บทที่ 347 อาวุธเสวียน

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 347 อาวุธเสวียน

มู่เซิ่งมองไปยังเหมียวหงอวี่ที่สลบไม่ได้สติไปนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

เหยาเผิงเห็นสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็รับรู้ได้ทันที จึงเหยียบย่ำไปที่ท้องของเหมียวหงอวี่อย่างรุนแรง

“แม่งสิ ลูกพี่ของฉันกำลังพูดคุยกับแกอยู่? แกยังจะแกล้งทำเป็นสลบอีก แกล้งสลบอะไรกันวะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย! ”

เหยียบย่ำลงไปไม่กี่ครั้ง เหมียวหงอวี่ก็เจ็บปวดจนร่างกายชักกระตุก โอบไปที่หน้าท้องและอาเจียนเล็กน้อย แล้วก็ค่อย ๆ คลานลุกขึ้นจากพื้น

เหยาเผิงกระชากไปที่คอเสื้อของเหมียวหงอวี่ ชี้ไปที่เขาและดุด่าว่า: “แม่ง ฉันอยากที่จะลงมือชกนายมานานแล้ว ที่กล้าทำแบบนี้กับลูกพี่ของฉัน อย่าคิดว่าแกล้งสลบไปแล้วจะจบเรื่องกัน พูดออกมาสิว่า นายอยากจะโดนมือหรือว่าโดนเท้ากันแน่? ”

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เหมียวหงอวี่ก็ทำเป็นตาเหลือก ทำว่าจะสลบไปอีกครั้งหนึ่ง

“เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ”

เหยาเผิงใช้ฝ่ามือตบไปสองที จนแก้มของเขาแดงก่ำ มีเลือดไหลออกมา ครั้งนี้เหมียวหงอวี่ไม่กล้าที่จะสลบลงไปอีกแล้ว เพราะเขากลัวว่าจะถูกเหยาเผิงลงมือทุบตีจนตาย

มู่เซิ่งมองดูเหตุการณ์นี้อย่างเย็นชา

ตั้งแต่ตอนแรก บนเรือสำราญ ที่เหมียวหงอวี่ข่มขู่เขาให้เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาแล้วนั้น จนกระทั่งตอนหลังที่ใช้ปืนบังคับให้พวกเขากระโดดลงทะเล เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไป เรื่องใดเรื่องหนึ่งนี้ ก็สามารถที่จะจบชีวิตของเขาได้เลย

พฤติกรรมเช่นนี้ คนอย่างมู่เซิ่งไม่มีทางปล่อยเอาไว้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นท่าทางที่เหยาเผิงยกปืนซุ่มยิงขึ้น สีหน้าของเหมียวหงอวี่ก็ขาวซีดจนแทบไม่หลงเหลือชีวิตแล้ว เขาพูดอ้ำอึ้งว่า: “ปรมาจารย์มู่ ขอให้ท่านไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ตลอดทางมานี้ฉันไม่เคยที่จะคิดร้ายอะไรกับท่านเลย การแสวงหาสมบัตินี้เป็นภารกิจของการสืบทอดเจ้าบ้านในตระกูลของฉัน ดังนั้นฉันจึงต้องมาด้วย”

หลิวต้าเลี่ยงที่อยู่ด้านข้างก็กัดฟันแน่น แล้วพลันใช้ศีรษะคำนับไปที่พื้นและพูดว่า: “ปรมาจารย์มู่ พี่หงอวี่เขากำเริบเสิบสานจนเคยชินแล้ว ไม่รู้จักรับฟังการอบรมสั่งสอน แต่เขาไม่ได้คิดร้ายอะไรกับท่านเลยจริง ๆ ท่านสามารถไว้ชีวิตเขาสักครั้งได้ไหม พวกเรารู้ถึงความผิดที่กระทำไปแล้ว”

เหมียวหงอวี่อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมอง ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นดีใจ เขาคิดไม่ถึงว่าในเวลานี้หลิวต้าเลี่ยง จะเสี่ยงตายช่วยเขาพูดด้วย

เขาจึงพยักหน้าในทันทีและพูดว่า: “ใช่เลย ปรมาจารย์มู่ ต่อไปฉันจะเคารพนอบน้อมต่อท่าน เมื่อพบเจอท่านก็เหมือนกับว่าพบเจอเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าเลย! ”

“บัตรนี้ ในบัตรนี้มีเงินอยู่หนึ่งร้อยล้าน ฉันมอบให้ท่านทั้งหมด ขอให้ท่านไว้ชีวิตฉันเถอะ”

“เปรี๊ยะ! ”

เหยาเผิงตบบ้องหูเข้าไปอีกครั้งทันที และพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า: “หนึ่งร้อยล้าน? แกหมายความว่าอย่างไร ดูถูกลูกพี่ของฉันอย่างนั้นเหรอ? เงินแค่นี้เก็บไว้ฝังร่วมกับศพของนายซะเถอะ! ”

“เปล่า ฉันหมายความว่า ฉันมีแค่หนึ่งร้อยล้าน ส่วนเงินที่เหลือ จะต้องกลับไปเอาที่ตระกูลเหมียว” เหมียวหงอวี่พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว กลัวว่าจะไปยั่วยุให้มู่เซิ่งโกรธ จึงไม่ค่อยที่จะกล้าพูดอะไรมาก

มู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงพลังเลือดที่พลุ่งพล่านในท่อนแขนขึ้นเป็นระยะ สายตามีลำแสงกระพริบ และพลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า: “ได้ยินมาว่าพวกนายตระกูลเหมียว มีอาวุธเสวียนที่เป็นสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลอยู่ชิ้นหนึ่งใช่ไหม? ”

ทุกคนต่างก็ร่างกายสั่นเทาไปทั้งหมด

อาวุธเสวียน

นั่นคงจะเป็นอาวุธที่ช่างผู้มีฝีมือ ทำการหล่อหลอมขึ้นมาแน่นอน เทียบเท่าได้กับยาเข้าสู่ระดับในบรรดาพวกยาทั้งหลาย โดยตระกูลเหมียวของพวกเขานี้ ก็เป็นเพราะอาวุธเสวียนชิ้นนี้ ถึงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้น และดึงดูดให้ปรมาจารย์บู๊หลายคนมาเยี่ยมเยือน

พลังอานุภาพของอาวุธเสวียน ถึงขนาดที่ว่ามีประสิทธิภาพโดยตรงมากกว่ายาเสียอีก ต่อให้เป็นเพียงปรมาจารย์บู๊ทั่วไป หากว่ามีอาวุธเสวียน ก็สามารถที่จะปะทะรับมือกับนักเสวียนได้ ปรมาจารย์ก่วนกับปรมาจารย์เตียวทั้งสองคนนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ไร้คู่ต่อกรในบรรดานักบู๊ที่มีสถานะต่ำกว่านักเสวียน ก็เป็นเพราะว่ามีอาวุธเสวียนนี้เป็นตัวช่วยเพิ่มพลังที่สำคัญ

แต่ ที่มู่เซิ่งต้องการอาวุธเสวียนชิ้นนี้นั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะได้พลังอานุภาพของมัน ถึงแม้อาวุธเสวียนจะเก่งกาจมากก็จริง แต่กระบี่กระหายเลือดของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย ซึ่งวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการอาวุธเสวียนนั้นก็คือ คิดจะใช้วัตถุส่วนประกอบของมัน มาหล่อหลอมกระบี่กระหายเลือด ควบคุมยับยั้งวิญญาณของมังกรคะนองน้ำยักษ์ที่อยู่ภายในกระบี่

เมื่อสามารถใช้ประโยชน์จากมังกรคะนองน้ำยักษ์ที่อยู่ในกระบี่ได้เป็นอย่างดีแล้ว พลังอานุภาพของกระบี่กระหายเลือด เกรงว่าจะสามารถเพิ่มขึ้นอีกเป็นหลายเท่าตัวเลย

เหมียวหงอวี่มีสีหน้าแข็งทื่อ อาวุธเสวียน นั่นคือสมบัติประจำตระกูลของพวกเขาตระกูลเหมียว ถ้าหากนำอาวุธเสวียนมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของเขา ต่อให้ตัวเขาจะมีชีวิตรอดกลับไป คาดว่าคนของตระกูลเหมียวเองก็คงจะทุบตีเขาจนตายลงเป็นแน่?

แต่ว่า ต่อให้ถูกทุบตีจนตาย ก็ยังดีกว่ามาตายลงตรงสถานที่เปล่าเปลี่ยวรกร้างนอกเมืองแบบนี้อีก?

“ตกลง หวังว่าคุณมู่จะให้เวลาฉันหนึ่งเดือน เพื่อกลับไปนำอาวุธเสวียนประจำตระกูล โดยเงินจำนวนหนึ่งร้อยล้านในบัตรใบนี้ก็ถือว่ามอบให้ปรมาจารย์มู่ด้วยความเคารพก็แล้วกัน” เหมียวหงอวี่กัดฟันตอบตกลง

ครั้งนี้ ปรมาจารย์บู๊ตายลงไปแล้วสองคน เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับไปอธิบายต่อตระกูลอย่างไรดี

“ได้ ให้เวลาหนึ่งเดือน แต่นายต้องจำไว้ว่า หากถึงกำหนดเวลาแล้ว ฉันยังไม่เห็นอาวุธเสวียน ก็อย่าได้ตำหนิกันหากว่าฉันจะมาที่ตระกูลเสวียน และนำอาวุธเสวียนไปด้วยตนเอง” มู่เซิ่งพูดขึ้น

ขณะที่เขาเอ่ยปากพูดนั้น ก็เผยพลังในร่างกายที่เข้มแข็งดุดันออกมาอย่างที่สุด กดทับปกคลุมจนสีหน้าของทุกคนในสถานที่แห่งนี้ขาวซีดไปกันหมด พวกเขาไม่สงสัยเลยว่า หากมู่เซิ่งมาที่ตระกูลด้วยตนเองแล้ว ตระกูลเหมียว จะต้องประสบกับภัยพิบัติที่หนักหนาอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนแน่นอน

“เหยาเผิง ไปเก็บรวบรวมวัตถุส่วนประกอบในร่างของมังกรคะนองน้ำยักษ์มาหน่อย” มู่เซิ่งเอ่ยปากพูดขึ้น

เมื่อเหยาเผิงได้ยินแล้ว ก็ได้เช็ดมือ และถือกริชแล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า

มังกรคะนองน้ำยักษ์ตัวนี้พูดได้ว่าทั้งตัวเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งนั้นเลย เกล็ดมีความแข็งแกร่งทนทานอย่างที่สุด ส่วนเขากับลูกตาก็สามารถนำมาผสมทำเป็นยาได้ รวมถึงเน่ยตันในตัวของมังกรคะนองน้ำยักษ์ ยิ่งจะเป็นของชั้นยอดในของชั้นยอด โชคดีที่มังกรคะนองน้ำยักษ์ได้ตายลงไปแล้ว เกล็ดบนตัวของมันจึงไม่แข็งแกร่งเหมือนกับก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้น เหยาเผิงคงยากที่จะดึงมันออกมาได้

ส่วนทหารรับจ้างคนอื่นกับลูกน้องของเหมียวหงอวี่เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ก็รีบเข้าไปช่วยเหลือ ทยอยพากันนำกริชออกมาและช่วยลงมือจัดการอย่างเต็มที่ พร้อมกับแสดงสีหน้าท่าทางที่ประจบสอพลอ

“ลูกพี่ ท่านดูสิ นี่คืออะไร? ” เหยาเผิงผ่าท้องของมังกรคะนองน้ำยักษ์ออก และอุทานพูดขึ้นด้วยความตกใจ

พบว่าภายในตัวของมังกรคะนองน้ำยักษ์นั้น นอกจากจะมีเน่ยตันแล้ว ยังมีสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับหยดน้ำส่องประกายแสงสีทองด้วย มีขนาดใหญ่ประมาณกำปั้น ซึ่งบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

“หรือจะเป็นดีมังกร? มังกรคะนองน้ำตัวนี้ ได้พัฒนาการมาถึงระดับนี้แล้วเหรอ? ” ดวงตาของมู่เซิ่งประกายส่องแสงอันร้อนผ่าว ของสิ่งนี้ ก็คือ ถุงน้ำดีภายในตัวของมังกรคะนองน้ำยักษ์นั่นเอง

แต่มังกรคะนองน้ำยักษ์ตัวนี้ ได้บำเพ็ญฝึกฝนมานับร้อยปี ไม่นึกว่าจะมีพัฒนาการจากมังกรคะนองน้ำจนมาเป็นมังกรแล้ว ซึ่งดีมังกรภายในตัวของมันนั้นเป็นสิ่งบ่งบอกถึงพัฒนาการ ถ้าหากมู่เซิ่งไม่ได้ฆ่ามัน เกรงว่าอีกหนึ่งร้อยปี เกรงว่าจะมีทัณฑ์สวรรค์ แล้วผ่านทัณฑ์สวรรค์จนกลายเป็นมังกรเป็นแน่!

มู่เซิ่งยื่นมือออกมา คว้าไปในอากาศ แล้วคว้าจับดีมังกรไว้ในมือ และพูดขึ้นว่า: “เก็บรวมรวมกันต่อไป”

“รับทราบ ลูกพี่! ” เหยาเผิงพูดขึ้น

หลังจากที่มู่เซิ่งได้หยิบดีมังกรออกไปแล้วนั้น พลังชีวิตในตัวของมังกรคะนองน้ำยักษ์ที่หลงเหลืออยู่ ก็เริ่มมลายหายไปแล้ว

พวกอวัยวะเช่นลูกตาและลิ้น ในตัวของมัน เป็นเพราะไม่มีพลังเลือดสนับสนุน จึงค่อย ๆ ซูบเหี่ยวลง ทำให้เกิดช่องว่างสำหรับใส่สิ่งของอีกไม่น้อยให้กับเหยาเผิง แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ก็ยังคงบรรจุใส่ในลังสองใบจนเต็ม ไม่สามารถที่จะบรรจุสิ่งของอย่างอื่นลงไปได้อีกแล้ว

“ลูกพี่ ผลมรกตนี้ล่ะ? ” หลังจากที่จัดเก็บสิ่งของเสร็จแล้ว เหยาเผิงก็ชี้ไปยังผลสีเขียวชอุ่มที่อยู่ด้านข้างและพูดขึ้น

ผลมรกตที่อยู่บนเถาวัลย์นั้น มีจำนวนสองร้อยกว่าลูก แต่ละลูกมีขนาดใหญ่ประมาณกำปั้น ซึ่งกินพื้นที่บรรจุมากเกินไป เพราะหลังจากที่ได้บรรจุสมบัติในตัวของมังกรคะนองน้ำยักษ์แล้ว ต่อให้จัดแบ่งพื้นที่ส่วนที่เหลือออกมา ก็คงจะสามารถบรรจุผลมรกตได้เพียงร้อยกว่าลูกเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่าทั้งนั้น เหยาเผิงยิ่งมองดูก็ยิ่งเจ็บปวดใจ