บทที่ 336 ค...ค...ค...คุณ...!

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 336 : ค…ค…ค…คุณ…!

หลังจากที่หลินเจี๋ยกับจี้จือซู่คุยกันจบแล้วบอกลากัน หลินเจี๋ยก็ปฏิเสธคำเสนอพาไปส่งห้องพักของจี้จือซู่

ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของเธอที่คล้อยจากไป แล้วเฟจกับเยด้าที่รออยู่ด้านข้างจึงกล้าเดินเข้ามาคุยกับเขา

หลินเจี๋ยหันหลับมาแล้วพูดกะทันหัน “โอ้ พวกคุณสองคน เมื่อครู่ขออภัยด้วยนะครับที่เอาแค่คุยกับคุณหนูจี้ตลอดเลย…”

“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไร ธุรกิจของคุณสำคัญกว่าครับ”

เฟจโบกไม้โบกมือพัลวัน แอบสังเกตใบหน้าที่ยังแย้มยิ้มอ่อนโยนตามปกติของหลินเจี๋ยแล้วอดใจสั่นไม่ได้…

แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว เจ้าหมอนี่เป็นตัวการใหญ่จริง ๆ!

ทั้งเรื่อง ‘สายฟ้า’ ที่ผ่าอยู่ไกล ๆ หรือ ‘แผ่นดินไหว’ ที่ตามมา จากการกวาดล้างตระกูลเฟร็ดในครั้งนี้ ทำให้เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาแน่ ๆ!

ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าหมอนี่ที่เรียกตัวเองว่าเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ แข็งแกร่งแค่ไหน ก็สามารถเห็นได้จากท่าทีของจี้จือซู่

เนื่องจากความได้เปรียบทางสถานะสังคมของจี้จือซู่โดยกำเนิด พวกแขกจึงคิดเข้าใจผิดกันไปเกี่ยวกับการแสดงออกของเธอว่าอาจจะเป็นการปฏิบัติอย่างสุภาพตามปกติก็ได้

แต่คนเร่ร่อนอย่างเฟจคุ้นชินกับการวางตัวของผู้น้อยเป็นอย่างดี และเขาอ่อนไหวอย่างมากในการตัดสินว่าการให้เกียรติแบบไหนเป็นแค่การวางตัวตามมารยาท แบบไหนเป็นการให้เกียรติอย่างแท้จริง

จี้จือซู่ถือว่าหลินเจี๋ยระดับสูงกว่าเธออย่างแน่นอนที่สุด!

เขาตัดสินใจถลาเข้าไปกอดต้นขาที่หนาที่สุดที่เห็น แล้วก้าวเข้าไปชิงพูดว่า “เอ่อ…คุณหลินครับ ในเมื่องานเต้นรำวันนี้จบแล้ว เรากลับที่พักด้วยกันเลยดีไหมครับ? ผมถามคนรับใช้มาเมื่อกี้แล้วรู้มาว่าแขกผู้ชายทั้งหมดจะพักที่ชั้น 3 และจำได้ว่าป้ายห้องของเราใกล้ ๆ กันอยู่ คิดว่าว่าทำไมเราไม่ไปด้วยกันเลย…?”

อันที่จริง หลินเจี๋ยหยิบบัตรห้องพักออกมาดูครู่สั้น ๆ เพียงสองครั้งเท่านั้น เขาจะเห็นเลขบนนั้นชัด ๆ ได้อย่างไร

เฟจก็แค่หาเหตุผลจะเดินไปกับหลินเจี๋ยเท่านั้นเอง

ในขณะเดียวกัน เยด้ามีท่าทีลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ยังรู้สึกว่าชายหนุ่มไม่ทราบสถานะตรงหน้าอันตรายอย่างมาก ไม่ควรที่จะเข้าไปตีสนิทด้วย

แม้ว่าเธอจะอยากรู้สุด ๆ เกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติพวกนี้ก็ตาม แต่เธอก็สงบใจลงครุ่นคิด เธอยังต้องรับผิดชอบตระกูลของเธอและหาผลประโยชน์ที่ปลอดภัยกว่านี้ ดังนั้น จึงไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงมหาศาลที่อาจจะตามมาได้

เทียบกันแล้ว การตีสนิทบุคคลที่รู้แน่ ๆ ว่าสามารถช่วยครอบครัวของเธอได้ดูจะมีความมั่นคงมากกว่า

เยด้ายกชายกระโปรงของเธอขึ้นถอนสายบัวน้อย ๆ แสดงรอยยิ้มสุภาพแล้วกล่าวว่า “ฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการ ต้องขอตัวก่อนนะคะ ขออภัยด้วยจริง ๆ… แต่ถ้าคุณหลินมีความประสงค์อะไร ก็สามารถติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”

เธอส่งนามบัตรให้หลินเจี๋ยเพื่อแสดงความปรารถนาดี

สีหน้าของทั้งสองดูระมัดระวังกว่าก่อนหน้านี้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำตัวเป็นธรรมชาติที่สุดแล้วก็ตาม

ต่างจากแขกคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้ตาสีตาสา พวกเขาทั้งสองรู้แต่แรกแล้วว่าหลินเจี๋ยไม่ปกติ และรังแต่จะลึกล้ำขึ้นอีก

หลินเจี๋ยรับนามบัตรมาด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ เชิญมาเยี่ยมชมร้านหนังสือของผมได้ทุกเมื่อเช่นกันนะครับ”

หลังจากเยด้าจากไป เฟจก็ทำตัวเป็นไกด์ นำทางหลินเจี๋ยอย่างกระตือรือร้น

แม้ว่าหลินเจี๋ยจะได้รับบัตรเชิญแบบพิเศษจากคุณหนูจี้ แต่เธอก็ตระหนักดีถึงบุคลิกติดดินของเจ้าของร้านหนังสือ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้หาที่พักวิเศษวิโสอะไรเป็นการเฉพาะ แต่ปะปนเขาเข้ากับแขกทั่วไป

จากความเข้าใจของเธอต่อเจ้าของร้านหลิน การปะปนกับผู้คนในเมืองคือสภาพแวดล้อมที่เขาต้องการ

แต่น่าเสียดายมาก หมายเลขห้องของเฟจกับหลินเจี๋ยยังห่างกันไกลลิบ

“สามศูนย์หก กับ สามเจ็ดเจ็ด…นี่คือที่คุณบอกว่าใกล้เหรอครับ?”

หลินเจี๋ยมองบัตรเชิญในมือทั้งของตนและของเฟจ จากนั้นก็พูดไม่ออกด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น

ชั้นสามมีห้องทั้งหมดสองร้อยห้อง ซึ่งเรียงเลขห้องกันที่หน้าประตู ดูไม่ออกเลยว่าใกล้ตรงไหน

เฟจหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “สงสัยเพราะมืดเกินไป ผมเลยอ่านผิดครับ แต่จะว่าไปมันก็ยังอยู่บนทางเดินเส้นเดียวกันอยู่ดี ผมจะพาคุณไปส่งที่ประตูเพื่อบ่มเพาะนิสัย ให้ผมไปส่งเถอะนะครับ”

สีหน้าของเขาจริงใจเสียจนทำให้หลินเจี๋ยรู้สึกว่าขืนปฏิเสธไป เขาอาจจะคุกเข่าลงร้องไห้กระซิกมันตรงนี้เลยก็ได้…

หลินเจี๋ยรู้สึกหนาวสันหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เขาจึงตอบตกลงไปอย่างไม่เต็มใจนัก

ระหว่างทาง เฟจยังพยายามหยั่งเชิงเหมือนตอนก่อนถึงร้านหนังสือที่หลินเจี๋ยเป็นเจ้าของ แต่ยังเพิ่มคำถามเรื่องหนังสือที่ขาย และลูกค้าของเขาด้วย

หลินเจี๋ยเองก็ชักสงสัยแล้วว่าเจ้าหมอนี่เป็นเกย์หรือเปล่า แต่จู่ ๆ เขาก็มีไฟสปิริตลุกโชนขึ้นมา

ถ้าคุณอยากพูดเรื่องนี้ อย่างนั้นผมก็จะไม่เงียบแล้วนะ!

หลินเจี๋ยคุ้นเคยกับการสวมวิญญาณพนักงานขายเป็นอย่างดี เขาพูดได้อย่างมั่นใจว่าเขามีหนังสือทุกเล่มที่ร้านหนังสือทุกแห่งมี…แน่นอน เขามีหนังสือทุกเล่มจริง ๆ

“ลูกค้าเหรอครับ…แม้ว่าคุณภาพสินค้าจะเป็นตัวการันตีลูกค้า แต่ก็มีแค่น้อยคนครับที่จะมีความสามารถพอจะชื่นชมผลงานดี ๆ ได้”

หลินเจี๋ยแต่งคำเพื่อบอกถึงร้านหนังสือที่ไม่มีคนรู้จักของเขาอย่างประณีตบรรจง “แต่ถึงแม้ว่าลูกค้าร้านหนังสือของผมจะมีน้อย แต่ลูกค้าเหล่านั้นต่างก็เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การชี้นำครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในหน้าที่การงานหรือด้านอื่นใดของชีวิต จะมาหาคำตอบที่ร้านหนังสือก็ย่อมได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับพลังที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้น ผมยังสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้บ้างเช่นกันครับ”

เฟจพยักหน้าแล้วจดไว้ในใจ…

ร้านหนังสือมีเงื่อนไขในการคัดกรองลูกค้าอยู่ ผู้จะเป็นลูกค้าได้ต้องมีศักยภาพ มีความปรารถนาที่ควบคุมได้ พวกเขาจะสามารถใช้พลังที่อยู่ในหนังสือเพื่อแก้ปัญหาของตน และยังสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านหนังสือได้โดยตรงอีกด้วย

แต่คำถามที่สำคัญมากอีกข้อ…

เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกเล็กน้อย “แล้วราคาล่ะครับ?”

“?”

หลินเจี๋ยหน้าดำ การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี่มันอะไร?

“หนังสือจะขายตามราคาที่ระบุไว้ครับ และคุณควรใส่ใจเรื่องโปรโมชันส่วนลดอย่างใกล้ชิด ค่ามัดจำยืมหนังสืออยู่ที่สิบเหรียญ นอกจากนี้ หากคุณซื้อหนังสือครบสองร้อยเหรียญจะได้รับชานมไข่มุกจากคาเฟ่หนังสือข้าง ๆ หนึ่งแก้วเป็นของแถมด้วยนะครับ ส่วนเรื่องการปรึกษากับผม…อันนี้ไม่คิดค่าบริการครับ”

หลินเจี๋ยยิ้มอย่างเยือกเย็นเช่นเคย “แต่ปกติแล้ว ลูกค้าของผมมักแสดงคำขอบคุณโดยการนำของที่ระลึกมาให้ผมครับ”

เฟจอึ้งไป “ของที่ระลึกเหรอครับ?”

หลินเจี๋ยมาถึงหน้าห้องของตน แตะบัตรเชิญเพื่อเปิดประตูในขณะที่พยักหน้าตอบว่า “ใช่ครับ ของที่ระลึก ยกตัวอย่างลูกค้าผมคนหนึ่ง เขาเอารูปปั้นมาให้ผม…”

เฟจตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ ทว่าประตูห้องข้าง ๆ กลับเปิดออกพอดี แล้วเด็กหนุ่มที่แต่งตัวอย่างผู้ดีคนหนึ่งก็เดินออกมาขณะกำลังพูดกับอุปกรณ์สื่อสาร “…คุณรู้หรือเปล่าว่าอาจารย์โจเซฟกำลังต่อสู้อยู่อย่างดุเดือด?! ไม่เลย! คุณไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง! แล้วคุณยังให้ผมมางานเลี้ยงบ้า ๆ นี่อีก ผมต้องไปร่วมรบกับอาจารย์ที่สนามรบสิถึงจะถูก บ้าเอ๊ย! งานเลี้ยงที่มีแต่พวกหน้าไหว้หลังหลอกนี่ ไม่ใช่ที่ที่แฟนตัวยงอย่างผมควรอยู่เลย! แล้วอีกอย่าง ผมเป็นศิษย์ของเขานะ! ถึงจะเป็นศิษย์ใหม่แต่ก็ยังนับเป็นศิษย์อยู่ดี!”

พ่อหนุ่มคนนี้ดูเหมือนเป็นวัยรุ่นอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์ของเขาเต็มไปด้วยกระ เขากำลังบ่นใส่อุปกรณ์สื่อสารยาวเป็นชุดขณะปิดประตู แล้วเขาก็หันกลับมาเงยหน้าเห็นหลินเจี๋ยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พอดี

เขาจังงังไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดว่าตัวเองตาฝาด ขยี้ตามองหลินเจี๋ยอีกครั้ง แล้วร่างของเขาก็สั่นเทา อุปกรณ์สื่อสารในมือของเขาร่วงตุ้บลงไปกับพื้น

สีหน้าของเขาค่อย ๆ แสดงความหวาดกลัว

“ค…ค…ค…คุณ…!”