บทที่ 305 การผจญภัยบนรถไฟ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 305 การผจญภัยบนรถไฟ

บทที่ 305 การผจญภัยบนรถไฟ

เสี่ยวอู่ไม่คิดเลยว่าจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ดังนั้นจึงรู้สึกลังเล

“แต่จดหมายที่ผมเขียนถึงย่า ย่าจะอ่านเข้าใจใช่ไหม?” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา

หญิงชราเรียนกับพวกหลาน ๆ ด้วยความตั้งใจมาก แต่ความก้าวหน้าไม่เยอะเท่าไร

มันคือสิ่งที่ทุกคนไม่กล้าเอ่ย แต่จู่ ๆ เสี่ยวอู่ก็โพล่งออกมา ไม่แปลกใจเลยที่ผู้เป็นย่าจะโกรธ

คุณย่าซูหยิบไม้กวาดแล้วหวดใส่หลานชาย

เพราะการหยอกล้อทำให้บรรยากาศการจากลาเบาลง

วันรุ่งขึ้น เสี่ยวอู่ขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปทางใต้ก่อน

และอีกสองชั่วโมงต่อมาก็เป็นฉือเก๋อที่พาฉืออี้หย่วน เสี่ยวซื่อ และเสี่ยวเถียนขึ้นรถไฟไปทางเหนือ

ชั่วพริบตาเดียว ก็เหลือหญิงชรากับลูกชายและลูกสะใภ้ที่สถานีรถไฟ

คุณย่าซูเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาแล้วพร่ำบ่น “พ่อแกกับพี่รองแกเนี่ยจริง ๆ เลย ลูกหลานต้องออกจากบ้านแล้วแท้ ๆ ไม่รู้จักมาส่งบ้าง!”

เหลียงซิ่วเป็นคนที่เข้าใจความคิดของแม่สามีดีที่สุด ทำไมจะไม่รู้ว่าแม่สามีกำลังระบายความอึดอัดที่ลูกหลานต้องจากไป

เพราะงั้นเธอจึงเดินไปข้างกายแล้วยิ้ม ก่อนจะประคองแขนหญิงชราแล้วเอ่ยว่า “แม่คะ วันนี้ฉันกับพี่สะใภ้รองไม่ต้องไปทำงานพอดีเลยค่ะ เดี๋ยวกลับไปแล้วจะไปช่วยแม่นะคะ”

พอได้ยินเรื่องทำมาหากิน คุณย่าซูก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และรีบเดินด้วยความว่องไว

ฉีเหลียงอิงเห็นว่าคำพูดของสะใภ้สามทำให้แม่กลับมามีชีวิตชีวาได้ จะบอกว่าไม่อิจฉาก็คงโกหก

กลับมาพูดถึงฝั่งเสี่ยวเถียนที่ขึ้นรถไฟไปแล้ว คนกลุ่มนี้นับว่ามีทั้งคนแก่และเด็ก

โชคดีที่เคยวานให้คนซื้อตั๋วนอนมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเบียดที่นั่งกับคนอื่น

เสี่ยวเถียนเคยนั่งรถไฟตั๋วนอนมาแล้วในชาติก่อน แต่เสี่ยวซื่อไม่เคย

“คุณปู่ฉือ บนรถไฟนอนได้ด้วยหรือครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย

นอนบนนี้จะอึดอัดไหม?

จะเหมือนนั่งรถไถไหม?

เพราะเสียงของมันดังกว่ารถไถมาก

“นอนได้สิ เตียงเล็กกว่านิดหน่อย แต่สบายกว่าที่นั่งเบาะแข็ง ๆ นะ” ฉือเก๋อดูแลเสี่ยวเถียนไปด้วย เอ่ยตอบไปด้วย

สุขภาพของฉือเก๋อไม่ค่อยดี แม้ว่าหลายปีมานี้จะดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ความจริงเขาเดินเหินไม่ค่อยสะดวก

ตอนนี้บนรถไฟมีคนเยอะมาก จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้เขาเดิน

แต่ชายชรากลับตื่นเต้น หลายปีมาแล้วในที่สุดก็ได้กลับบ้านเกิดเสียที

นึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่พาเสี่ยวหย่วนมา ตั๋วนอนอะไรไม่ต้องพูดถึงหรอก แม้แต่ที่นั่งยังไม่มีด้วยซ้ำ

สองปู่หลานนั่งยองบนรถไฟมาตลอดทาง พอเหนื่อยก็จะนอนบนทางเดินสักพัก

ตอนนั้นเสี่ยวหย่วนยังเด็กมาก เขาปกป้องหลานชายไว้ตลอด กลัวว่าจะมีคนเดินมาเหยียบ มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากจริง ๆ

หลังจากผ่านไปหลายปี เสี่ยวหย่วนโตขึ้นและในที่สุดพวกเราก็ได้กลับบ้าน

“เสี่ยวเถียน หลานต้องตามเรามาติด ๆ นะ อย่าหลงไปที่ไหน บนรถไฟคนเยอะมาก!” ชายชราเป็นห่วงเสี่ยวเถียนมากที่สุด

“คุณปู่ฉือค่อย ๆ เดินนะคะ ไม่ต้องรีบร้อนนะ” ส่วนเสี่ยวเถียนเป็นห่วงสุขภาพร่างกายฉือเก๋อ

เสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่คล่องตัว

ที่สำคัญคือเธอฝึกฝนมานานหลายปี ความแข็งแกร่งดีกว่าเด็กสาวทั่วไปแน่นอน

แม้แต่ตอนนี้ตัวเธอที่แบกสัมภาระไว้มากมายก็ยังเดินได้อย่างมั่นคง

“เด็กคนนี้ เติบโตมาอย่างอ่อนโยนเลยนะ” ฉือเก๋ออดหัวเราะไม่ได้

คนหลายคนมาประจำที่ตั๋วนอนของตน

คนทั้งสี่ซื้อเตียงบนหนึ่งเตียง และเตียงล่างหนึ่งเตียง

การจะซื้อตั๋วนอนมาได้มันไม่ง่ายเลย

ฉือเก๋อเห็นว่าตนพาเด็ก ๆ มาถูกที่ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“มาเร็วเด็ก ๆ เอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนชั้นวางก่อน”

ฉือเก๋อจัดแจงหน้าที่

เสี่ยวซื่อ อี้หย่วน และเสี่ยวเถียนร่วมแรงกันดันกระเป๋าขึ้นไปไว้บนชั้นวาง

เด็ก ๆ ร่างกายแข็งแรงและคล่องตัว แต่ฉือเก๋อกลัวพวกเขาจะบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่หลังจากที่วางเสร็จ ก็มีเรื่องเกิดขึ้น

ผู้หญิงในวัยหกสิบปีเศษรีบพุ่งเข้ามาทางพวกเขา

ฉือเก๋อกลัวตัวเองจะขวางเธอ จึงถอยหลังหลบก้าวหนึ่ง

แต่ใครจะรู้เล่าว่าพอถอยไปก้าวหนึ่ง หญิงชราที่พุ่งตัวเข้ามาหากลับล้มลงนอนบนเตียงชั้นล่างของเขาอย่างไร้มารยาท

ฉือเก๋อแก่แล้ว มือไม้ไม่สะดวก กว่าจะซื้อตั๋วมาได้ก็ใช้ความคิดไปไม่น้อย

แล้วผู้หญิงคนนี้ทำอะไร?

หลังจากที่ตกตะลึงอยู่ครึ่ง เขาก็หยิบตั๋วออกมาว่าตนมองผิดหรือเปล่า

ถูกแล้ว ที่นั่งนี่ล่ะ

เสี่ยวเถียนเห็นฉากนี้แล้วรีบปีนลงจากเตียง

ผู้หญิงคนนั้นถือห่อผ้าอยู่ในมือ ตอนนอนบนเตียงผ้ายังลากพื้นอยู่เลย

ขณะที่เสี่ยวเถียนคิดเรื่องนี้ก็ได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูด

“ชุ่ยฮวา รีบพาลูกมาสิ ฉันหาที่นั่งได้แล้ว”

เสี่ยวเถียนงง

นี่มันอะไร? หาที่นั่งได้แล้ว?

แต่มันคือที่นั่งพวกเขานะ!

ตอนนั้นเองที่หญิงวัยกลางคนเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับเด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบที่ลากกระเป๋าเดินทางของเธอ

เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นพวกเสี่ยวเถียนยืนดู แต่ไม่มีใครช่วยสักคนใบหน้าก็น่าเกลียดทันที

“พวกแก ทำไมใจร้ายแบบนี้? ไม่เห็นหรือไงว่ามีผู้หญิงอุ้มเด็กแบกสัมภาระน่ะ? รู้จักช่วยบ้างไหม?”

ท่าทางที่เป็นธรรมชาติทำให้คนหลายคนอึ้ง

ไม่ทันที่พวกเสี่ยวเถียนจะเอ่ยปาก หญิงวัยกลางคนก็เริ่มสบถและด่าอย่างแรง

เสี่ยวเถียนตะลึงงัน!

ฉือเก๋อก็เหมือนกัน!

อยู่มาครึ่งค่อนชีวิต ทำไมจะไม่รู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วยล่ะ

ขโมยที่นั่งเขาแล้วยังให้เขาช่วยขนของอีก?

“สหาย ลุกขึ้นก่อนได้ไหม? นี่คือที่นั่งของพวกเรานะ!”

ฉือเก๋อไม่อยากยุ่งกับคนพวกนี้ แค่อยากจะเอาที่นั่งคืนเท่านั้น

แต่ไม่คิดเลยว่าหญิงชราที่นอนกลับลุกขึ้นนั่งเงียบ ๆ และจ้องเขม็งไปยังฉือเก๋อราวกับว่าอีกฝ่ายขโมยของพวกเขาไป

“คุณผู้ชายท่านนี้ หมายความว่ายังไง? นี่คิดจะแย่งที่นั่ง?”

เสี่ยวเถียนและเด็กหนุ่มอีกสองคนตกลึง

ใครขโมยใครนะ? พูดแบบนี้ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ?

แต่เห็นชัดเลยว่าอีกฝ่ายไม่รู้สึกผิด

เธอไม่รู้สึกผิดจริง ๆ และคิดว่าใครแย่งได้ก็เป็นของคนนั้นสิ แล้วใครใช้ให้เธอว่องไวล่ะ?

“แต่นี่คือที่นั่งของเราจริง ๆ นะ!” อี้หย่วนพยายามอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน

แต่บางคนเกิดมาไม่มีเหตุผลเลยจริง ๆ

“ของแก แกบอกว่ามันเป็นของแกหรือ? งั้นแกก็เรียกสิ ถ้าที่นั่งมันตอบ ฉันจะได้รู้ว่ามันเป็นของแก” หญิงชราว่าแล้วชี้ไปทางพวกฉือเก๋ออย่างภาคภูมิใจ

หญิงวัยกลางคนที่ลากกระเป๋าด้วยความยากลำบากหอบหนัก ทั้งยังไม่ลืมสบถด่าด้วย