ตอนที่ 310

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวรู้ดีว่าน้ำเต้าของฝานลี่เทียนไม่ใช่ของธรรมดา เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร

แต่ถึงแบบนั้นคนอื่นๆ โดยเฉพาะฝานซงต่างก็อ้าปากค้าง ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

ก่อนหน้านี้ฝานลี่เทียนได้สูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไป ตัวเขาไม่สามารถที่จะใช้พลังลมปราณได้เลย แต่ในตอนนี้ตัวเขาสามารถใช้ขวดน้ำเต้าได้อีกครั้งแล้ว ฝานลี่เทียนที่มีพลังอีกครั้งรู้สึกเหมือนมีชีวิตชีวามากขึ้น

“สมบัติจากป่าทมิฬ?” ฮั๊ววู่เด๋าอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ข้าก็แค่โชคดีก็เท่านั้น”

ลู่โจวและเล้งลั่วเคยได้ยินฝานลี่เทียนพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน พวกเขารู้ดีว่าขวดน้ำเต้าประหลาดอันนี้มาจากป่าทมิฬ ป่าทมิฬเป็นป่าที่ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในนั้นมักจะถูกนำมาสร้างของวิเศษเช่นนี้ ระดับของมันคงจะไม่ต่ำกว่าอาวุธระดับสรวงสวรรค์แน่

ทุกๆ คนต่างรู้กันดี อาวุธที่คนธรรมดาๆ ใช้ต่างก็เป็นของคุณภาพต่ำ มันเป็นของที่ถูกสร้างมาอย่างหยาบๆ จากวัสดุคุณภาพต่ำ นอกจากอาวุธระดับธรรมดามันมีอาวุธที่อยู่เหนือกว่านั้นอยู่ 4 ระดับด้วยกัน ระดับทั่วไป, ระดับลึกลับ, ระดับโลก และระดับสรวงสวรรค์ ตั้งแต่อาวุธระดับโลกเป็นต้นไปอาวุธพวกนั้นจะสามารถสร้างความผูกพันกับผู้ใช้ได้ เมื่อความผูกพันที่มีต่ออาวุธถึงจุดสูงสุด อาวุธชิ้นนั้นก็จะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อาวุธระดับสรวงสวรรค์นับว่าเป็นอาวุธที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การจะใช้งานมันได้เองก็ต้องมีอุปนิสัยที่ตรงกับอาวุธเช่นเดียวกัน ตามธรรมชาติแล้วผู้คนมักจะเป็นฝ่ายเลือกอาวุธ แต่อาวุธระดับสรวงสวรรค์สามารถเลือกผู้ใช้ได้ด้วย นอกจากนี้อาวุธที่ดียังต้องเหมาะสมกับความสามารถของผู้ใช้ด้วย ถ้าหากให้ดาบหรือกระบี่กับฮั๊วยู่จิงที่เชี่ยวชาญในการใช้ธนูไป การทำอะไรแบบนั้นก็คงจะเสียเปล่า

สำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้วิชาแห่งเสียง อาวุธที่อยู่ในรวบแบบของเครื่องสายหรือเครื่องเป่ามักจะเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับคนเหล่านั้น แต่ถึงแบบนั้นการจะตามหาผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งเสียงจนเชี่ยวชาญได้ก็ยากไม่ต่างกับหาอาวุธระดับสรวงสวรรค์

แต่ไม่ว่าจะเป็นอาวุธแบบไหน ท้ายที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้อยู่ดีที่จะดึงศักยภาพของมันมาได้แค่ไหน

แม้ว่าในโลกนี้จะมีอาวุธแปลกประหลาดมากมายหลายประเภท แต่ถึงแบบนั้นการเห็นคนใช้น้ำเต้าเป็นอาวุธก็ยังเป็นอะไรที่ประหลาดมากอยู่ดี

เล้งลั่วได้ถามออกมาอย่างห้วนๆ “น้ำเต้าเน่าๆ ของเจ้าใช้ทำอะไรได้บ้าง?”

ฝานลี่เทียนได้โบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นน้ำเต้าก็ได้บินกลับมาหาตัวเขาอีกครั้ง “มันมีประโยชน์มากมายหลายอย่างเลยล่ะ ข้าสามารถใช้มันทุบหัวใครก็ได้ ข้าสามารถใช้มันเป็นหมอนหนุนนอน และข้าก็ยังสามารถใช้มันเพื่อความสดชื่นหรือความเมามายได้อีกด้วย” ฝานลี่เทียนดูพอใจกับสิ่งที่มีมาก “อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าก็พูดความจริงอยู่นี่ไง”

เล้งลั่วไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย ‘ใครจะไปเชื่อกัน? เจ้านี่มันบ้าไปแล้วแน่!’

ฝานซงได้พูดชื่นชมน้ำเต้าออกมา “เฒ่าฝาน! ไม่เลวเลย! ข้าหวังว่าสักวันข้าจะหาอาวุธประจำตัวข้าด้วยตัวเองเจอบ้าง”

“เจ้าอยากได้อย่างงั้นหรอ?”

“ไม่มีใครไม่อยากได้อาวุธระดับสรวงสวรรค์ มันถือเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าก็ว่าได้ แต่น่าเสียดาย อาวุธระดับสรวงสวรรค์เป็นอะไรที่หายากมาก” ฝานซงได้พูดตอบกลับ

“แล้วเจ้าจะพูดยังกันถ้าหากวันหนึ่งเจ้าฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้และมีของสิ่งนี้มอบเป็นของขวัญให้เจ้าในตอนนั้น?” ฝานลี่เทียนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“หะ?” แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะสนิทสนมกัน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นมอบอาวุธหายากให้กันแบบนี้ได้

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนตัวเองถึงขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้ คนคนนั้นก็รู้แล้วว่าการจะหาอาวุธระดับสรวงสวรรค์มาได้มันยากมากแค่ไหน

ฝานลี่เทียนได้พูดต่อ “อย่างน้อยๆ เจ้าจะต้องมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะใช้งานอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้อย่างเต็มที่ อย่าลืมฝึกฝนตัวเองอย่าตั้งใจซะล่ะ”

“อย่าล้อข้าเล่นหน่อยเลยเฒ่าฝาน…ข้าไม่คิดที่จะแย่งอาวุธของท่านหรอก” ฝานซงตอบกลับ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แตกต่างจากความสัมพันธ์ของคนอื่นอย่างสิ้นเชิง

ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับมาได้อย่างดีมาก

ในตอนนี้ฮั๊ววู่เด๋าไม่สามารถที่จะอดทนได้อีกต่อไป ตัวเขาได้โค้งคำนับลู่โจวก่อนจะพูดออกมา “ได้โปรดสั่งสอนข้าด้วยเถอะท่านปรมาจารย์! ท่านสามารถสร้างตัวอักษรที่สิบของพลังผนึกตราประทับทั้งหกได้ยังไงกัน?”

‘คงมีแต่ต้องบอกความจริงสินะ’

ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ตราบใดที่ตัวเขาไม่จำเป็นจะต้องสาธิตพลังอะไรออกมา ตัวเขาก็สามารถทำตามคำขอนั้นได้ บังเอิญว่าลู่โจวได้รับข้อมูลเชิงลึกบางอย่างมาจากการสาธิตครั้งนั้น “การฝึกฝนเคล็ดวิชาเต๋า เป็นการใช้พลังจากธรรมชาติและพลังที่มีต้นกำเนิดมาจากผืนฟ้าและผืนดิน”

“เอ่อ…” ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกสับสนกับคำพูดที่แสนจะคลุมเครือของลู่โจวมาก

ลู่โจวคิดว่าคำอธิบายก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว “เจ้าเข้าใจสินะ?”

ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกละอาย ตัเวขาถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะแห่งสำนักหยุนก็ว่าได้ ถ้าหากจะบอกว่าไม่เข้าใจมันก็คงจะเสียหน้าเกินกว่าจะพูดได้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้ตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก “ข้า…ข้าเองก็คิดแบบนั้น”

“เจ้าจะต้องได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้แน่ถ้าหากเจ้าไตร่ตรองมันให้มากพอ” ลู่โจวเอามือไขว้หลังของตัวเองก่อนที่จะเดินไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า เขามีคิดว่าปรัชญาจากในชีวิตเก่าของตัวเองจะเอามาใช้สั่งสอนชายชราแบบนี้ได้ เรื่องทั้งหมดที่ลู่โจวพูดออกมาเป็นเรื่องทั่วไปที่สามารถใช้ได้กับทุกโอกาส ‘ไม่น่าแปลกที่เขาจะไม่เข้าใจ วิธีนี้มันยอดเยี่ยมและลึกซึ้งมา’

ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวไม่ได้รับแต้มบุญอะไรมาจากการชี้แนะนี้ เมื่อเห็นแบบนี้ตัวเขาก็รู้ได้ทันทีว่าสาวกของเขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากคำแนะนำ ท้ายที่สุดแล้วฮั๊ววู่เด๋าเป็นเพียงแค่ชายชรา ทั้งอนาคตและความหวังต่างก็เหลือน้อยเต็มที คงจะเป็นการดีกว่าที่ลู่โจวจะเพ่งความสนใจไปที่ลูกศิษย์ทั้งหลายแทน

“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านปรมาจารย์”

คนอื่นๆ ต่างก็โค้งคำนับให้กับลู่โจวก่อนที่จะเฝ้ามองตัวเขาเดินจากไป

ลู่โจวเดินกลับไปยังศาลาทางทิศตะวันออก ตัวเขากำลังถึงพลังที่ได้มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์

พลังแรกที่ลู่โจวได้รับมาเป็นพลังแห่งคำพูด มันเป็นพลังที่เกี่ยวกับการใช้คลื่นเสียง

พลังที่สองที่ได้มาคือพลังแห่งความเงียบ เป็นพลังดอกบัวสีฟ้าเบ่งบานนั่นเอง

และพลังที่สาม พลังชีวิตแห่งอดีต มันจะต้องเป็นพลังที่สามารถจำลองพลังจากเคล็ดวิชาของผู้อื่นที่ได้เห็น

นอกจากนี้การทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ยังสามารถทำให้ตัวเขาระงับพลังเวทมนตร์คาถา, พลังบทสวด รวมไปถึงพลังลวงตาได้

ลู่โจวมั่นใจว่าพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เหล่านี้เชื่อมโยงกับชิ้นส่วนคัมภีร์เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ในตอนนี้ตัวเขาได้ร่ำเรียนพลังวิเศษไปถึง 3 วิชาแล้ว ถ้าหากนับจากชิ้นส่วนมันจะต้องมีพลังทั้งหมดอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน

ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ชิ้นที่ 4 อยู่ที่ไหนกัน?

เมื่อลู่โจวคิดถึงสิ่งนี้ ตัวเขาก็มองไปยังภาพวาดเก่าแก่ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเดิม ที่ภาพวาดลู่โจวมองเห็นสุสานแห่งดาบได้อย่างชัดเจน “เป็นไปตามคาด ของสิ่งนี้มีไว้เพื่อแสดงที่อยู่ของชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์”

ลู่โจวพินิจพิเคราะห์ภาพไปอีกหลายครั้ง นอกเหนือจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และสุสานแห่งดาบแล้ว ส่วนอื่นๆ ของภาพยังคงพร่ามัวอยู่ ลู่โจวคงได้แต่รอให้เบาะแสของชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ชิ้นที่ 4 ปรากฏขึ้นมาเองเท่านั้น

ถ้หากยังมีภาพวาดชิ้นนี้อยู่ ลู่โจวก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะหาชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ชิ้นต่อไปไม่ได้ ด้วยความคิดนี้ลู่โจวจึงไม่ได้คิดที่จะสนใจภาพวาดอีกต่อไป ตัวเขาได้เดินไปยังที่นั่งก่อนที่จะคิดทบทวนถึงเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่มี

ในขณะเดียวกันที่กระท่อมอันแสนจะเงียบสงบ

สีวู่หยาได้ไออย่างรุนแรงออกมา แต่ถึงแบบนั้นครั้งนี้มันกับไม่มีเลือด!

สีวู่หยารีบถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก ในตอนนี้สีของพลังผนึกมนตราได้จางลงไปในทุกที แต่ถึงแบบนั้นตัวของสีวู่หยาก็ยังไม่สามารถที่จะเดินพลังได้

“นี่มันเป็นวิชามนตราแห่งเต๋าจริงๆ อย่างงั้นหรอ?”

สีวู่หยาลุกขึ้นยืน ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ตัวเขารู้สึกว่าพลังมนตราอันนี้จะผนึกพลังวรยุทธของตัวเขาอีกไม่นาน…

ยี่ฉีชิงได้ปรากฏตัวใกล้ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของสีวู่หยาเปลี่ยนไป ตัวเขาก็รีบพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก?”

“ข้าสบายดี…มีอะไรก็ว่ามา” สีวู่หยาพูดพร้อมกับโบกมือให้

“แหล่งข่าวที่อยู่ใกล้กับภูเขาทองได้รายงานข่าวให้กับพวกเราแล้ว ในตอนนี้ม่านพลังของที่นั่นได้หายไปแล้วครับ”

สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นขมวดคิ้วด้วยความสับสน “เกิดอะไรขึ้นกับศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน…”

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโสกลับมาจากสุสานแห่งดาบแล้ว…ข้าได้ส่งคนไปที่สุสานแห่งดาบ ในตอนนี้คนที่ข้าส่งไปพบว่าดาบมารในนั้นได้ถูกยึดไปแล้ว” ยี่ฉีชิงหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ดาบมารในตอนนี้อยู่ในมือของเจียงอาเฉียน…”

สีวู่หยาได้พูดขึ้น “อาจารย์ที่ข้ารู้จัก ไม่มีทางเลยที่จะยกดาบมารเล่มนั้นให้กับใครไปง่ายๆ แน่ ดูเหมือนว่าคนที่คอยช่วยเหลือศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ลับๆ คงจะเป็นเจียงอาเฉียนไม่ผิดแน่”

“เจียงอาเฉียนเป็นหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้แห่งดาบ เขาถือเป็นคนที่ขี้ขลาดขนาดนั้น! จะไปเป็นเขาได้ยังไงกัน?” ยี่ฉีชิงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด สีหน้าของเขาเองก็เปลี่ยนไปทันทีหลังพูดจบ สีวู่หยาได้สั่งให้สำนักแห่งความมืดตรวจสอบประวัติของเจียงอาเฉียนมาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครหาอะไรพบ

สีวู่หยาส่ายหัว “เจียงอาเฉียนจะเป็นใครไม่ได้เลย เขาเป็นเพียงคนคนเดียวที่หายไปจากพระราชสำนัก”

“เขาเป็นใครกันหรอครับ?”

“องค์ชายองค์ที่สามหลิวเฉิน…”