ตอนที่ 306 บ้านป้าเจ้าสิ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 306 บ้านป้าเจ้าสิ

“มังกรสะบัดหาง1…”

“อสรพิษพลิกกาย…”

“ราชสีห์ส่ายหน้า…”

เสาไม้ไผ่ในมือหลินเว่ยเว่ยกวัดแกว่งโดยไร้ช่องโหว่ เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวที่หลีชิงเพิ่งสอนมาก็ทำให้นางเปรียบเสมือนปราการอันแข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดข้ามผ่านไปได้

หรือที่เรียกกันว่าผู้แข็งแกร่งเพียงหนึ่งสามารถเอาชนะศัตรูนับสิบได้ ยิ่งอาวุธมีความยาวมากเท่าใด ระยะการโจมตีและพลังก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น บรรดานักฆ่าไม่อาจเข้าใกล้ตัวหลินเว่ยเว่ยได้เลย แม่ทัพที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลความสงบเรียบร้อยของการแจกจ่ายอาหารหน้าประตูเมืองได้รับรายงานจึงรีบนำกำลังทหารมาช่วยทันที หัวหน้ามือสังหารรู้ว่าวันนี้ไม่อาจปลงพระชนม์องค์ชายเจ็ดได้แล้วจึงส่งสัญญาณมือ จากนั้นพวกนักฆ่าก็รีบกระโดดขึ้นหลังคาทั้งสองฝั่ง เมื่อกระโดดต่อไปอีกประมาณสองสามครั้ง พวกมันก็หายไปจากสายตาของทุกคน

“ถวายพระพรองค์ชายเจ็ด กระหม่อมมาช้า โปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เพราะจำนวนคนไม่มากพอ หัวหน้าทหารองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดจึงถูกสั่งให้ออกไปช่วยดูแลการแจกจ่ายอาหารบรรเทาทุกข์เช่นกัน หลังได้ทราบข่าวแล้วเขาก็รีบเดินทางมาทันที พอมาถึงก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพักตร์ของผู้เป็นนาย

องค์ชายเจ็ดสูดหายใจเข้า ก่อนจะหันมาทอดพระเนตรหลินเว่ยเว่ย “เจ้าช่วยชีวิตเปิ่นหวางเอาไว้ อยากได้รางวัลเป็นสิ่งใดหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยทูลอย่างถ่อมตน “องค์ชายเจ็ดตรัสเกินไปแล้วเพคะ ! แม้จะไม่มีหม่อมฉัน ทว่าองครักษ์ของพระองค์และทหารก็ตามมาช่วยทัน…” แค่อาจจะลำบากหน่อยเท่านั้น !

เป็นธรรมดาที่องค์ชายเจ็ดจะตระหนักแก่พระทัยได้ดีว่าหากไร้การโจมตีอันหนักหน่วงเมื่อครู่ของหลินเว่ยเว่ยช่วยไว้ อย่างไรพระองค์ก็ต้องบาดเจ็บจึงตรัสกับนางว่า “หลินกู่เหนียงเห็นแก่ส่วนรวม ไม่สนอันตราย เจ้าว่ามาเถิด เปิ่นหวางควรมอบรางวัลอันใดแก่เจ้า ? อ้อ อีกประการคือเจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนคู่หมั้นจริงหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยรีบพูดต่อทันที “หากองค์ชายเจ็ดจะประทานรางวัลแก่หม่อมฉัน เช่นนั้นก็ให้สิ่งใดที่สามารถใช้ได้จริง เช่น…พวกเงินทองของมีค่า ไม่ว่าใครก็อยากได้ทั้งนั้นเพคะ ! ”

“ทำไม ? ป้ายหยกของเปิ่นหวางชิ้นนี้มอบให้ไม่ได้แล้วหรือ ? ” องค์ชายเจ็ดถอดป้ายหยกเจียวหลง2ซึ่งแขวนไว้ที่เอวออกมาส่ายไปส่ายมาตรงหน้านาง

หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “นี่คือป้ายหยกที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้พระองค์ แม้หม่อมฉันใจกล้าเพียงใดก็ไม่อาจเอื้อม พระองค์เห็นว่าจริงหรือไม่เพคะ ? ”

“เจ้ายังรู้จักถอย…เอาอย่างนี้แล้วกัน นกแก้วพูดได้ตัวนั้นเป็นสัตว์ที่เปิ่นหวางซื้อกลับมาจากทางใต้ด้วยเงิน 1,000 ตำลึง หากเจ้าชอบ เปิ่นหวางก็จะยกให้ ! ” ดวงเนตรจิ้งจอกขององค์ชายเจ็ดเปล่งประกายขี้เล่นทันใด

“ว่าอย่างไรนะ ? เจ้านี่น่ะหรือเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองนกแก้วขนแหว่งที่ตนเพิ่งยัดใส่มือเสี่ยวร่าง ท่านยกเจ้านี่ให้ข้า สู้มอบเป็นเงินรางวัล 1,000 ตำลึงยังดีกว่า ! องค์ชายเจ็ด ท่านตระหนี่ยิ่งกว่าซื่อจื่อเสียอีก !

ยามที่พาพวกทหารองครักษ์เดินจากไป องค์ชายเจ็ดก็ส่งเสียงพระสรวลพลางตรัสว่า “ไม่ต้องซาบซึ้งจนเกินไปหรอก ! เปิ่นหวางเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น อภัยให้คนง่ายเช่นนี้เอง ! ”

‘เข้าใจบ้านป้าเจ้าสิ ! ’ หลินเว่ยเว่ยก่นด่าเบา ๆ จากนั้นก็คว้าตัวนกแก้วขนแหว่งที่กำลังจิกกินเมล็ดสนในมือเสี่ยวร่างมาถือไว้ “ดูตัวเองสิ ขนก็แหว่ง ไฉนเลยจะคู่ควรกับเงินพันตำลึง ? ”

“บังอาจ ! ลากออกไปโบย 20 ไม้ ! ” นกแก้วขนแหว่งไม่เข้าใจสถานการณ์ มันจึงตะโกนใส่นางด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ !

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก “หุบปากไปเลย ! ขนไม่กี่เส้นบนตัวเจ้ายังจะเอาไว้หรือไม่ ? ”

ทันใดนั้นเจ้านกแก้วก็เดินวนในมือนางด้วยความหดหู่ หลังเงียบไปพักหนึ่งมันก็พูดออกมาว่า “ให้เมล็ดสน ให้เมล็ดสน ! ”

“ยังเป็นนกตะกละอีกด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าขาดทุนย่อยยับในทันใด !

หลิวต้าซวนจัดการข้าวสารบนเกวียนเรียบร้อยแล้วจึงพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “เสี่ยวเว่ย นี่ก็ค่ำแล้ว เราควรกลับเสียที ! ”

ลู่เหวินจวินที่เพิ่งฟื้นจากความหวาดกลัวก็เห็นชาวบ้านฉือหลี่โกวยังรักษาสติไว้ได้จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เมื่อครู่…พวกเจ้าไม่กลัวเลยหรือ ? ”

“กลัวอันใด ? ไม่ได้โจมตีมาทางพวกเราเสียหน่อย ! ” ซัวถัวตอบอย่างไม่ไยดี “นึกถึงตอนนั้นที่พวกโจรกบฏหลายร้อยคนไล่ตามไปบนหุบเขา ธนูพุ่งมาดุจห่าฝน พวกเราชาวฉือหลี่โกวไม่มีใครขลาดกลัวสักคน ! ”

หลินเว่ยเว่ยวางนกแก้วขนแหว่งไว้บนไหล่ ก่อนจะเดินเข้าไปสะกิดแล้วพูดกับซัวถัวที่ชอบโอ้อวดโดยไร้สิ้นสุดว่า “พอแล้ว ! เลิกคุยโวได้แล้ว ! ระวังพวกกบฏที่เหลืออยู่ในเมืองจะมาแก้แค้นกับเจ้า ! ”

หลิวต้าซวนพยักหน้าแล้วพูดกับพวกเด็กหนุ่มว่า “เสี่ยวเว่ยพูดถูก จงถ่อมตัวเข้าไว้ ! ต่อไปห้ามเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้อีก เข้าใจหรือไม่ ? ”

ซัวถัวนึกถึงพวกนักฆ่าที่กล้าออกมาลอบปลงพระชนม์องค์ชายเจ็ดเมื่อครู่ พวกมันจะต้องเกี่ยวข้องกับทหารกบฏแน่นอน เสี่ยวเว่ยพูดถูก ถ้าอีกฝ่ายกลับมาเพื่อโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับการสู้ของพวกกบฏครานั้น มันไม่ฉีกร่างเขาสิแปลก ! เขาจึงรีบหดคอแล้วก้มหน้าผลักเกวียนที่เต็มไปด้วยข้าวออกจากเมืองโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก

ลู่เหวินจวินส่งพวกเขาตรงหน้าประตูเมือง ก่อนจะโบกมือให้หลินเว่ยเว่ย “วันนี้ก็เย็นมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไปเยี่ยมที่ฉือหลี่โกว…”

ฉือหลี่โกวเพิ่งถูกโจรบุกปล้น ไม่รู้ว่าบ้านตระกูลหลินเสียหายจนเป็นเช่นไรบ้าง เขาจะต้องไปเห็นด้วยตาตนเอง ถ้าขาดเหลือสิ่งใดก็จะได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรหลินกู่เหนียงก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ สิ่งใดที่ช่วยได้ย่อมจะทำให้เต็มที่อย่างแน่นอน

จริงสิ ลืมบอกหลินกู่เหนียงไปเลยว่าท่านแม่อยากรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม แถมยังบอกว่าถ้าหลินกู่เหนียงมีโอกาสไปที่เมืองหลวง จะต้องเชิญนางมาเป็นแขกที่บ้าน…

เจ้าเด็กโง่คนนี้ยังไม่รู้ว่ามารดามองออกถึงความรู้สึกดี ๆ ที่บุตรชายมีต่อเด็กสาวชนบทผู้นี้ ที่บอกว่าจะรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็เพราะอยากให้เขาลบล้างความคิดเชิงชู้สาวนั้นออกไป ! เฮ้อ ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน !

เมื่อออกจากเมืองแล้ว ชาวบ้านฉือหลี่โกวที่รออยู่หน้าประตูเมืองก็เห็นพวกเขาปลอดภัยไม่มีใครบาดเจ็บจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเฝิงรีบเข้ามาจับมือหลินเว่ยเว่ยและลูบศีรษะเจ้าหนูน้อย ก่อนจะถามว่า “ได้ยินว่าในเมืองมีนักฆ่าปรากฏตัว พวกเจ้าไม่เจอใช่หรือไม่ ? ”

เจ้าหนูน้อยแบ่งซาลาเปาไส้เนื้อที่ซื้อมาให้เหล่าสหายแล้วรีบตอบว่า “เจอขอรับ ที่หน้าร้านขายข้าวราคาถูก อยู่ห่างจากพวกเราแค่สองก้าว น่าตื่นเต้นมากเลย ! ”

หลังจากที่นางหวงได้ยินก็รีบสำรวจตัวบุตรสาวคนรองและบุตรชายคนเล็กด้วยความเป็นห่วง “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยรีบตอบ “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ! นักฆ่าพุ่งไปหาองค์ชายเจ็ด องครักษ์ที่พระองค์พามาด้วยมีวรยุทธ์สูงส่ง ผ่านไปไม่นานก็ไล่พวกนักฆ่าออกไปได้หมด ! ” นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเข้าไปมีส่วนร่วมแม้แต่คำเดียว

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินมองนางด้วยความสงสัย ก่อนจะชี้ที่คราบเลือดบนเสื้อผ้าอีกฝ่าย “แล้วนี่คืออันใด ? ”

หลินเว่ยเว่ยถลึงตาใส่ “มีนักฆ่าคนหนึ่งตายใกล้ข้ามาก ๆ เลือดจึงกระเด็นมาติด ทำไมหรือ ? เจ้ามีปัญหาอะไร ? ”

พี่สาวคนโตขมวดคิ้วแล้วคลี่ยิ้ม จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้าก็แค่ถาม เหตุใดเจ้าถึงร้อนตัว ? หรือมีสิ่งใดที่ไม่กล้าพูดออกมา? ”

“บังอาจ ! ไร้มารยาท ! ลากตัวไปโบย 30 ไม้ ! ” นกแก้วขนแหว่งเดินวนไปมาบนไหล่ของหลินเว่ยเว่ย ก่อนจะกระพือปีกและตะโกนใส่บุตรสาวคนโตตระกูลหลิน

“นกพูดได้ ! แถมยังเป็นนกที่พูดภาษาคนได้ด้วย ! แต่นกตัวนี้ก็น่าเกลียดเกินไปหน่อย ! ” สหายของเจ้าหนูน้อยเข้ามาห้อมล้อมพลางวิพากษ์วิจารณ์นกแก้วขนแหว่งอย่างสนุกปาก

นกแก้วพูดด้วยความโมโห “เจ้าสิน่าเกลียด ! บ้านเจ้าสิน่าเกลียดทั้งบ้าน ! ”

หลินเว่ยเว่ยนำตัวนกแก้วขนแหว่งไปไว้ในมือเสี่ยวร่างอีกครั้ง ทันใดนั้นเจ้าดำที่ถูกเจ้าหนูน้อยอุ้มไว้ก็เริ่มดิ้น เหมือนว่ามันสนใจขนที่เหลือไม่กี่เส้นนั้นเป็นพิเศษ

“ไอ้สุนัขโง่ ! เจ้าคือไอ้สุนัขโง่ ! ” นกแก้วมองเจ้าดำด้วยความหวาดกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็ยังด่าไม่หยุดปาก เจ้าหนูน้อยจึงรีบแยกทั้งสองตัวออกจากกัน ไม่อย่างนั้นคงได้ทะเลาะกันอีกแน่

วังตงเฉียงเข้ามามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเอื้อมมือเข้าไปเพราะอยากจับนกแก้วขนแหว่ง ทว่าโดนมันจิกจนต้องชักมือออกมา “เอ้อร์ฮว๋า เอ้อร์ฮว๋า ! เจ้าไปเอานกขนแหว่งพูดได้ตัวนี้มาจากที่ใด ? ”

1 มังกรสะบัดหาง หนึ่งในฝ่ามือพิชิตมังกร 18 กระบวนท่า จากนิยายชุดมังกรหยก
2 เจียวหลง คือ มังกรที่มีเกล็ดรอบกาย เป็นหนึ่งในมังกรทั้งเก้าประเภทตามตำนาน