ในชั่วพริบตาหยานชิงเจ๋อก็นึกภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาจดทะเบียนสมรสกัน
วันนั้น เขาเขียนเสร็จภายในไม่กี่นาที แต่เธอที่นั่งอยู่ข้างๆเขา ไม่ได้ขยับปากกาเป็นเวลานาน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเร่งให้เธอเขียน แล้วยังพูดจาไม่ดีกับเธออย่างมาก บอกว่าเธอเสียสละตนเองไปแล้ว ถ้าไม่แต่งงาน คืนนั้นเธอจะให้ฟรีๆใช่ไหม?!
เธอได้ฟังคำพูดของเขา จึงอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา นำเอกสารมาเขียนแล้วส่งไป
แต่เวลานี้ ดูเหมือนจะสลับกัน
เธอเร่งให้เขากรอกข้อมูล เร่งรัดให้เขาหย่า
ในตอนแรกคนที่ไม่เต็มใจจะแต่งงานคือเขา ถึงแม้ว่าเขาจะสะใจ แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ชอบเลย
และตอนนี้ คนที่ไม่เต็มใจที่จะหย่าก็คือเขา
หยานชิงเจ๋อฝืนยิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมา แล้วเริ่มเขียนเอกสาร
บางทีเขาอาจจะไม่คู่ควรกับเธอ อย่างนั้นก็ปล่อยให้เธอไปเป็นอิสระเถอะ ให้เธอได้อยู่ด้วยกันกับคนที่เธอชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกทุกข์ใจอย่างมากก็ตาม
ทั้งสองคนยื่นเอกสารให้ หลังจากเจ้าหน้าที่ดูแล้ว ก็ถามว่า : “ทั้งสองคนมีการแบ่งทรัพย์สินกันไหม?”
หยานชิงเจ๋อนึกถึงคอนโดมิเนียมอันนั้น จึงพูดกับซูสือจิ่นว่า : “เสี่ยวจิ่น คอนโดมิเนียมอันนั้นของเรา……”
ซูสือจิ่นส่ายหัว แล้วพูดตัดบทเขาว่า : “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ต้องการ”
เธอตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะออกจากประเทศจีน แล้วยังจะเอาคอนโดมิเนียมไว้ทำอะไรอีกล่ะ?”
อีกอย่างที่ตรงนั้นก็เป็นความทรงจำของพวกเขา ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะปล่อยวางทุกอย่างแล้ว ยังจะต้องรำลึกถึงความหลังให้เจ็บช้ำทำไม?
ประโยคหลังของหยานชิงเจ๋อติดอยู่ในลำคอ เขาพยักๆหน้า สักพักจึงพูดว่า ‘อืม’
ไม่มีการแบ่งทรัพย์สิน ไม่มีเรื่องบาดหมาง ไม่มีลูก การหย่าร้างอย่างนี้จัดการได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ถึงสิบนาที เจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกข้อมูลแล้ว หลังจากนั้นก็ประทับตราหนังสือทั้งสองเล่ม
เธอนำหนังสือส่งให้ทั้งสองคนแล้วพูดว่า : “ทั้งสองท่าน ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เมื่อหยานชิงเจ๋อเห็นตัวหนังสือสามคำ ‘ทะเบียนหย่า’ อย่างชัดเจน ก็รู้สึกบาดตาจนไม่สบายใจ
เขาหยิบสมุดหนึ่งในนั้นขึ้นมา ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรด้วยซ้ำ
เจ้าหน้าที่จึงกล่าวเตือนสติว่า : “ทั้งสองท่าน การดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ด้านหลังมีคนที่จะต้องดำเนินการต่อ ดังนั้นเชิญทั้งสองท่านหลีกทางหน่อยนะคะ……”
ซูสือจิ่นจึงได้สติกลับมา เธอหยิบสมุดอีกเล่มหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้น
“คุณผู้หญิงคะ คุณลืมกระเป๋าค่ะ……” เจ้าหน้าที่ตะโกนเรียกเธอจากด้านหลัง
ซูสือจิ่นนึกขึ้นได้จึงรีบหันกลับไป แล้วเก็บกระเป๋าและมือถือกลับมา
หยานชิงเจ๋อเห็นว่าซูสือจิ่นเดินอยู่ข้างหลังเขา ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจเดินให้ช้าลง รอให้เธอเดินขึ้นมาข้างๆเขา
แต่เมื่อเขาเดินช้าลง เธอก็ยิ่งเดินช้าลงไปอีก พวกเขาเดินนำหน้าและตามหลังกันตลอด จนกระทั่งออกจากห้องโถงของสำนักงานเขต
ด้านนอกอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย ซูสือจิ่นจึงดึงคอเสื้อเสวตเตอร์ขึ้นโดยจิตใต้สำนึก
หยานชิงเจ๋อเห็นแล้วก็หยุดฝีเท้าลง พูดอย่างอ่อนโยนกับเธอ : “เสี่ยวจิ่น หนาวเหรอ?”
ซูสือจิ่นคาดไม่ถึงว่าเขาจะยังพูดคุยกับเธอ เธอจึงยิ้มให้เขาอย่างดูเหินห่าง : “เปล่าค่ะ”
พูดจบก็ชี้ไปยังลานจอดรถ : “ถึงอย่างไรลานจอดรถก็อยู่ข้างๆ ลมพัดแรงก็ไม่เป็นไรหรอก”
หยานชิงเจ๋อพยักหน้า คิดอยากที่จะจับมือเธอ แต่ก็พบว่าในอีกมือหนึ่งของเขามีใบหย่าอยู่ ดูเหมือนเป็นการเตือนถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาตลอดเวลา
เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะจับมือของเธออีกต่อไปแล้ว
หยานชิงเจ๋อยืนอยู่กับที่ มองซูสือจิ่นที่กำลังเดินไปที่ลาดจอดรถ เขารู้สึกสับสนไปหมด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า : “เสี่ยวจิ่น ให้ฉันไปส่งคุณกลับบ้านไหม?”
ซูสือจิ่นไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเขาถึงได้กระตือรือร้นเอาใจใส่แบบนี้ อาจเป็นเพราะว่า เขาต้องการจะชดเชยอะไรสักหน่อยใช่ไหม?
อันที่จริงเขาไม่ต้องทำอะไรหรอก ช่วงเวลาสองเดือนสั้นๆที่เธออยู่ด้วยกันกับเขา มันเป็นเพียงความรักที่แอบซ่อนมาเป็นเวลาสิบปีของเธอ
เธอเคยมีอยู่ในครอบครอง ถึงแม้ว่าจะสูญเสียไป แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้เสียดายขนาดนั้น
“ไม่เป็นไร ฉันขับเองได้” ซูสือจิ่นเร่งจังหวะฝีเท้าให้เร็วขึ้น
หยานชิงเจ๋อมองซูสือจิ่นที่เดินไปยังรถของเธอ และกำลังจะเปิดประตูรถ เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป
ในใจของเขาหวาดกลัวอย่างมาก จึงร้องเรียกชื่อเธอดังๆอย่างลืมตัว : “เสี่ยวจิ่น!”
ซูสือจิ่นหันกลับมามองเขา
หยานชิงเจ๋อรีบเดินเข้าไปด้วยหัวใจที่สั่นหวั่นไหว ยื่นมือออกไปดึงซูสือจิ่นมาไว้ในอ้อมกอด
ซูสือจิ่นตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
เพียงแต่นี่คืออ้อมกอดที่เธออาลัยอาวรณ์มาตลอดทั้งวันทั้งคืน แล้วจะตัดใจทิ้งไปได้อย่างไร?
ฉะนั้นเมื่อเขาไม่ปล่อยมือ เธอก็ไม่ขยับ ยังสงบเงียบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนั้น
ในลมหายใจทั้งหมดเป็นกลิ่นของซูสือจิ่น จู่ๆหยานชิงเจ๋อก็รู้สึกว่า นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
เขาอยากอยู่ด้วยกันกับเธอ
แต่ในมือของเขา ยังมีใบหย่าเล่มนั้นอยู่ ระหว่างพวกเขามีปัญหาอุปสรรคมากมายเหลือเกิน ดูเหมือนว่าจนปัญญาที่จะแก้ไข
เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่าต้องการจะฝังเธอเข้าไปในเลือดเนื้อของตนเอง
หน้าอกของเขาแปรปรวนไปหมด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และที่รุนแรงที่สุดคือ เขาพบว่าจมูกของตนเองเริ่มแสบขึ้นมา ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว
จนกระทั่ง ค่อยๆมีความรู้สึกเย็นขึ้นมาบนแก้ม หยานชิงเจ๋อจึงพบว่า เขาร้องไห้
น้ำตาคล้ายกับวาล์วที่ปิดไม่อยู่ เขาไม่อยากดูจนตรอกต่อหน้าเธอ ไม่อยากให้เธอต้องมีภาระทางจิตใจ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กอดเธออยู่แบบนั้น จนกระทั่งเขาปรับอารมณ์ความรู้สึกได้ดีแล้ว จนกระทั่งคราบน้ำตาแห้งแล้ว
เพราะหยานชิงเจ๋อออกแรงมากเกินไป ซูสือจิ่นจึงค่อยๆรู้สึกว่าหายใจลำบากขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามอดทน เพื่อช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ร่วมกันแบบนี้
จนกระทั่ง เธอรู้สึกหายใจไม่ออกแล้วจริงๆ แทบจะเป็นลมแล้ว เธอจึงค่อยๆผลักหยานชิงเจ๋อเล็กน้อย แล้วเรียกชื่อของเขา: “พี่ชิงเจ๋อ”
หลังของหยานชิงเจ๋อแข็งทื่อทันที
ที่เธอเรียก ไม่ใช่ชิงเจ๋ออีกแล้ว แต่เป็น พี่ชิงเจ๋อ
จำได้ว่าเธอเคยพูดว่า ก่อนหน้านี้ที่เรียกชิงเจ๋อ เพราะว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ดังนั้น จึงไม่สามารถเรียกชื่อเหมือนเมื่อก่อนได้
แต่ตอนนี้……
เขาไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือ แต่ทำได้เพียงค่อยๆปล่อยมือออก แล้วมองไปยังคนที่อยู่ใกล้ๆ
ซูสือจิ่นเงยหน้ามองเขา ใบหน้าช่างดูงดงามมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ล้วนเป็นรูปร่างหน้าตาที่เธอชื่นชอบ
เพียงแต่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง
เธอต้องเรียนรู้ที่จะลืมเขา ลืมความชอบและความหวั่นไหวเหล่านั้น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา แล้วเดินไปสู่ชีวิตที่ไม่มีเขาในอนาคต
ชีวิตยังอีกยาวไกล เธอก็คงจะค่อยๆชินไปเอง
ดังนั้น เธอจึงเงยหน้ามองเขา พยายามยิ้มเล็กน้อย: “พี่ชิงเจ๋อ ฉันต้องไปแล้ว ขอให้คุณมีความสุขนะ!”
หยานชิงเจ๋อสะอึกสะอื้นในลำคอเล็กน้อย เป็นเวลานาน เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติว่า: “เสี่ยวจิ่น ต่อจากนี้ไป พวกเราจะยังเป็นพวกเราในอดีตได้ไหม? ฉันยังคงเป็นพี่ชายของคุณ คุณยังคงเป็นน้องสาวของฉัน”
พี่ชาย? น้องสาว?
ไม่ เธอไม่ต้องการแบบนี้
ในเมื่อปล่อยมือไปแล้ว ก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
ซูสือจิ่นส่ายหน้า: “ไม่ได้หรอก พี่ชิงเจ๋อ นี่คือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเรียกคุณ ต่อไป พวกเราอาจจะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้ว”
หัวใจหยานชิงเจ๋อกระวนกระวาย: “ทำไมล่ะ?”
ในทันใดเขาก็นึกถึงเมื่อวาน เพราะเขาโกรธ แล้วปฏิบัติกับเธอแบบนั้น
ก่อนหน้านี้ เขาเคยรู้สึกเสียใจ แต่ไม่เคยคิดที่จะกล่าวขอโทษ แต่ตอนนี้ได้ฟังคำพูดของซูสือจิ่นแล้ว เขาก็เอ่ยปากทันทีว่า: “คุณโกรธเรื่องเหล่านั้นที่ฉันพูดไปเมื่อวานใช่ไหม? ฉันเพียงแค่โกรธ เสี่ยวจิ่น ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันขอโทษ”
เป็นครั้งแรกที่ซูสือจิ่นได้ยินหยานชิงเจ๋อพูดขอโทษกับตนเอง
ขณะนี้เมื่อกลับไปนึกถึง แต่ก่อนดูเหมือนว่าเขาไม่เคยกล่าวขอโทษเธอเลย
ยกเว้นเมื่อวาน เธอก็ทำเพื่อเขาจริงๆ แต่เขาเข้าใจเธอผิด แล้วยังพูดคำพูดที่ทำร้ายคนมากมาย
เธอส่ายหน้า ยิ้มกับเขาเล็กน้อย: “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
เธอพูดพลาง นึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวต่อไปว่า: “เพียงแต่นิสัยของคุณต้องเปลี่ยนหน่อยนะ คุณดูพี่เฉินกับสีเย็นสิ ต้องง้อผู้หญิงให้มากๆหน่อย!”
“แต่ตอนที่คุณกับเจียงซีหยู่อยู่ด้วยกัน มากที่สุดฉันก็เห็นแค่คุณดูแลเธอ แต่ไม่เคยเห็นว่าคุณง้อเธอยังไง พวกเราแต่งงานกันแล้ว ได้เจอเธอที่โรงพยาบาล คุณก็โอบฉันแล้วเดินจากไป โดยไม่ได้ตามเธอไป คุณรู้บ้างไหมว่าการทำแบบนี้มันทำให้ผิดหวังมากเลยนะ?”
“บางครั้งผู้หญิงที่คบหาดูใจกัน บางทีสิ่งที่ต้องการก็คือการใส่ใจแบบนี้แหละ ถึงแม้ว่าในใจของคุณจะใส่ใจ แต่คุณไม่เคยพูด แล้วก็ไม่เคยแสดงออกมาเลย แล้วอีกฝ่ายจะรับรู้ได้อย่างไร?”
ซูสือจิ่นพูดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มๆ: “เพียงแต่ ฉันสามารถทำเป็นไม่เห็นความทุกข์นี้ได้ คุณดีเลิศขนาดนี้ ถึงแม้ในด้านการง้อผู้หญิงจะแย่หน่อย แต่นิสัยเดิมนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
เธอมองเขา แล้วกล่าวว่า: “ฉันเชื่อว่า ในอนาคตคุณจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน!”
พูดพลางไม่สนใจว่าหยานชิงเจ๋อจะพูดอะไรอีก ซูสือจิ่นก็ดึงเปิดประตูรถ แล้วขึ้นไปนั่ง
จากนั้น เธอก็ปิดประตู สตาร์ตรถ แล้วขับออกไปโดยตรง
กระทั่งขับออกไปแล้ว น้ำตาที่เธอสะสมมานานจึงไหลออกมา
คำพูดเธอเมื่อกี้นี้ดูใจกว้างอย่างมาก แต่ทุกๆคำ ที่ออกมาจากปากของเธอ มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่า มันทรมานแค่ไหน
เธอขับรถไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง
ด้วยความที่กลัวว่าหยานชิงเจ๋อจะตามมา ซูสือจิ่นจึงเลือกเส้นทางเล็กๆที่เงียบสงบ แล้วหาเส้นทางชุมชนที่เปิดอยู่ แล้วขับเข้าไปแบบนั้น
เธอขับไปยังที่จอดรถที่ไม่ได้ล็อกไว้ จอดรถลง แล้วฟุบกับพวงมาลัยร้องไห้
ไม่มีใครใจกว้างขนาดนั้นหรอก ความมัวเมาในหลายปี ความรักที่เฝ้ารอคอยมาหลายปี ยังไม่ทันได้เบ่งบาน ก็ถูกตนเองเด็ดทิ้งไปเมื่อกี้นี้แล้ว!
แต่มันไม่ใช่ของตนเอง ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่
เธอควรจะจากไปได้แล้ว และเมื่อกี้ คือเธอไปพบหน้ากับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
และการโอบกอดเมื่อกี้นั้น ก็คือการสัมผัสครั้งสุดท้ายของพวกเขา
นับแต่นี้ต่อไป เธอจะอยู่ในโลกที่ไม่มีเขา พบปะกับผู้คนใหม่ๆ บางที อาจจะพบคนที่หวั่นไหว เธอก็อาจจะคบหาดูใจแต่งงานด้วย กระทั่งมีลูกด้วยกัน
เธอแอบรักเขามาตั้งแต่เด็ก เธออาจจะถูกฝุ่นเกาะในบางมุมของความทรงจำ หลังจากผ่านมาหลายปี ถ้าหากว่าถูกเปิดเผย ก็อาจจะไม่เจ็บปวดใจเหมือนในตอนนี้
บางทีเมื่อแก่ตัวลง เธออาจจะได้พบเขาริมถนนลอนดอนตรงไหนสักแห่ง พวกเขาไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนในตอนนั้น ข้างๆกาย ก็มีคนอื่นๆ
จากนั้น ก็จะยิ้มให้กันและกันเล็กน้อย แล้วกล่าวทักทายกัน: “Hi ไม่เจอกันนานเลยนะ”
อย่างมาก ก็จะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันสักเล็กน้อย พูดคุยเรื่องลูกหลานของตนเองสักสองสามคำ จากนั้น ก็หันกลับแล้วเดินจากไปท่ามกลางฝูงชน
สุดท้าย ก็จะมีเพียงป้ายหน้าหลุมฝังศพที่ห่างกันพันลี้ ที่จะบอกเล่าถึงความดีใจ ความโกรธ ความเศร้าโศก และความสุขแก่คนรุ่นหลังอย่างเงียบๆ
นี่อาจจะเป็นจุดจบ……