ตอนที่ 477 ศักดิ์ศรีที่มาส่งถึงประตู ต้องเหยียบย่ำ!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 477 ศักดิ์ศรีที่มาส่งถึงประตู ต้องเหยียบย่ำ!

Ink Stone_Romance

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในห้องของนางฉินผู้เฒ่า เมื่อเห็นสายตาความกระหายและจิตวิญญาณการต่อสู้ของอีกฝ่าย สีหน้าราวกับว่ารีบพยุงข้าลุกขึ้น ข้าจะไปด่าติงโส่วซิ่นคนไร้มนุษยธรรมผู้นั้น นางอดมุมปากกระตุกไม่ได้

“ท่านอย่าพบติงโส่วซิ่นเลย หากไปเห็นหน้าเขาเข้าจะทำให้ท่านโกรธจนปากเบี้ยว ป่วยหนักขึ้นกว่าเดิม การต่อว่าทำให้โล่งใจไปชั่วครู่ แต่อัมพาตจะยิ่งทำให้อายุสั้นลง”

“เหอะ เหอะ” นางฉินผู้เฒ่ากลอกตาด้วยความโกรธ

เจ้าเด็กคนนี้ช่วยพูดให้น่าฟังหน่อยไม่ได้หรือ

“ต่อให้ท่านพบเขาแล้ว ท่านก็พูดได้ไม่สะดวก จะไม่เป็นการปล่อยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียวหรอกหรือ จิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ในแวดวงราชการเช่นนั้น สิ่งที่เอ่ยออกมานั้นล้วนมีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนอยู่ หากท่านเอาแต่ฟังจนรู้สึกโกรธแต่กลับคัดค้านไม่ได้ แล้วจะทำเช่นนั้นทำไม” ฉินหลิวซีเอ่ย “นอนอยู่เฉยๆ เถิด ข้าจะฝังเข็มให้ท่านสองเข็ม ท่านงีบหลับสักหน่อย สิ่งนี้จะทำให้สีหน้าของท่านดูแย่ลงยิ่งขึ้น จะได้ให้พวกเขาเห็นว่าร่างกายของท่านในตอนนี้ เป็นเพราะถูกพวกเขาทำให้โมโห”

นางฉินผู้เฒ่าเบิกตาโต อะไรนะ ไม่ให้นางพบเขา แล้วยังจะฝังเข็มนางอีกอย่างนั้นหรือ

สะใภ้หวังเห็นดังนั้นจึงเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านแม่ ท่านฟังซีเอ๋อร์เถิด ไม่มีความจำเป็นต้องทำสงครามอารมณ์กับคนเช่นนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือท่านอาการดีขึ้น ท่านยังต้องรอท่านพ่อและคนอื่นๆ กลับมานะเจ้าคะ”

“ยังมีเวลาอีกเยอะ” ฉินหลิวซีได้หยิบกล่องเข็มออกมาแล้ว

นางฉินผู้เฒ่าหลับตา นิ้วกำผ้าห่มไว้อย่างอ่อนแรง

ฉินหลิวซีหยิบเข็มออกมา เอ่ยว่า “ข้าจะฝังเข็มให้ท่านแล้ว”

นางฝังเข็มอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด เมื่อหาจุดฝังเข็มได้แล้วก็ฝังเข็มลงไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

หนึ่งในนั้นคือจุดอวิน เมื่อฝังเข็มลงไปแล้ว นางฉินผู้เฒ่าก็จะค่อยๆ รู้สึกว่าการมองเห็นของนางเริ่มพร่าเบลอ ไม่นานก็หลับไป

หลังจากดึงเข็มออก สะใภ้หวังและคนอื่นๆ ก็เห็นว่าสีหน้าของนางฉินผู้เฒ่าซีดขาว ไม่มีสีเลือด หากเอ่ยอย่างอกตัญญู ฮูหยินผู้เฒ่าร่างผอมบางที่นอนอยู่ตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะหน้าอกยังคงกระเพื่อมอยู่ พวกเขาก็คงคิดว่านางได้จากไปแล้ว

สะใภ้หวังมองไปทางอื่น แม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมา แต่นางก็ยังทนมองไม่ได้

ไม่ช้า ก็คงจะเป็นอย่างเช่นคนตรงหน้ากระมัง

“ท่านแม่ คาดว่าแขกจะมาถึงแล้ว ท่านควรออกไปได้แล้ว” ฉินหลิวซีขัดจังหวะความคิดของนาง

สะใภ้หวังพยักหน้า จัดมุมผ้าห่มให้นางฉินผู้เฒ่าอีกครั้งแล้วจึงได้เดินออกไป

หลังจากที่ติงโส่วซิ่นและคนอื่นๆ เข้ามา ก็มองสำรวจบ้านเดิมตระกูลฉินอย่างเงียบๆ ลานบ้านค่อนข้างสะอาด แต่บ่าวรับใช้ที่เดินไปมากลับไม่เห็นแม้แต่คนเดียว ผู้ที่นำทางก็คืนคนที่เฝ้าอยู่ห้องข้างประตูผู้นั้น เอาแต่เอ่ยว่าบ่าวรับใช้ในจวนมีไม่มาก ทำให้ละเลยท่าน ใต้เท้าอย่าได้ถือสา

สายตาของฮูหยินติงเผยให้เห็นถึงความดูแคลน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ตระกูลฉินในอดีตรายล้อมไปด้วยบ่าวรับใช้ แต่ตอนนี้กลับดูรกร้างเหี่ยวเฉา

เห็นพวกเขาสร้างหอสูง เห็นพวกเขาหอถล่มกับตา

สิ่งที่กำลังพูดถึงคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้

หากตระกูลของตัวเองล้มลงเช่นนี้เหมือนกันละก็…

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮูหยินติงหนาวหรือหวาดหวั่นกันแน่จึงได้สะดุ้ง ไม่กล้าคิดไปไกล

ไม่มีทาง ตระกูลติงไม่มีทางโชคร้ายเช่นนี้

สะใภ้เซี่ยกับสะใภ้กู้รออยู่ที่ประตูรอง เมื่อเห็นมีคนมาแล้ว สายตาก็ลุกเป็นไฟด้วยความโกรธโดยเฉพาะสะใภ้เซี่ย จ้องมองไปยังปิ่นปักผมทองห้อยระย้าบนศีรษะของฮูหยินติง ตาแดงก่ำ

นังแพศยา มาอวดกันชัดๆ!

ฮูหยินติงแสดงละคร ก้าวเข้าไปข้างหน้า มองดูแล้วจับมือสะใภ้เซี่ยไว้ “ฮูหยินใหญ่ฉิน…”

สะใภ้เซี่ย “?”

สะใภ้กู้ “…”

สะใภ้เซี่ยหน้าแดง สะบัดมือของฮูหยินติงออก “เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ข้าคือนายหญิงรองตระกูลฉิน”

ฮูหยินติงอายเล็กน้อย เมื่อดูใกล้ๆ เป็นสะใภ้เซี่ยที่เคยมีโอกาสได้เจอกันหนึ่งครั้งจริงๆ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางจึงได้คิดว่าสะใภ้เซี่ยคือสะใภ้หวังที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเสียได้ ราวกับถูกผีบังตา เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นเช่นนั้น

“พี่สะใภ้รอง ให้แขกเข้าไปก่อนเถิด ตระกูลฉินล้มลงแล้ว แต่จะเสียมารยาทไม่ได้” สะใภ้กู้น้ำเสียงเรียบเฉย

มารยาท พวกเจ้าทิ้งพวกเราตากลมตากหิมะอยู่ข้างนอกตั้งนาน ตอนนี้นึกถึงมารยาทขึ้นมาได้แล้วหรือ

ฮูหยินติงและคนอื่นๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ แอบบอกกับตัวเองว่าให้อดทน

กลุ่มคนเดินมาถึงห้องโถงบุปผาเล็ก ไม่มีสาวใช้แม้แต่คนเดียว ห้องโถงบุปผาก็เงียบเหงา ไม่มีแม้แต่เตาถ่าน หนาวเย็นไปทุกที่

ฮูหยินติงกับติงโส่วซิ่นยืนอยู่ข้างนอกอยู่พักใหญ่ เมื่อเข้ามากลับรู้สึกหนาวกว่าเดิม ในห้องอากาศหนาว แม้แต่ชาร้อนสักถ้วยก็ไม่มี

ในเวลานี้สะใภ้หวังได้เข้ามาด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อเห็นติงโส่วซิ่นกับฮูหยินติงก็เอ่ยขอโทษ “ยากนักที่ใต้เท้าติงจะมาเยี่ยม ต้อนรับได้ไม่ดีโปรดอภัยด้วย เมื่อครู่ได้ปรนนิบัติท่านแม่ดื่มยาจนหลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว อารมณ์ของนางช่าง…เฮ้อ น้องสะใภ้สาม รีบไปยกน้ำชามาให้ใต้เท้าติงและคนอื่นๆ พวกท่านอย่าได้แปลกใจ ในเรือนไม่มีบ่าวรับใช้ ล้วนต้องดูแลตัวเอง”

สะใภ้กู้รับคำ ออกไปรินน้ำชามาสองสามถ้วย

ติงโส่วซิ่นลุกขึ้นยกมือขึ้นคำนับ เอ่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “พี่สะใภ้ ข้ามาสายแล้ว เรื่องของท่านอาจารย์ข้าได้ให้คนรุ่นเดียวกันไปสืบมาแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพิธีบวงสรวงใหญ่ ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก คนรุ่นเดียวกันผู้นั้นก็ไม่กล้าเปิดเผยมากนัก เฮ้อ ต้องโทษที่ข้าไม่มีอำนาจ แต่ว่าข้าได้ขอให้คนรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ อำนวยความสะดวกให้ทางด้านซีเป่ย เรื่องอื่นๆ คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ช่วยให้ท่านอาจารย์และคนอื่นๆ เปลี่ยนที่อยู่อาศัยหรือทำงานเบาๆ นั้นไม่มีปัญหา”

สะใภ้เซี่ยแสยะยิ้ม “งานนี้ต้องใช้เงินกระมัง หรือว่าใต้เท้าติงก็จะมาโน้มน้าวให้พวกเรามอบร้านผลไม้แช่อิ่มที่เป็นที่พึ่งทำมาหากินเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราให้แก่พวกท่านเพื่อเป็นค่าทำการนี้”

แววตาของติงโส่วซิ่นเผยให้เห็นถึงความแข็งทื่อและความละอายอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่เปิดเผยสีหน้าใดๆ เอ่ยว่า “พี่สะใภ้ นี่ล้วนเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด…”

สะใภ้หวังเอ่ยว่า “สามีข้าไม่อยู่ ใต้เท้าติงเรียกข้าว่านายหญิงใหญ่ฉินเถิด”

นี่คือต้องการขจัดความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล

สีหน้าของติงโส่วซิ่นแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เหลือบมองฮูหยินของตัวเอง

“นายหญิงใหญ่ฉิน เป็นพวกเราที่ไม่ได้ดูแลคนในตระกูลให้ดีทำให้เกิดการเข้าใจผิด น้องสะใภ้สามของข้าผู้นั้นเกิดมาจากตระกูลเล็กๆ ไม่รู้ความ ไปล่วงเกินพวกท่านเข้า ข้าขอโทษพวกท่านแทนนางด้วย” ฮูหยินติงลุกขึ้นยืนทำท่าคำนับ

เดิมทีนางคิดว่าสะใภ้หวังที่มาจากตระกูลมีชื่อเสียงจะยอมถอยให้ จึงเอ่ยด้วยความเกรงใจสองประโยค

แต่เมื่อนางย่อขาลง สะใภ้หวังเพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ดังนั้นการคำนับนี้ นางได้คำนับแล้ว และใภ้หวังก็รับได้ไว้อย่างสมศักดิ์ศรี

ฮูหยินติงรู้สึกอัปยศอดสูเล็กน้อย ก่อนหน้านี้สะใภ้หวังได้รับยศพระราชทาน ตำแหน่งสูงศักดิ์ รับการคำนับจากนางนั้นสมควรแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นเพียงภรรยาของขุนนางต้องโทษ ยศพระราชทานก็ถูกเพิกถอนแล้ว แต่กลับกล้ารับคำนับจากนางที่เป็นฮูหยินยศพระราชทานได้อย่างไร

ตลอดทางที่มาที่นี่ เดิมทีในใจฮูหยินติงก็โกรธอยู่แล้ว ถูกทิ้งไว้นอกประตูเป็นเวลานานยิ่งทำให้โกรธมากขึ้น ซ้ำตอนนี้ยังถูกดูหมิ่นอย่างเงียบๆ ความโกรธนี้ทำให้สีหน้าของนางบูดบึ้งเล็กน้อย ร่างกายโอนเอนเล็กน้อยราวกับจะล้มลง

สะใภ้หวังรับการคำนับนี้ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นตกใจแล้วก้าวไปข้างหน้า “ฮูหยินติงอย่าทำเช่นนี้ ข้าเป็นเพียงแค่สตรีธรรมดาสามัญทั่วไป ไหนเลยจะกล้ารับคำนับจากท่าน รีบลุกขึ้นเถิด”

ซีเอ๋อร์เอ่ยแล้วว่าศักดิ์ศรีที่มาส่งถึงประตู หากไม่เหยียบย่ำจะน่าเสียดาย!

ฮูหยินติงฝืนยิ้ม ‘ดูแสร้งทำเข้า ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรอยู่’

นางเข้าสังคมจนคุ้นชินแล้ว ถือโอกาสจับมือสะใภ้หวัง เอ่ยว่า “พี่หญิงคนดี ท่านอย่าได้เหินห่างกับข้าเพราะน้องสะใภ้ของข้าผู้นั้นเป็นอันขาด”

สะใภ้เซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ความสัมพันธ์เหินห่างไปนานแล้วกระมัง เมื่อครู่ฮูหยินติงก็จำพี่หญิงคนดีผิดไปไม่ใช่หรือ”

ฮูหยินติงหน้าแดง

ฉินหลิวซีที่ฟังการต่อกรข้างนอกจากห้องด้านข้างกำลังกระเทาะเมล็ดแตงพลางเอ่ยกับฉีหวงว่า “อาสะใภ้รองของข้าผู้นี้เหมาะที่จะเป็นมีดซ้ำเติมจริงๆ”

มีแผลตรงไหนก็แทงมันตรงนั้น ยอดเยี่ยม!