ตอนที่ 479 ปู้ฉิวคือข้าเอง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 479 ปู้ฉิวคือข้าเอง

แม้ว่าติงโส่วซิ่นจะถามถึงเด็กๆ ในตระกูล แต่เขาถามเพียงเรื่องการหมั้นหมายของฉินหลิวซีเท่านั้น สะใภ้หวังย่อมไม่เชื่อว่าคนผู้นี้ถามด้วยความเป็นห่วง เขามุ่งเป้าหมายไปที่ฉินหลิวซี

ทำไมนะ

สะใภ้หวังลดสายตาลงเพื่อปกปิดความสงสัย ไม่เข้าใจเจตนาของติงโส่วซิ่นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ติงโส่วซิ่นยิ้มพลางเอ่ยว่า “บุตรชายที่รักของข้าก็อายุถึงวัยแต่งงานพอดี ก่อนหน้านี้ข้ายังเคยคุยเรื่องการหมั้นหมายกับท่านอาจารย์อีกด้วย”

ฮูหยินติงใจเต้นแรง มองไปยังนายท่านของตัวเอง สีหน้าตกตะลึง

บ้าไปแล้วหรือ

ใครจะไปแต่งงานกับลูกหลานของขุนนางต้องโทษ

สีหน้าของสะใภ้หวังไม่เปลี่ยนไป นางไม่คิดว่าติงโส่วซิ่นเอ่ยเช่นนี้เพื่อต้องการให้ทั้งสองตระกูลมีสัญญาหมั้นหมาย นางเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้ว่าฉินหลิวซีจะเข้าสู่ลัทธิเต๋า แต่ก็อยู่ภายใต้การดูแลของนาง เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ หากมีสัญญาหมั้นหมายกับใครแล้วจริงๆ นางในฐานะที่เป็นแม่ใหญ่และเป็นผู้ดูแลเรือนมีหรือที่จะไม่รู้เรื่องนี้

เช่นนั้นการที่ติงโส่วซิ่นเอ่ยเช่นนี้เพราะเขาต้องการหมั้นหมายหรือ

เป็นไปไม่ได้ นิสัยอย่างคนในตระกูลติงทำได้ทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาผลกำไรจนลืมความชอบธรรม นางเองก็ได้เห็นแล้ว ในเวลานี้ไม่มีทางที่จะแต่งงานกับลูกหลานของขุนนางต้องโทษ แม้ว่าจะทำเพื่อลบล้างชื่อเสียงที่เสื่อมเสียก็ตาม

ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้น แล้วไยจึงถามถึงซีเอ๋อร์

ก่อนที่สะใภ้หวังจะตอบ ก็มีคนเดินออกมาจากห้องด้านข้าง นั่นคือฉินหลิวซี

“ซีเอ๋อร์” สะใภ้หวังก้าวไปหา

ติงโส่วซิ่นมองไปยังฉินหลิวซี อีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน

เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดคลุมธรรมดา รูปร่างผอมสูง ผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้น ปักปิ่นหยกสีเขียว แก้มทั้งสองข้างของนางดูซูบผอม ทำให้ดูเย็นชาเล็กน้อย แต่ดวงตา…

เมื่อติงโส่วซิ่นสบตาคู่นั้น ความหนาวเย็นก็เย็นวาบมาที่แผ่นหลังของเขาทันที โดยผ่านจากกระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงศีรษะ

สายตาคู่นั้นลึกราวกับสระน้ำเย็น สว่างไสวดั่งดวงดาว กระทั่งมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองได้ชัดเจน เป็นดวงตาคู่หนึ่งที่สวยงามสดใสอย่างยิ่ง

แต่ติงโส่วซิ่นกลับรู้สึกถึงอันตรายโดยไม่มีเหตุผล มีความรู้สึกเหมือนไม่สามารถหลบซ่อนได้ ทำให้เขาอยากจะหลีกเลี่ยง

เท้าของเขาขยับเล็กน้อย แอบตกใจ เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวตรงหน้าเขาอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นน่ากลัว

คิดไปเองอย่างแน่นอน!

ฉินหลิวซีได้เห็นอะไรมากมายจากโหงวเฮ้งของติงโส่วซิ่นจริงๆ ตำแหน่งสมรสเส้นยุ่งเหยิง หางตาเป็นสีแดง คนผู้นี้มีภรรยามีอนุ ซ้ำยังมีสตรีนอกเรือน ตำแหน่งบุตรนั้นอุดมสมบูรณ์ บุตรสาวและบุตรชายมากมาย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

เมื่อมองดูตำแหน่งการงานที่กลางหน้าผาก ดูอวบอิ่มมีอนาคตทางการงาน มิเช่นนั้นคงไม่ได้เป็นถึงตำแหน่งผู้ว่าการ น่าเสียดายที่ตอนนี้ตำแหน่งการงานมีไฝเล็กๆ หนึ่งไฝ หากมีบาดแผลหรือไฝขึ้นที่ตำแหน่งการงานจะเกิดการทะเลาะวิวาทกับเจ้านายหรือแม่กระทั่งผู้อาวุโส ซึ่งจะขัดขวางหน้าที่การงาน

ฉินหลิวซีลดสายตาลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดสายตาเย้ยหยัน

เมื่อนางลดสายตาลงก็มองเห็นส่วนล่างของใบหน้าติงโส่วซิ่น รวมไปถึงคางและโหนกแก้ม โหนกแก้มของเขาเหมือนรูปสามเหลี่ยมกลับหัว ราวกับมีด แต่กลับไม่มีโหนกแก้ม คนเช่นนี้ไร้ความรับผิดชอบ นับประสาอะไรกับความซื่อสัตย์ มีเรื่องอะไรหากหลบเลี่ยงได้ก็จะหลบเลี่ยง เป็นคนแรกที่หนีอย่างแน่นอน

โดยรวมแล้วติงโส่วซิ่นผู้นี้จะไม่มีอนาคตที่ดีแล้ว เขาไม่สามารถขึ้นไปยังตำแหน่งสูงได้

“ผู้นี้คือ” ฮูหยินติงมองสำรวจฉินหลิวซี การแต่งกายเช่นนี้ดูไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ตระกูลฉินไม่รู้จักอบรมสั่งสอนเลยจริงๆ

“ต้องการพบข้าไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าก็คือเด็กสาวที่ถูกเลี้ยงอยู่ที่บ้านเดิมผู้นั้น”

ติงโส่วซิ่นรู้สึกตกใจกับรัศมีของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า แต่ใบหน้ากลับไม่ได้เผยให้เห็นอะไรเลยสักนิด ยิ้มพลางเอ่ย “เด็กสาวในตอนนั้นได้โตเป็นสาวแล้ว เป็นสตรีเหตุใดจึงได้แต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้”

ฮูหยินติงได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจในความหมายทันที ดึงปิ่นปักผมทองห้อยระย้าจากบนศีรษะ ยิ้มพลางปักบนมวยผมของฉินหลิวซี เอ่ยว่า “ท่านอาของเจ้าพูดถูก หญิงสาววัยนี้ต้องแต่งตัวให้สวยงาม”

เมื่อทุกคนคิดว่าปิ่นปักผมทองจะถูกปักบนมวยผมของฉินหลิวซี ฉินหลิวซีก็ได้ยกมือขึ้นมาขวางไว้ เอ่ยว่า “ผู้ที่ออกบวชไม่สวมเครื่องประดับสีฉูดฉาด”

มือของฮูหยินติงค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้ามีร่องรอยของความโกรธเคือง ผู้ใหญ่ทำตัวหยิ่งผยอง เด็กน้อยก็ยิ่งทะนงตน ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้จักรักษาไว้

“ออกบวช หมายความว่า?”

ฉินหลิวซีพยุงสะใภ้หวังนั่งลง เอ่ย “ตอนข้ายังเด็กก็ได้บอกกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนท่านไปแล้ว ทำไมหรือ นางไม่ได้บอกกับใต้เท้าหรือ”

ติงโส่วซิ่นยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนว่าเคยบอกว่าเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เลี้ยงดูอยู่ที่อารามเต๋า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะออกบวชแล้ว”

สำหรับหญิงสาวในตระกูลมีชื่อเสียงที่ออกบวช หากไม่ทำอะไรผิดอะไรก็เป็นการทำลายชื่อเสียงตัวเองจึงได้ห่มชุดเขียวเดินในทางธรรม แต่คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คงไม่ใช่กระมัง แต่ก็ออกบวชอย่างนั้นหรือ

ให้สตรีดีๆ ออกบวช ตระกูลฉินคิดอะไรอยู่

“ออกบวชก็คือเข้าสู่ลัทธิเต๋าหรือ นายหญิงใหญ่ทำใจได้หรือ” ฮูหยินติงเหลือบมองสะใภ้หวัง นี่ไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ย่อมไม่เหมือนกัน

สะใภ้หวังลดสายตาลง “ตราบใดที่บุตรแคล้วคลาดปลอดภัย ทำใจไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้”

มีร่องรอยการดูถูกในสายตาของฮูหยินติง มองไปยังฉินหลิวซีอีกครั้ง กลับมีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเล็กน้อย เข้าสู่ลัทธิเต๋าแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนสำนักเดียวกันกับนักพรตนามว่าปู้ฉิวผู้นั้น?

มิน่าล่ะจึงได้ขอให้คนผู้นั้นยื่นมือเข้ามาช่วยได้

“ข้าได้ยินมาว่าอารามชิงผิงมีชื่อเสียงไม่น้อยเลย ทำการกุศลทุกปี ได้รับการยกย่องจากราษฎรเป็นอย่างมาก” ติงโส่วซิ่นเอ่ยว่า “นายอำเภอเหลียง เมืองหลีกลับไม่เคยเอ่ยถึงคุณงามความดีของอารามชิงผิงเลย กลับไปข้าจะต้องซักถามเขาสักหน่อย”

ฉินหลิวซี “อารามชิงผิงทำความดีเพื่อฝึกบำเพ็ญและสะสมบุญ ไม่ได้สนใจเรื่องผลงานใดๆ”

“เช่นนั้นดูเหมือนว่าอารามชิงผิงจะมีหัวใจของลัทธิเต๋าในการรับใช้ราษฎรอย่างสุดใจและสนับสนุนคุณธรรม…”

“ไม่ถึงขั้นเรียกได้ว่ารับใช้ราษฎรอย่างสุดใจ เพียงแค่ทำความดีและสั่งสมคุณธรรมเท่าที่ทำได้ อย่างไรเสียนักพรตทุกวันนี้ก็เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปที่กินข้าวเช่นกัน ไม่ว่าหัวใจเต๋าจะชอบธรรมสักเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเสียสละในทุกด้านได้อย่างพุทธะ การรับใช้ราษฎรด้วยใจจริงคือสิ่งที่ขุนนางอย่างพวกท่านควรทำ หากการกระทำของขุนนางมีประโยชน์ ราษฎรก็ย่อมมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ”

ฉินหลิวซีขัดจังหวะการยกยอของเขา

ติงโส่วซิ่นสำลักซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองไปยังฉินหลิวซี คำพูดที่ออกมาจากปากของเด็กสาวผู้นี้คมกริบราวกับสายตาของนาง ซ้ำยังเผยให้เห็นถึงความเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง

เขาไม่ได้อ้อมค้อมอีก เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าควันธูปในอารามชิงผิงนั้นรุ่งเรืองมาก นักพรตก็มีความสามารถ ไม่ทราบว่าพอจะดูฮวงจุ้ยของจวนได้หรือไม่”

ฉินหลิวซีหัวเราะ “ทำไมหรือ ตระกูลของใต้เท้ากำลังโชคร้ายหรือ มิน่าล่ะข้าจึงได้เห็นว่าหว่างคิ้วของพวกท่านนั้นมืดมน โชคร้ายมาถึงตัว โชคลาภก็ตกต่ำลง”

ติงโส่วซิ่นและฮูหยินติงต่างมีสีหน้ามืดครึ้ม ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เจ้าดูโหงวเฮ้งเป็นด้วยหรือ ไม่ทราบว่าจะมีวิธีแก้โชคร้ายนี้หรือไม่”

ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ลูบเล็บพลางเอ่ย “สิ่งที่เรียกว่าการใช้เงินปัดเป่าภัยพิบัติ ทำความดีสะสมบุญ หากใต้เท้าทำความดีอย่างจริงใจ สะสมคุณธรรม ย่อมแก้ไขปัญหาได้”

ความทะนงตนนี้ การเย้ยหยันนี้

ติงโส่วซิ่นลุกขึ้นยืน

ไม่จำเป็นต้องทดสอบอีกต่อไป ในเมื่อออกบวชแล้ว ซ้ำยังอยู่ที่อารามชิงผิงแห่งนั้น เกือบจะชัดเจนแล้วว่าต้องเป็นเด็กผู้หญิงคนนี้ที่ให้นักพรตปู้ฉิวในอารามเต๋ามาทำบางสิ่งกับครอบครัวของเขาแล้ว

“เหอะ ใช้เงินปัดเป่าภัยพิบัติ” ติงโส่วซิ่นสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าอารามชิงผิงมีท่านอาจารย์ที่มีความสามารถเป็นอย่างมากซึ่งมีนามเต๋าว่าปู้ฉิว ไม่ทราบว่าหลานจะช่วยแนะนำให้ท่านอาอย่างข้าได้หรือไม่ ข้าอยากจะถามเขาว่าควรจะใช้เงินปัดเป่าภัยพิบัติอย่างไร”

ฉินหลิวซีหัวเราะ เอ่ย “ก็บอกท่านไปแล้วไง!”

“อะไรนะ” ติงโส่วซิ่นมองนาง ความหนาวเย็นไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง มีลางสังหรณ์ไม่ดี

สายตาของฉินหลิวซีแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจ “ทำความดีด้วยความจริงใจ ทำความดีสะสมบุญ” นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “จริงสิ ปู้ฉิวคือนามเต๋าของข้าเอง ขายหน้าใต้เท้าเสียแล้ว!”

ติงโส่วซิ่น “…”