หากเทียบความรันทดที่เกิดขึ้นกับจวนจูแล้ว จวนอันกั๋วกงก็ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน
บุตรชายของจูเส้าชิงทำผิด เหตุไฉนจวนอันกั๋วกงถึงพลอยถูกลงโทษเป็นเงินเดือนตั้งหนึ่งปี นี่มันหายนะที่ไร้ซึ่งสัญญาณแจ้งเตือน
อันกั๋วกงในขณะนี้ยังคงสงบนิ่ง ทว่าเว่ยซื่อ ฮูหยินแห่งอันกั๋วกงกำลังโกรธจนควันออกหู ครั้นจะว่าลูกชายก็ติดจะลังเล จึงหาเหตุผลไปลงที่เฉี่ยวเหนียง
เฉี่ยวเหนียงกลับไปที่ห้องของตนเอง พลางซบหน้าลงบนหมอนและร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น
จี้ฉงอี้เดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้แผ่วเบาของนาง
ฝีเท้าของเขาหยุดชะงัก ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่น
จู่ๆ จวนกั๋วกงก็ถูกพายุพัดโหมกระหน่ำอีกครั้งอย่างไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ เป็นอีกครั้งที่ต้องตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน แล้วจะให้เขารู้สึกดีได้อย่างไร
สหายที่คบหากันมานานแรมปีมองเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม ราวกับว่าเขาได้ก่ออาชญากรรมชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเพียงแต่เลือกแต่งงานกับสตรีที่ตนปรารถนา เรื่องมันก็มีเท่านั้น
หากเทียบกับพวกเสเพลที่ไปเที่ยวเล่นในหอโคมเขียว และให้เหล่าหญิงงามเมืองมาคอยปรนนิบัติแล้ว เขาทำผิดอะไร
ความรู้สึกของการถูกสหายปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ทำให้จี้ฉงอี้เป็นทุกข์และรู้สึกจนตรอกยิ่งนัก
ต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าสายตาแห่งความดูถูกจะจางหายไปได้ แต่ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าสายตาเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้จี้ฉงอี้หดหู่มากกว่าเก่า
เขาเดินเข้าไปในห้องหวังจะได้พักผ่อน แต่กลับได้ยินเสียงร่ำไห้ของผู้เป็นภรรยา
หากเป็นเมื่อสองสามเดือนก่อน ครั้นได้ยินเสียงร้องไห้เช่นนี้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคงเป็นความกังวลและความทุกข์ทรมานใจ เขาคงจะรีบเข้าไปถามไถ่และดึงภรรยามาไว้ในอ้อมกอดพลางปลอบประโลม
ทว่าตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ความรู้สึกเดียวที่เกิดขึ้นคือความเบื่อหน่ายอย่างยิ่งยวด
ท่านแม่เพียงตำหนิ ภรรยาของเขาก็จะร้องไห้ ยามถูกน้องสาวปฏิบัติด้วยท่าทีเย็นชา ภรรยาของเขาก็ร้องไห้ หรือแม้แต่การถูกบ่าวรับใช้ละเลย ภรรยาของเขาก็เอาแต่ร้องไห้…
เขาเองก็เบื่อและเหนื่อยเป็นเหมือนกัน
เขาไม่มีสิทธิ์เจ็บปวดทุกข์ใจหรือเสียน้ำตาเลยหรืออย่างไร เพียงเพราะเป็นบุรุษ การที่ตัดสินใจเลือกหนทางของตัวแล้วจะไม่มีสิทธิ์หรือไม่มีหน้าร้องไห้เลยงั้นหรือ
มันช่างต่างกันจริงๆ
ยามที่เขารู้สึกท้อแท้ เขาหวังเพียงว่าเมื่อกลับมาแล้วจะได้พบชาร้อนๆ สักถ้วยพร้อมกับถ้อยคำปลอบใจ หาใช่ใบหน้าเศร้าโศกอมทุกข์เหมือนในขณะนี้
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เสียงหัวเราะร่าของเด็กสาวขณะอยู่ในอ้อมแขนของเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
จี้ฉงอี้หันหลังกลับและตรงไปที่ห้องตำรา
สาวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ที่ประตูทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นจี้ฉงอี้เดินจากไปไกลแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะให้กับตนเอง
นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน คุณชายสามก็เมินซานเซ่าไหน่ไนเสียแล้ว เสียงแรงที่นางเคยรู้สึกอิจฉาความโชคดีของซานเซ่าไหน่ไน
เพียงแต่ว่า… ดวงตาของสาวรับใช้เปลี่ยนไป รอยยิ้มเริ่มปรากฏที่มุมปาก
คุณชายสามเมินซานเซ่าไหน่ไนก็ดี เพราะมิฉะนั้นแล้วคนอื่นจะมีโอกาสได้อย่างไร
ในมุมของสาวรับใช้ ฐานะของพวกนางนั้นต่ำต้อย มิอาจสู้เหล่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่เพราะหญิงธรรมดายังแต่งงานเข้ามาในจวนกั๋วกงและครองตำแหน่งเซ่าไหน่ไนได้ การที่พวกนางอยากจะเป็นอนุภรรยาก็คงมิใช่ฝันลมๆ แล้งๆ
……
คำสั่งลงโทษจวนจูสร้างความประทับใจให้เจียงอันเฉิงเป็นอย่างมาก แต่ทว่าการหย่าร้างระหว่างบุตรสาวคนโตและจูจื่ออวี้ก็มีความยุ่งยากอยู่พอตัว
คนตระกูลจูไม่ยอมลงนามในเอกสารหย่าร้าง เนื่องจากบนหนังสือนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เยียนเยียน บุตรสาวของจูจื่ออวี้และเจียงอีจะต้องอาศัยอยู่กับฝ่ายหญิง
ครั้นเฝิงเหล่าฮูหยินเห็นบทลงโทษที่ตระกูลจูได้รับแล้วก็หมายจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวทันที แต่เมื่อเห็นว่าการหย่าร้างต้องยืดเยื้อเพียงเพราะเยียนเยียน นางจึงรีบหันไปบอกเจียงอันเฉิงว่า “ในเมื่อเยียนเยียนแซ่จู เดิมทีก็นับว่าเป็นบุตรสาวของตระกูลจู ในเมื่อบิดาทำผิดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ โลกนี้น่ะมีอย่างที่ไหนหย่ากันไปแล้ว แต่ดันพาลูกสาวของบ้านสามีกลับมาด้วย ข้าว่าปล่อยๆ นางไปเถิด”
“ไม่ได้ขอรับ!” เจียงอันเฉิงและเจียงจั้นตอบเป็นเสียงเดียวกัน
เฝิงเหล่าฮูหยินถลึงตามองเจียงจั้นอย่างไม่พอใจ “วันนี้เจ้าไม่ต้องไปเข้าเวรหรืออย่างไร”
“หลานลาหยุดเรียบร้อยแล้วขอรับ หากเรื่องของพี่ใหญ่ยังจัดการไม่เรียบร้อย หลานก็ไม่มีกะจิตกะใจไปเข้าเวรหรอกขอรับ”
ใบหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินคล้ำลง “ไร้สาระ เจ้าจะช่วยอะไรได้ หรือว่าเจ้าจะไปแย่งตัวเยียนเยียนมาจากจวนจูรึ”
“หากการแย่งตัวมาไม่มีผลทางกฎหมาย หลานก็จะทำขอรับ” เจียงจั้นกล่าวติดจะเสียดาย
น่าเสียดายที่ยังมีกฎหมายผูกพันอยู่เช่นนี้ จวนจูกำลังตกที่นั่งลำบาก สายตาหลายคู่กำลังจับจ้องไปที่นั่น หากเขาไปแย่งตัวหลานสาวมา จวนจูจะต้องฟ้องร้องเป็นแน่
เจียงอันเฉิงขมวดคิ้วพลางกล่าว “ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป การหย่าร้างมิใช่เรื่องเล็กๆ และก็มิใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ จะต้องมีกระบวนการในการเจรจา จวนจูกำลังตกที่นั่งลำบาก ดูท่าแล้วอนาคตก็มีแต่จะแย่ลง ส่วนเรื่องเยียนเยียนขอแค่พวกเราไม่ยอมแพ้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องปล่อยมือจากหลานอย่างแน่นอน”
“เพียงแต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็คงใช้เวลานาน” เจียงซื่อเอ่ยเสียงเบา
แม้เสียงของนางจะแผ่วเบา ทว่าก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้
เจียงจั้นนึกถึงสิ่งที่เจียงซื่อกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ และดวงตาของเขาก็พลันเป็นประกาย “น้องสี่ หรือว่าเจ้ามีวิธี”
เฝิงเหล่าฮูหยินมองไปที่หลานสาวพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น
ตั้งแต่การเดิมพันครั้งก่อน เมื่อใดที่ได้เห็นใบหน้าของหลานสาวผู้นี้ ในใจของนางก็จะยิ่งเกิดความรู้สึกสับสน
อย่างแรกเป็นเพราะการกล่าวอย่างตรงไปตรงมาของเด็กสาวตัวเล็กๆ นี่ทำให้นางรู้สึกรำคาญใจ แต่ในขณะเดียวกันนางก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือว่านางจะทำได้จริงตามที่พูด
หย่งชังปั๋วซื่อจื่อที่อยู่เรือนติดกัน เอ้ย ตอนนี้คงต้องเรียกว่าหย่งชังปั๋วแล้วซี ทั้งหย่งชังปั๋วและหนูสี่ต่างก็เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย การที่หนูสี่กล่าวอย่างหนักแน่นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะบางทีเด็กนั่นอาจทำสัญญาอะไรกับหนูสี่เอาไว้
หย่งชังปั๋วที่เพิ่งรับตำแหน่งต่อจากบิดาจะต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปีแล้วจะอย่างไร ในเมื่อสามปีข้างหน้าหนูสี่ก็ยังอายุไม่ถึงสิบแปดปี นางอายุยังน้อย ออกเรือนไปแล้วก็แค่ต้องมีบุตรทันที จะได้ลงหลักปักฐานครอบครัวที่มั่นคง
นับประสาอะไรกับเรื่องเดิมพันแค่หนึ่งปี เฝิงเหล่าฮูหยินแสดงออกอย่างไม่ยี่หระ
หากฮ่องเต้มิได้มีพระประสงค์จะขยับขยายวังหลัง แล้วหนูสี่จะไต่เต้าขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร
สำหรับเฝิงเหล่าฮูหยินแล้ว การที่เจียงซื่อได้เป็นฮูหยินหย่งชั่งปั๋วดีกว่าการเป็นนางสนมในวังเป็นไหนๆ
ฮ่องเต้พระชันษามากแล้ว ทั้งยังมีเหล่าโอรสและธิดาอีกเป็นโขยง การจะเข้าไปเป็นสนมในวังจะมีประโยชน์อะไร นอกจากนี้หากเหล่าชนชั้นสูงพวกนั้นเห็นใบหน้าของหนูสี่แล้วรังแต่จะเป็นการสร้างศัตรูให้แก่จวนปั๋วเท่านั้น
เนื่องจากเฝิงเหล่าฮูหยินไม่เคยลืมว่าเหตุใดสุดท้ายมารดาของเจียงซื่อถึงได้แต่งงานมาอยู่ในจวนปั๋ว การมีมารดาเช่นนั้น ไทเฮาและองค์หญิงใหญ่หรงหยางยังปฏิบัติดีต่อหลานของนางอยู่ได้ก็พิลึกเต็มที
“ลองว่าวิธีของเจ้าให้ข้าฟังสิ” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวออกไปพลางลอบส่ายศีรษะเบาๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางอดทนฟังคำไร้สาระจากเด็กคนนี้
“ในเมื่อจวนจูไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงแต่โดยดี ก็ให้ทางการเป็นผู้ตัดสินอย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าจะบ้ารึ!” เฝิงเหล่าฮูหยินปฏิเสธทันควัน “ฝ่ายชายไปมีหญิงอื่นนอกจวน โดยมากแล้วยังใช้เหตุผลนี้มาหย่าร้างมิได้เลย แล้วทางการจะตัดสินอย่างยุติธรรมได้อย่างไร”
เจียงซื่อหัวเราะ “แล้วถ้าเป็นเรื่องที่จูจื่ออวี้จงใจจะฆ่าภรรยาตัวเองล่ะเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินตะลึงค้างไป
เจียงอันเฉิงสบถด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เดรัจฉานอย่างจูจื่ออวี้ ข้าถึงได้ยืนกรานว่าจะให้อีเอ๋อร์ออกมาจากแดนนรกนั้นให้จงได้ ติดก็ตรงที่ไม่มีหลักฐานเท่านั้น!”
“ใครว่าไม่มีหลักฐานล่ะเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าบิดา พี่ชายและคนอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว เจียงซื่อจึงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยออกมาเพียงสองคำ “ข้ามี”
เจียงอันเฉิงลุกพรวดและรีบถามอย่างกระตือรือร้น “จริงรึ”
เจียงซื่อยังคงยิ้ม “ลูกจะเอาเรื่องเช่นนี้มาล้อเล่นได้อย่างไร ท่านพ่อ ท่านช่วยพาลูกไปหาใต้เท้าเจิน และลูกจะเอาหนังสือฟ้องหย่ากลับมาเองเจ้าค่ะ”
เรื่องเหยียบคนล้มให้จมดินทำนองนี้ นางถนัดเป็นที่สุด