บทที่ 301 เสแสร้งว่าโง่เขลาทั้งที่เข้าใจ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 301 เสแสร้งว่าโง่เขลาทั้งที่เข้าใจ
บทที่ 301 เสแสร้งว่าโง่เขลาทั้งที่เข้าใจ

“โอ้ โม่เฉิน เจ้ามาแล้ว”

ไป๋ชิวหรานกล่าวทักทาย

“ดูเหมือนว่านี่คือแดนเซียนกลาง”

“ถูกต้องแล้ว”

เซียนหงเฉินมองไปด้านหลังไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ เขาเห็นกองโลงศพตั้งตระหง่าน ขณะนั้นเองสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว พร้อมรีบกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด

“โปรดให้อภัยความหยาบคายของสหายผู้นั้นด้วย… เขากล้าหาญยิ่งที่ให้พวกท่านทั้งหมดนอนลงในโลงศพ แล้วข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เขาในภายหลัง”

“ไม่เป็นไร มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับข้า”

ไป๋ชิวหรานยิ้มพร้อมโบกมืออย่างไม่แยแส

“คำพูดของชายชราผู้นั้นค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย อย่าได้ลงโทษเขาเลย”

“ขอรับ”

เซียนหงเฉินเงยหน้าขึ้น และยืนจับจ้องชิงหมิงจื่อและหลิวซือที่อยู่ตรงหน้า

แม้เขาจะเป็นจักรพรรดิเซียน แต่เขาก็อยู่ในโลกมนุษย์มานาน ในแดนเซียน มีเซียนเพียงไม่กี่คนที่ทราบถึงการดำรงอยู่ของเขา หลิวซือลอบถอนหายใจให้กับขั้นการฝึกฝนที่สูงส่งของชายชราผู้นี้ ทว่าชิงหมิงจื่อกลับคิดแตกต่าง เมื่อได้พบกับเซียนหงเฉิน ดูเหมือนว่าความทรงจำที่ยาวนานตั้งแต่กาลก่อนจะถูกปลุกขึ้นมา ยามนี้ ใบหน้าของเขาเผยความเคร่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“ประหลาดนัก เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ดูคุ้นเคยนัก?”

เขาได้แต่ถามออกไปด้วยความสงสัย

“เราเคยเจอกันหรือไม่?”

“ฮ่าฮ่า เราเคยพบกันแล้ว”

เซียนหงเฉินกล่าวตอบเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเผยรอยยิ้มจริงใจ

“เมื่อสามพันสามร้อยปีที่แล้ว ในสนามรบของมนุษย์กับปีศาจในหย่งโจว นั่นเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนได้พบกัน”

ชิงหมิงจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานใบหน้าก็เผยความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นท่าน? ผู้อาวุโส!”

เขาโค้งคำนับให้กับเซียนหงเฉิน

“สามพันสามร้อยปีที่แล้ว ขอบคุณท่านแล้วที่ช่วยชีวิตข้าไว้”

ทว่าเซียนหงเฉินส่ายศีรษะ และยกมือหยุดการโค้งคำนับของอีกฝ่าย

“ข้าไม่กล้า และอย่างไรมันเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องความปลอดภัยของท่านในเวลานั้น”

“เพราะเหตุใด?”

ชิงหมิงจื่องุนงง

“เอาเป็นว่าตามนี้”

เซียนหงเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาไป๋ชิวหราน

“นี่คือท่านอาจารย์ของข้า”

ชิงหมิงจื่อตกตะลึงอยู่สองถึงสามลมหายใจ ก่อนจะฟื้นคืนสติ

“ผู้อาวุโส ท่านว่าอย่างไรนะ?”

เขาจับใบหูตนเองอย่างไม่เชื่อถือ

“โอ้ ดูเหมือนข้าจะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”

“นี่คืออาจารย์ของข้า”

เซียนหงเฉินกล่าวอีกครั้ง

“ท่านไม่ได้ประสาทหลอน และข้าไม่ได้โป้ปด นี่คือเรื่องจริง ทว่ามันซับซ้อนนัก และไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้จบในวันเดียว… กล่าวสั้น ๆ คือข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งที่ท่านดูแลอาจารย์ของข้า และสั่งสอนเขาเป็นอย่างดี ข้าจึงสมควรแสดงความเคารพต่อท่าน กล่าวแล้ว ท่านต้องการให้ข้าให้เกียรติท่านเป็นปรมาจารย์และปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทของปรมาจารย์หรือไม่?”

“มิอาจกล้า”

ชิงหมิงจื่อโบกมืออย่างรวดเร็ว พร้อมกล่าวตอบ

“เรื่องมันแปลกประหลาดนัก เราสมควรพูดคุยกันเรื่องนี้”

ท้ายที่สุด เขาเหลือบมองไป๋ชิวหราน

“นี่มันยอดเยี่ยมนัก”

เซียนหงเฉินถึงกับถอนหายใจออกมา

“หากไม่แล้ว ข้าทำการแสดงครั้งใหญ่ต่อหน้าเจ้าเหมือนกาลก่อน จากนั้นเจ้าเรียกท่านอาจารย์มา และสร้างความอับอายให้เกิดขึ้น”

ไป๋ชิวหรานค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น… ว่าเซียนหงเฉินเล่นสิ่งใดต่อหน้าอาจารย์ชิงหมิงของตน แต่ตอนนี้มีผู้คนรายล้อมมากมาย และยังไม่มีผู้ใดกล่าวขึ้น เขาจึงไม่อยากถาม

“ยังไม่สายหากจะพูดคุยกัน ออกจากที่นี่กันเถิด”

เซียนหงเฉินเดินนำพร้อมกล่าวคำเบา “ตามข้ามาเถิด”

“ท่านอาจารย์ ข้าจะพาท่านไปที่สวรรค์กระจ่างในเขตอวี่ชิง ศิษย์น้องผู้นี้ตระเตรียมสถานที่ไว้ให้พวกท่านแล้ว ท่านอาจารย์ ผู้เฒ่าของเรา… พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน”

เขาพาไป๋ชิวหรานและคนทั้งหมดออกจากสุสานที่แห้งแล้งนี้ ด้านนอกปรากฏแท่นขนาดใหญ่ลอยเด่นอยู่กลางนภา มีขั้นบันไดหินนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศ มันเชื่อมต่อระหว่างสิ่งนั้นกับพื้นดิน

นอกจากนี้ยังมีลวดลายงดงามสลักไว้บนแท่นนั้น เซียนหงเฉินขอให้ทุกคนเดินขึ้นไป จากนั้นเขาได้เริ่มควบคุมสิ่งนั้นและเหาะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ขณะออกเหาะเหิน เขาแนะนำแดนเซียนกลางให้กับทุกคนทราบ โดยเฉพาะไป๋ชิวหราน

“แดนเซียนกลางเป็นแดนที่ใหญ่ที่สุดในแดนเซียนทั้งห้า นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบของแดนเซียนที่สร้างขึ้นโดยท่านอาจารย์ และโลกก็ก่อตัวขึ้นหลังจากมันเสร็จสิ้น ดังนั้นมันจึงไม่เหมือนแดนเซียนอื่น มีสวรรค์สามสิบหกชั้นในแดนเซียนกลาง มันคือศูนย์รวมของเซียนทั้งห้าทิศที่เหลืออยู่ในสวรรค์ทั้งเก้าชั้น”

เซียนหงเฉินควบคุมการบินให้สูงขึ้นเพื่อทุกคนจะได้มองเห็นแดนเซียนสวรรค์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง

“นี่คือสวรรค์ชั้นแรก จักรพรรดิหวงเฉิงเทียน และเป็นสวรรค์ชั้นแรกที่มีผู้ฝึกตน และผู้คนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นเซียนในแดนเซียนกลางมากที่สุด”

แท้จริงแล้ว เมื่อยกแท่นบินให้สูงขึ้น ทุกคนจะได้เห็นหมู่บ้าน และเมืองมากมายซุกซ่อนอยู่ในก้อนเมฆที่ก่อตัวขึ้นจากพลังวิญญาณ และดูเหมือนจะมีเมืองใหญ่อยู่ไกลออกไป มีเกล็ดและกรงเล็บปรากฏขึ้นในหมู่ม่านเมฆ

“เมื่อเทียบกับแดนเซียนตะวันออกแล้ว สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า”

ชิงหมิงจื่อ และหลิวซือมองหน้ากันก่อนจะกล่าว

“ไม่แปลกใจที่เหล่าเซียนจำนวนมากต้องการผ่านการทดสอบของผู้คุ้มกัน และเข้าสู่แดนเซียนกลาง เมื่อเทียบกับแดนเซียนอื่น ๆ แล้ว นี่คือแดนเซียนที่แท้จริง และไม่มีสิ่งใดน่ากังวล”

สำหรับตัวตนของ ‘อาจารย์’ ที่เซียนหงเฉินกล่าวออกมา ทั้งสองพอจะคาดเดาได้แล้ว สิ่งที่เซียนหงเฉินกล่าวออกมานั้นชัดเจนยิ่ง แต่ความจริงสำหรับเรื่องนี้ยังน่าประหลาดใจอยู่ดี สำหรับชิงหมิงจื่อ ความรู้สึกในเวลานั้นมันเป็นเพียงการสุ่มหยิบเด็กกำพร้าในสนามรบ และหลังจากเขาเลี้ยงดูอีกฝ่ายมา เขาก็กลับกลายเป็นเซียน

ไม่ถูกต้อง หากกล่าวจริง ๆ แล้วมันประหลาดยิ่งกว่านั้น

ว่ากันว่าสิ่งนี้นั้นสูงส่งกว่าชีวิต และในความเป็นจริง ชีวิตมักจะสร้างความประหลาดใจจนไม่อาจคาดเดาได้

ข้อเท็จเรื่องของเรื่องนี้ทำให้ชิงหมิงจื่อกับหลิวซือรู้สึกหวาดหวั่น ดังนั้นจึงแสดงออกว่าโง่เขลาแม้ว่าจะเข้าใจ พวกเขาแสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่เข้าใจสิ่งใดเลย!

“ไร้กังวล?”

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหมิงจื่อ เซียนหงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา

“ท่านคิดผิดแล้ว แม้ความจริงแดนเซียนกลางจะเป็นแดนเซียนที่แท้จริง แต่มันไม่ได้ไร้กังวลเลย อย่างไรก็ตามหากท่านทั้งสองเต็มใจ ท่านจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ตามต้องการ ชายชราผู้นี้จะเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้ แน่นอนว่าชีวิตของท่านทั้งสองจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตอนอยู่ในแดนเซียนตะวันออกเสียอีก”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณผู้อาวุโสแล้ว”

ชิงหมิงจื่อและหลิวซือแสดงความขอบคุณต่อเซียนหงเฉิน

“อย่าได้เรียกขานข้าว่าผู้อาวุโสเลย”

เซียนหงเฉินเหลือบมองไป๋ชิวหราน

“ในเมื่อท่านทราบตัวตนของข้าแล้ว เช่นนั้นโปรดเรียกขานข้าว่าโม่เฉิน มันทำให้ข้าจั๊กจี้เล็กน้อยหากจะเรียกข้าว่าผู้อาวุโส”

“ย่อมได้”

เซียนหงเฉินโผบินสูงขึ้น ไม่ในช้าทั้งหมดก็ข้ามทะเลเมฆมาถึงสวรรค์หยกมหากระจ่างซึ่งเป็นชั้นที่สูงกว่า เขาค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปแล้วแนะนำกับไป๋ชิวหราน หลังลงจากแท่นบินนี้แล้ว ไป๋ชิวหรานจึงทราบสถานการณ์ของแดนเซียนกลางแห่งนี้อย่างกระจ่างชัด

ในแดนเซียนกลาง ผู้ฝึกตนธรรมดาจะรวมตัวกันอยู่ในแดนปรารถนาชั้นล่าง ยิ่งไปกว่านั้น สิบแปดสวรรค์รูปภูมิเป็นสถานที่ที่เซียนได้รับคัดเลือกไปฝึกฝนและสั่งสอนทักษะ ศิษย์เก่าของไป๋ชิวหราน บรรพบุรุษปีศาจ ในเวลานี้นำเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ในแดนแห่งนี้ด้วย

ขั้นต่อไปคือสี่สวรรค์อรูปภูมิ เป็นพื้นที่ของแดนเซียนกลางที่ใช้ปฏิบัติการต่าง ๆ ในทุกสาขาอาชีพ ตัวอย่างเช่นกองกำลังจัดการเรื่องราวในดวงดาวต่าง ๆ มีเทพเจ้ามากมายที่ยอมจำนนหรือสนับสนุนเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม และพวกเขาก็อาศัยอยู่ที่นี่เพื่อจัดการงานบางอย่างของโลกมนุษย์

ยิ่งกว่านั้นพระพรหมทั้งสี่ยังเป็นผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ภายในสี่สวรรค์อรูปภูมิแห่งนี้ด้วย พวกเขาปราศจากกิเลส และมีเสียงสวดมนตร์ดังอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน นี่คือสถานที่ที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดโปรดปราน ทำให้สามารถมาที่แห่งนี้แล้วใช้พลังของมนตราเพื่อชำระล้างปีศาจในหัวใจ

ระหว่างสวรรค์ชั้นสามกับสี่ เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเซียนกลางคนปัจจุบันอาศัย และหอคอยของเขาก็ตั้งอยู่ที่นี่

โดยปกติแล้ว มีเพียงเหล่าเซียนเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้ และผู้คุ้มกันก็เข้มงวดยิ่งในสถานที่แห่งนี้ ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ กองกำลังจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งความแข็งแกร่งยังมากขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้เซียนหงเฉินกำลังจะพาไป๋ชิวหรานเข้าสู่เขตอวี่ชิงเพื่อเข้าสู่สวรรค์กระจ่าง

“แล้วไป๋ลี่ล่ะ?”

หลังจากได้ฟังคำแนะนำของเซียนหงเฉินแล้ว ไป๋ชิวหรานก็กล่าวถาม

“ศิษย์ผู้โชคร้ายของข้าอยู่ที่ใด?”

“กลับไปหาท่านอาจารย์ที่สวรรค์กระจ่างเขตอวี่ชิง นอกจากนี้ยังมีชั้นที่สองของสวรรค์เรียกขานว่าต้าหลัวเทียน ภายในนั้นมีหอคอยจักรพรรดิเพียงแห่งเดียว”

เซียนหงเฉินกล่าวตอบ

“กล่าวตอบท่านอาจารย์ เขาอยู่ในหอคอยจักรพรรดิ”