือนทั้งวัน!’

‘จิ่นเซ่ส่อ นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือฮองเฮาแห่งแคว้นเจาแล้ว’

‘เรากับฮองเฮาจะเคียงข้างกันจนแก่เฒ่า ผูกใจกันตลอดกาล’

‘ฝ่าบาทบรรทมที่ตำหนักว่านฝูแล้ว ฮองเฮาอย่าได้รอฝ่าบาทมาชมจันทร์ด้วยเลย ต้นเดือนหน้าฝ่าบาทจึงจะมาหา’

‘จิ่นเซ่ส่อ…ชั่วชีวิตนี้ของเจ้า…เคยรักเราบ้างหรือไม่’

‘ไทเฮาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!’