บทที่ 267 นางคือท่านย่า!
จวงไทเฮาพูดคุยกับคนในตระกูลจวงได้ครู่หนึ่งก็รู้สึกอ่อนเพลีย
ราชครูจวงพาเหล่าลูกหลานออกไป บอกให้จวงเมิ่งเตี๋ยและจวงเย่ว์ซีแยกย้ายกลับเรือนของตัวเองไปพักผ่อน หลังจากนั้นก็เอ่ยกับอันจวิ้นอ๋องว่า “เจ้ามาหาข้าที่ห้องหนังสือด้วย”
“ขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องไปยังห้องหนังสือของราชครูจวง
ภายในห้องหนังสือมีตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง แสงไม่ถึงนับกับว่าสลัว แต่ก็ไม่ถึงกับสว่างมาก พายุฝนนอกหน้าต่างยังเทลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวี่แววว่าจะลดกำลังลงเลยแม้แต่นิด
ราชครูจวงโบกมือปัด เหล่าบ่าวไพร่พากันถอยออกไป ภายในห้องเหลือเพียงเขาและอันจวิ้นอ๋อง
ตามตัวไทเฮากลับมาได้แล้ว แต่ราชครูจวงสัมผัสได้ว่าท่าทางของหลายชายผู้นี้ไม่ได้ดูตื่นเต้นอย่างที่คาดได้ ความจริงแล้วตั้งแต่การสอบหน้าพระที่นั่งจบลงเขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอด
ราชครูจวงจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าอันจวิ้นอ๋องกำลังสูญเสียความมั่นใจเพราะความล้มเหลวครั้งนี้
ราชครูจวงเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น “สอบเคอจวี่ครั้งเดียวหาใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หนทางในราชสำนักของเจ้าในวันหน้านั้นราบรื่นอยู่แล้ว ย่อมเอาชนะเขาได้แน่นอน พูดอย่างสัตย์จริง อย่างไรเจ้าก็ต้องชนะเขาอยู่แล้ว!”
ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล ชัยชนะเล็กน้อยหรือความพ่ายแพ้เพียงครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือต้องมองการณ์ให้ไกล ก้าวให้สูงขึ้น อย่าได้หันหลังกลับ
“ไทเฮาและตระกูลจวงจะคอยปกป้องเจ้าเสมอ!”
อันจวิ้นอ๋องไม่ได้เศร้าเพราะคะแนนสอบเคอจวี่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด เขาคิดว่าที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเซียวลิ่วหลังนั้นเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการทานอำนาจตระกูลจวง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาแพ้ ทว่าในวันที่แห่ขบวนม้าไปตามท้องถนน ท่าทีของกู้เจียวที่มีต่อเซียวลิ่วหลังและมีต่อเขานั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน นั่นต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้จิตใจของเขาเศร้าหมองถึงเพียงนี้
ทว่าเขาไม่อาจพูดออกไปได้
“หลานเข้าใจแล้วขอรับ หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว หลานขอตัวลา” เขายกมือประสานคำนับแล้วออกไปจากห้อง
“เรื่องของไทเฮา…” ราชครูจวงเอ่ยรั้งอันจวิ้นอ๋อง แววตาล้ำลึก “อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านปู่เห็นว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดหรือขอรับ”
ราชครูจวงไม่พอใจนัก แววตาเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด “เจ้ายังเด็ก ข้าจะยอมให้เจ้าเอาแต่ใจได้ แต่อย่าให้มันมากเกินไป”
อันจวิ้นอ๋องหัวเราะเย้ยตัวเอง “ไทเฮาถูกฮ่องเต้จับไปจริงๆ หรือขอรับ เช่นนั้นเหตุใดฝ่าบาทถึงไปตามหานางถึงเจียงหนานด้วยพระองค์เอง”
ราชครูจวงตอบ “เซียวลิ่วหลังมีเซวียนผิงโหวคอยอุ้มชู เซวียนผิวโหวเป็นขุนนางใหญ่ที่ฝ่าบาทไว้ใจ ใครจะรู้ว่าที่ฝ่าบาทเสด็จเจียงหนานไม่ได้ทำไปเพื่อเล่นละครตบตาพวกเรา”
อันจวิ้นอ๋องยิ้มเย็น “นางเป็นคนรักษาโรคเรื้อนให้ไทเฮา แถมนางยังช่วยชีวิตไทเฮาไว้ด้วย เรื่องพวกนี้ท่านปู่เห็นว่าเป็นการหลอกใช้อย่างนั้นหรือ”
ราชครูจวงตอบเสียงเคร่งขรึม “ไทเฮาไม่ได้เป็นโรคเรื้อน โรคเรื้อนไม่มีทางรักษาหาย อีกอย่าง จะเรียกว่าช่วยชีวิตได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการตัวไทเฮาหรอกหรือ จึงไม่อาจยอมให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับไทเฮาได้ต่างหาก หากเป็นองครักษ์สักคนของตระกูลจวงก็ทำเช่นนี้ทั้งนั้น พวกเขาล้วนแต่ยอมสละชีพเพื่อไทเฮาอยู่แล้ว!”
อันจวิ้นอ๋องไม่โต้เถียงกับท่านปู่อีกต่อไป เขาหลุบตาลง “หากท่านปู่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ก็คงเป็นเช่นนั้นกระมังขอรับ”
พูดจบก็คำนับแล้วหันหลังเดินจากไป
ราชครูจวงทอดสายตามองแผ่นหลังของเขาพลางเอ่ย “จำไว้ให้ดีว่าตัวเองเป็นใคร อย่าได้ทำอะไรโดยมิยั้งคิด”
“ทราบแล้วขอรับ”
เสียงขานตอบแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
ฝนยังคงตกหนัก อาการบาดเจ็บของกู้เจียวก็สาหัสเช่นกัน จนไม่อาจกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ยได้ วันนี้นางจึงพักอยู่ที่เรือนเล็กในโรงหมอ
หมอซ่งตุ๋นน้ำแกงสงบจิตมาให้หนึ่งถ้วย เซียวลิ่วหลังช่วยป้อนให้นาง เมื่อยาออกฤทธิ์ ไม่นานกู้เจียวก็หลับไป
เซวียนผิงโหวยืนอยู่ใต้ชายคา ข้างกันคือจิ้จี้อาวุโสที่สีหน้าเศร้าโศก ส่วนฉังจิ่งกำลังเล่นลูกแก้วอยู่บนพื้นริมสุดทางเดิน
สองมือของเซวียนผิงโหวสอดอยู่ในแขนเสื้อกว้าง คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่รู้ตัว มองสายตามองสายฝนที่ตกหนักดั่งสายน้ำไหลเชี่ยว “ไทเฮาหมดสติไปเองที่หน้าประตูเรือนของลิ่วหลังและแม่หนูนั่นอย่างนั้นรึ”
“ได้ยินมาว่าเช่นนั้น” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยเสียงห่อเหี่ยว
เซวียนผิงโหวเอ่ย “เช่นนั้นสองคนนั้นรู้หรือไม่ว่านางคือไทเฮา”
จี้จิ่วอาวุโสหันไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าจะเล่นไม้ไหนกับข้าอีก”
สีหน้าของเซวียนผิงโหวพลันเปลี่ยน “ข้าเปล่า”
ตาเฒ่านี่้หมดอาลัยตาอยากอย่างกับเมียตาย นึกว่าจะหลอกง่ายเสียอีก
แน่นอนว่านางแม่หนูคนนั้นไม่รู้ว่าคือไทเฮา แต่หากเป็นเซียวลิ่วหลังจริงๆ ก็ย่อมไม่รู้จักไทเฮา มีเพียงอาเหิงเท่านั้นที่รู้ เพราะอย่างนั้นจี้จิ่วอาวุโสจึงลังเลอยู่ในใจ หากพูดออกไปว่าข้าจะรู้ได้อย่างไร เช่นนั้นคงมีพิรุธไม่น้อย
เซวียนผิงโหวกัดฟันกรอด
ตาเฒ่านี่ หลอกล่อยากเสียเหลือเกิน!
จะว่าไปแล้ว นางหนูอัปลักษณ์ผู้นั้นคือภรรยาของเซียวลิ่วหลังจริงๆ หรือ
ครั้งแรกนางช่วยชีวิตเขาไว้ เขาให้เศษเงินแก่นางไปเพียงน้อยนิด ครั้งที่สองนางช่วยชีวิตฮ่องเต้เอาไว้ เขาก็มอบเศษเงินให้แก่นางอีก
นึกย้อนถึงพฤติกรรมขี้เหนียวต่อหน้าลูกสะใภ้ของตนเอง เซวียนผิงโหวก็กัดฟันจนปวดไปหมด
โธ่ พลาดเสียแล้ว!
…
หลิวเฉวียนกลับไปส่งข่าวที่บ้าน เล่าอาการของกู้เจียวให้ฟัง เซียวลิ่วหลังอยู่ดูแลนางที่โรงหมอ บอกกับคนในบ้านว่าไม่ต้องกังวลใจ แล้วก็ไม่ต้องฝ่าฝนไปหานาง รักษาตัวให้ดีเอาไว้เป็นอันดับแรก
นี่เป็นคำพูดของเซียวลิ่วหลัง
แม่นางเหยาตั้งท้อง กู้เหยี่ยนก็เป็นโรคหัวใจ เสี่ยวจิ้งคงก็ยังเด็ก ล้วนแต่ไม่ควรออกจากเรือนทั้งนั้น มีเพียงกู้เสี่ยวซุ่นที่หนังเหนียวขึ้นมาหน่อย แต่ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รับปากว่าจะอยู่ที่เรือนเพื่อดูแลคนในบ้าน
“เหตุใดถึงได้บาดเจ็บ” กู้เหยี่ยนถาม
“เพราะว่า…เพราะว่าฝนตกหนัก หลังคาจึงถล่มลงมา” หลิวเฉวียนเอ่ยหน้าเจื่อน เรื่องบางเรื่องไม่ควรพูดต่อหน้าเด็กๆ แต่รายเละเอียดทั้งหมดเขาได้เล่าให้แม่นางเหยาฟังแล้ว
ตอนนี้แม่นางเหยาถึงได้รู้ว่าตอนนั้นตัวเองไม่ได้หูฝาดไป องครักษ์หนุ่มที่ชื่ออู่หยางผู้นั้นเคยเรียกหญิงชราว่าไทเฮาจริงๆ
นางสับสนไปหมด
ใจหนึ่งก็ตกใจกับชาติกำเนิดของหญิงชรา ใจอีกหนึ่งอาลัยเหลือเกินที่หญิงชราจากไป
นางเป็นแม่บ้านแม่เรือน ทั้งยังไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี จึงไม่ได้ยินเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับไทเฮามากนัก นางรู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายคือท่านย่าของเหล่าเด็กๆ แม้จะดูเหมือนคนเฉยชาไร้หัวใจแต่นางก็นับว่าเป็นท่านย่าที่คอยปกป้องและเข้าอกเข้าใจทุกคน
“พวก..พวกนางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” แม่นางเหยาถาม
หลิวเฉวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มีแค่แผลถลอกภายนอกเท่านั้น”
แม้กู้เจียวจะเจ็บหนักไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตแล้ว เพียงแต่ต้องพักฟื้นนานสักหน่อย
เสี่ยวจิ้งคงมองไปรอบกาย ศีรษะน้อยชะโงกออกไปข้างนอก เฝ้ารออยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นวี่แวว เขาเดินเข้ามาในห้องผายมือยักไหล่ถาม “ท่านย่าเล่า”
หลิวเฉวียนไม่รู้จะตอบเช่นไร
กู้เหยี่ยนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกไป
แม่นางเหยานิ่งชะงัก ก่อนจะรั้งเสี่ยวจิ้งที่ตากฝนจนหัวเปียกชุ่มไปหมดเข้ามาไว้ในอ้อมกอด หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวโล้นน้อยพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่ากลับบ้านแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงเอียงคอ สีหน้าสงสัย “ไม่นี่ ข้าไม่เห็นนางเลย!”
แม่นางเหยาพยายามสกัดกั้นความเจ็บปวดในใจ พลางลูบศีรษะกลมเกลี้ยงของเขา “กลับบ้านของนางไปแล้ว”
จิ้งคงยักไหล่ “ที่นี่ไม่ใช่บ้านของท่านย่าหรือ”
ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน แม่น้ำละแวกใกล้เคียงต่างล้นตลิ่ง จนกระทั่งวันที่หกเดือนห้าท้องฟ้าถึงได้กลับมาแจ่มใส
กรมโยธาง่วนอยู่กับการระบายน้ำถนนใหญ่แต่ละเส้นในเมืองหลวง ขุดลอกท่อใต้ดิน เพื่อให้เหล่าชาวเมืองกลับมาสัญจรได้อีกครั้ง กั๋วจื่อเจียนและสำนักบัณฑิตใหญ่อื่นๆ ต่างกลับมาเปิดเรียนตามปกติ
เดือนห้า มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในเมืองหลวง นั่นก็คือจู่ๆ ก็มีประกาศว่าไทเฮาที่ประทับนอกวังเพื่อรักษาตัว บัดนี้ได้หายป่วยแล้ว ทั้งยังกลับวังมาพร้อมกับขบวนกองทหารเกียรติยศอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
เหล่าชาวเมืองพากันออกมามุงดู อยากจะเห็นบารมีไทเฮาแห่งแคว้นจวงด้วยตาของตัวเอง ต้องอลังการไม่น้อยกว่าขบวนจอหงวนเป็นแน่ เพราะขบวนแห่จอหงวนสามปีมีหน แต่ไทเฮาออกเสด็จนั้นชาติหนึ่งไม่รู้ว่าจะได้เห็นสักกี่ครั้ง
ไทเฮาเสด็จประทับนอกวังเพื่อรักษาตัวอย่างเงียบๆ บรรดาชาวเมืองต่างไม่ได้รับรู้ ครั้งล่าสุดที่ทุกคนได้เห็นบารมีของไทเฮาก็น่าจะเป็นพิธีศพของฮ่องเต้พระองค์ก่อน นางเป็นคนเดินนำขบวนแห่พระศพของฮ่องเต้พระองค์ก่อนออกจากวัง
นับแต่นั้นมาฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรมก็กลายเป็นจวงไทเฮาที่กุมอำนาจราชสำนัก
หลิวเฉวียนพาเสี่ยวจิ้งคงมาส่งที่กั๋วจื่อเจียน
เสียงร้องโหวกเหวกบนถนนดึงดูดสายตาเหล่าบัณฑิตให้หันไปมอง เสี่ยวจิ้งคงเองก็วิ่งตึงตังออกไปเบียดเสียดท่ามกล่างฝูงชน มองดูขบวนเสด็จของไทเฮาที่มีองครักษ์นับพันคอยคุ้มกัน
ด้านหน้ามีเจ้าหน้าที่ทางการยกป้ายห้ามส่งเสียงและห้ามเข้าใกล้ ตามหลังมาคือขันทีที่แต่งองค์ทรงเต็มยศและนางกำนัลอีกหลายสิบคน ต่อท้ายคือรถม้าที่แสนวิจิตรตระการตาคันหนึ่ง
“โอ้โห รถม้าคันใหญ่นัก!” เสี่ยวจิ้งคงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ไทเฮา…”
“ไทเฮาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เหล่าชาวเมืองริมถนนพากันคุกเข่าลง แล้วโขกหัวถวายบังคมให้กับคนบนรถม้า
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้โขกหัว แต่เพราะเขาตัวเล็ก แม้จะยืนอยู่ก็ไม่แตกต่าง
เขาจ้องมองรถม้าคันใหญ่แสนวิจิตรคันนั้น ทันใดนั้นสายลมก็พัดม่านโปรงให้เปิดออก เผยให้เห็นไทเฮาในชุดหงส์ประจำตำแหน่งแสนหรูหราและเครื่องหัวที่ประดับประดาอยู่มากมาย
แม้จะสวมเสื้อผ้าไม่เหมือนเดิม แต่เสี่ยวจิ้งคงก็จำได้ในทันที “ท่านย่า”
รถม้าเคลื่อนผ่านหน้าประตูกั๋วจื่อเจียนไม่ช้าไม่เร็วนัก
“ท่านย่า!”
“ท่านย่า!”
เสี่ยวจิ้งทางวิ่งเลียบถนนตามรถม้า
ทว่าเสียงร้องตะโกนของเหล่าชาวเมืองนั้นดังกึกก้อง จนกลบเสียงเบาๆ ของเขาไปจนหมด
“ไอ้หยา!”
เขาสะดุดล้ม กลิ้งหลุนๆ ไปหยุดอยู่ริมเท้าขององครักษ์คนหนึ่ง
องครักษ์มองเขาด้วยสายตาดุดันและพยุงตัวเขาขึ้น “ลูกบ้านไหนกัน รีบมารับตัวไป”
“บ้านนาง! บ้านนาง!” เสี่ยวจิ้งคงชี้ไปที่ไทเฮาบนรถม้า
องครักษ์ตวาดลั่น “บังอาจ! นั่นคือไทเฮา!”
เสี่ยวจิ้งคงกระทืบเท้า “ท่านย่าชัดๆ!”
นั่นคือท่านย่า! เขาไม่มีทางจำผิดแน่นอน!
ลุงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกันหัวเราะยกใหญ่ “เจ้าหนู นั่นคือไทเฮาแห่งวังหลวง ไม่ใช่ท่านย่าบ้านเจ้าหรอก”
เจ้าเด็กนี่คงสติไม่สมประกอบกระมัง แม้แต่ย่าของตัวเองกับไทเฮายังแยกแยะไม่ออก
เสี่ยวจิ้งคงฮึดฮัดด้วยความโมโห
ที่แท้บ้านของท่านย่าคือวังหลวงอย่างนั้นหรือ
“เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด!”
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังเข้ามาในห้องเรียนของกั๋วจื่อเจียน เขย่าร่างของฉิวฉู่อวี้ที่นอนฟุบน้ำลายไหลยืดอยู่บนโต๊ะให้ตื่นขึ้น “เจ้าพาข้าเข้าวังที! ข้าจะไปหาท่านย่า!”