บทที่ 396 ไม่อนุญาต
บทที่ 396 ไม่อนุญาต
“ให้ข้าดูหน่อยสิว่าผู้ใดกันกล้าดีเช่นนี้!” เสียงตะโกนนี้ คือหนิวเอ้อที่นำกำลังคนมาจากในหมู่บ้าน
ทหารรักษาการณ์ทั้งสองที่ห้ามปรามคนของสำนักปกครองเอาไว้ เมื่อเห็นพวกหนิวเอ้อปรากฏตัว ความหวาดกลัวที่พวกเขาเคยแสดงออกมาจึงเลือนหาย กระทั่งถูกแทนที่ด้วยความสงบ
“เจ้าเป็นใคร?” ที่ปรึกษาของกัวจื่อหมิงควบคุมม้าอย่างระมัดระวังไปถามหนิวเอ้อ
ด้วยฐานะคนของสำนักปกครอง การขี่ม้าจึงเป็นเรื่องยากและไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก การเดินทางมาเยือนหมู่บ้านเร้นลับครั้งนี้พวกเขายังต้องใช้เวลากันไปไม่น้อย และเพราะที่ปรึกษาไม่ทราบวิธีขี่ม้า ทำให้ความเร็วในการเดินทางยิ่งเชื่องช้า แม้จะออกเดินทางจากเทศมณฑลตามหลังพวกหวังปิง แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่หวังปิงเดินทางมาถึงพอสมควร
“รองหัวหน้าหน่วยทหารแห่งหมู่บ้านเร้นลับ!” หนิวเอ้อตอบอย่างภาคภูมิใจ สำหรับเขาแล้วการได้เป็นรองหัวหน้าของหน่วยทหารแห่งหมู่บ้านเร้นลับนับเป็นเกียรติ
“แล้วทางฝั่งนั้นเป็นใคร?!” หนิวเอ้อตั้งคำถามพร้อมชี้นิ้ว
“กล้าจนอวดดีไปแล้วหรือ! นี่คือที่ปรึกษาของเทศมณฑล! เหตุใดตอนนี้เจอท่านแล้วยังไม่คุกเข่า?” เจ้าหน้าที่ข้าง ๆ ที่ปรึกษาตะโกนด่าหนิวเอ้อ
“ที่ปรึกษา?” หนิวเอ้อมองที่ปรึกษาตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนที่ปรึกษาเผยสีหน้าภาคภูมิยิ้มย่อง แม้สถานะตนเองจะเป็นเช่นนี้ แต่ทั่วทั้งอาณาจักรเหยียนเฟิงก็ยังมีหน้ามีตา โดยเฉพาะภายในเทศมณฑลชิงหยวน เขาถือเป็นบุคคลสำคัญ นอกจากกัวจื่อหมิงที่เป็นผู้ปกครองเทศมณฑลแล้ว คนอื่นเมื่อเจอเขาก็มีแต่จะต้องเห็นแก่หน้า
ทว่าขณะที่ปรึกษากำลังภูมิใจ พลางคิดว่าพวกหนิวเอ้อคงคุกเข่ายอมรับความผิดพลาด กลับตระหนักว่าสีหน้าท่าทีของอีกฝ่ายกลับแสดงออกเป็นดูหมิ่น
“แล้วไง?”
ที่ปรึกษาชะงัก
ในเทศมณฑลชิงหยวน นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่ไร้ความกลัวเกรงไม่เห็นแก่หน้าตน กระทั่งดูหมิ่นออกมาให้เห็นชัด
หลังรู้สึกตัว ที่ปรึกษาจึงโพล่งโทสะชี้นิ้วใส่หนิวเอ้อ “สามหาว! เจ้าอยากตายหรือ?”
บรรดาเจ้าหน้าที่ร่วมทาง เมื่อเห็นที่ปรึกษาถูกดูหมิ่นจึงจ้องหนิวเอ้อดวงตาแทบถลน
ทว่าที่พวกเขาไม่คาดเอาไว้คือสีหน้าท่าทีโกรธขึ้งของพวกตน กลับไม่อาจทำให้หนิวเอ้อสะทกสะท้านแม้แต่น้อย กลับกันเสียด้วยซ้ำ บรรยากาศตอนนี้กลายเป็นตึงเครียด หวังปิงที่อยู่ด้านหลังหนิวเอ้อเดินออกมาไกล่เกลี่ย “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะเอาไว้ก่อนขอรับ รองหัวหน้าของพวกเราไม่เชี่ยวชาญด้านการเจรจา หวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสา”
“พูดดีกับพวกมันทำไม” เมื่อเห็นหวังปิงตอบรับเช่นนี้ หนิวเอ้อจึงไม่พอใจขึ้นมา
หวังปิงจำต้องกระซิบตอบหนิวเอ้อ “นายท่านไม่อยู่บ้าน พวกเราควรสงบเสงี่ยมเจียมตัว อย่าได้สร้างปัญหา หากเกิดอะไรขึ้น เมื่อนายท่านกลับมาเจ้าสามารถอธิบายได้งั้นหรือ?”
“จะมีปัญหาขนาดนั้นเชียวหรือ?” หนิวเอ้อบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของหวังปิง
ที่ปรึกษาและคณะเห็นหวังปิงออกมาพูดคุยด้วยดี ใจที่โกรธขึ้งจึงพอระงับลงได้บ้าง พวกเขาเดินทางมาที่นี่วันนี้ไม่ใช่เพื่อประกาศศักดาต่อคนยากไร้หลังเขาไร้มารยาทและไม่รู้เรื่องราว อย่างไรยุคนี้ก็แทบไร้ซึ่งความสงบสุข หากกระตุ้นโทสะกันไปมา สุดท้ายก็จะเกิดเรื่องขึ้น และพวกเขาทราบดีว่าการทำภารกิจที่กัวจื่อหมิงมอบหมายมาให้นั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“หลีกทางเสีย พวกเราจะเข้าไปด้านในหมู่บ้าน” ที่ปรึกษาตอบกลับมา
ขณะหนิวเอ้อคิดโพล่งโทสะตอบโต้อีกครั้ง หวังปิงกลับห้ามอีกฝ่ายไว้และหันไปบอกที่รึกษา “นายท่านที่ปรึกษา ตอนนายท่านของข้าออกเดินทางได้ออกคำสั่งเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าหมู่บ้านหากปราศจากการอนุญาตโดยตัวนายท่านเสียก่อน หวังว่าท่านที่ปรึกษาและคณะจะเข้าใจนะขอรับ”
“ไร้สาระ! พวกเราเป็นผู้รับใช้พระราชสำนัก กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางพวกเรา?” เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปกครองโต้เถียงกับหวังปิง
“แม้เป็นคนของทางการก็ไม่ได้ขอรับ” หวังปิงตอบกลับด้วยท่าทีไม่ยอมถอย “ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อใดนายท่านกลับมา พวกเราก็คงไม่มีหน้าไปอธิบาย”
“คิดขัดขืนกฎบ้านเมืองงั้นหรือ? หมู่บ้านเร้นลับแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของเทศมณฑลชิงหยวน กล้าดีอย่างไรขัดขวางธุระของทางการไม่ให้เข้าหมู่บ้าน?” ที่ปรึกษาถลึงตามองหวังปิงและคณะ
“หมู่บ้านเร้นลับอยู่ภายใต้การปกครองของเทศมณฑลชิงหยวนจริง ๆ ขอรับ แต่นายท่านของข้าคือผู้นำหน่วยรักษาการณ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ มีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของที่นี่ ผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ถือว่าอาจเป็นภัยคุกคามหรืออันตรายซ่อนเร้น พวกเราไม่อาจให้เข้าหมู่บ้านได้ขอรับ” หวังปิงตอบกลับ
“พวกเราก็เข้าไปไม่ได้งั้นหรือ?” ที่ปรึกษาตั้งคำถามด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
“ไม่ได้ขอรับ” หวังปิงส่ายหน้า
“แล้วถ้าพวกเราจะเข้าไป?” ที่ปรึกษาเผยสีหน้าบิดเบี้ยว เขารู้สึกได้ว่านับตั้งแต่ตนเองเป็นที่ปรึกษาของเทศมณฑลชิงหยวนมา ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ประสบเหตุการณ์ชวนโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้
หวังปิงมองตอบที่ปรึกษา ก่อนจะถอยไปสองก้าวและหันไปบอกกับหนิวเอ้อ “ยกให้เจ้าจัดการ”
วาจาไม่ได้ก็ต้องหมัด หวังปิงพูดดี ๆ และยกเหตุผลตามความเป็นจริงแล้ว หากอีกฝ่ายยังคงยืนกรานเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็ต้องตอบโต้ด้วยกำลัง
หนิวเอ้อหันหน้าไปบอกกับที่ปรึกษาและคณะ “ลองใช้กำลังบุกเข้ามาแล้วก็จะได้รู้!”
“วันนี้ข้าต้องเข้าหมู่บ้าน อยากเห็นนักว่าคนเช่นพวกเจ้าจะหยุดข้าอย่างไร!” ที่ปรึกษาที่นับเป็นตัวตนระดับสูงในเทศมณฑลชิงหยวนเอ่ยอย่างอหังการ เพราะถูกหน่วยรักษาการณ์ไม่กี่คนขวางทาง ทำให้เขารู้สึกถึงการดูหมิ่นเหยียดหยาม หากปล่อยเอาไว้เช่นนี้ ภายหน้าเขาจะยังมีหน้ามีตาในเทศมณฑลต่อไปได้อย่างไร?
เมื่อที่ปรึกษาส่งสัญญาณ กลุ่มคนจากสำนักปกครองด้านหลังจึงไร้ความลังเล ตอนนี้ควบม้าห้อตะบึงมุ่งหน้าเข้าหมู่บ้านเร้นลับ พวกเขาไม่เชื่อว่าหน่วยรักษาการณ์เหล่านี้จะหยุดยั้งพวกตนเอาไว้ได้ ต่อให้อีกฝ่ายกินดีหมีหรือหัวใจเสือจนหาญกล้าหยุดยั้ง ก็ถือว่าเป็นการแส่นำปัญหามาสู่ตนเอง!
พวกเขาเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักปกครอง แม้ไม่ใช่ทหารประจำการแห่งราชสำนัก แต่อย่างไรก็ต้องแข็งแกร่งกว่าหน่วยรักษาการณ์ตามหมู่บ้าน ผู้ซึ่งแทบไม่ได้แตกต่างกับชาวบ้านทำไร่นาทั่วไป อย่างน้อยก็ในความเห็นของพวกเขา
“เอาเลย! ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเหยียบเท้าเข้าหมู่บ้าน!” หนิวเอ้อนำหน้าพุ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปกครองก่อนใคร
ด้านหลังของหนิวเอ้อตามมาด้วยหวังปิง ผู้ซึ่งเมื่อครู่พูดด้วยดี ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว
หนิวเอ้อนำกำลังทหารของหมู่บ้านเร้นลับบุกเข้าขัดขวางเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปกครองเทศมณฑล พวกเขาเคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับทหารกบฏมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่กลัวเกรงการที่ต้องต่อสู้กับคนเหล่านี้
บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าหน่วยรักษาการณ์เหล่านี้ที่พวกตนปรามาส แท้จริงแล้วจะหาญกล้าถึงขนาดขัดขืนและขัดขวาง อีกทั้งยังเป็นฝ่ายบุกเข้าหาพวกตนก่อน
คนเหล่านี้ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?
หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะสนองให้สมดังหวัง!
บรรดาเจ้าหน้าที่หัวเราะกันอยู่ในใจ เหวี่ยงดาบใหญ่ในมือหมายฆ่าฟันคนของหน่วยรักษาการณ์
“ตึง!”
หนิวเอ้อที่นำหน้าพุ่งเข้าปะทะกับหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของสำนักปกครอง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดว่าเขาจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่งอะไร ดังนั้นเมื่อดาบใหญ่ในมือเจ้าหน้าที่เผชิญแรงปะทะ จึงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ กระทั่งตัวคนก็ยังต้องหล่นลงมา
“ไสหัวไป!” หนิวเอ้อยกขาขึ้นกระทืบหน้าอกของอีกฝ่าย ก่อนจะเตะร่างนั้นกระเด็นไกลออกไป
เมื่อหวังปิงและทหารประจำตัวของอู๋ฝานลงมือ พวกเขาต่างก็แสดงศักยภาพออกมาได้ดี คู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าถูกเล่นงานไม่อาจสู้ต่อ อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนกลุ่มแรกที่ติดตามชายหนุ่มมา เป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมายาวนานที่สุด มีอาวุธที่ดีที่สุดใช้งาน รวมกับที่ได้เรียนวิชายอดศัสตราวุธ ภายหลังพละกำลังจึงยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาเก่งเกินกว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ทราบเพียงวิธีขูดรีดประชาชนและพ่อค้าในเทศมณฑล