บทที่ 372 บอกความลับท่านพ่อ

สำหรับเรื่องคำเตือนที่เทียนเต้าทิ้งไว้ให้นาง

ที่จริงแล้วเสี่ยวเป่าก็เคยได้ยินมาบ้าง นางได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจว่านางจะซ่อนห้องสมุดนี้ไม่ให้ท่านพ่อรู้เพราะคำพูดของเทียนเต้าหรือไม่?

คำตอบที่ได้ก็คือไม่

จะบอกว่านางไร้เดียงสาหรือว่าโง่งมก็ได้ ระหว่างให้เลือกว่าจะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจท่านพ่อ นางขอเลือกที่จะเชื่อโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ต่อให้สุดท้ายแล้วสิ่งที่นางเลือกจะผิด นางก็ยินดีรับผลของมัน

เสี่ยวเป่ามิใช่คนนิสัยโลเล เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

“ไม่ต้องหาแล้วล่ะ เสี่ยวเป่าเป็นคนทำไฝแดงเม็ดนี้ขึ้นมาเอง ใช้ยาทำขึ้นนึกว่าล้มเหลวแล้วเสียอีก ที่แท้ก็สำเร็จหรือเนี่ย”

ชุนสี่ไม่ได้สงสัยอะไรอีก เพียงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไฝแดงขององค์หญิงดูดีมากเลยเพคะ”

เสี่ยวเป่ายิ้มแฉ่งพลางพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่ไหมล่ะ ๆ”

นางให้ชุนสี่และคนอื่น ๆ แต่งเนื้อแต่งตัวให้ จากนั้นก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้พบท่านพ่อ

ในตอนที่นางมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง หนานกงสือเยวียนกำลังจัดการราชกิจ

แม้ว่าการแต่งตั้งรัชทายาท รวมถึงการจัดการฎีกาส่วนหนึ่งจะเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากที่พิชิตหนานจ้าวได้ ก็ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก

หลังจากนี้ก็จะมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่ามาหา เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดถึงตื่นสายเช่นนี้”

คนที่สามารถปล่อยให้ฝ่าบาทรอกินข้าวได้ เห็นทีในโลกนี้คงมีแค่เสี่ยวเป่าคนเดียวเท่านั้น

เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางมีความสุข จากนั้นก็คว้ามือแล้วใช้ก้อนแก้มน้อย ๆ คลอเคลียอย่างออดอ้อน

ทั่วทั้งร่างกายรวมไปถึงเส้นผมต่างรับรู้ได้ถึงความสุข

เสี่ยวเป่ายิ้มหน้าบาน

“ดีใจยิ่งกว่าเก็บเงินได้อีกเพคะ”

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนเผยให้เห็นรอยยิ้ม พร้อมกับลูบหัวน้อย ๆ อย่างแผ่วเบา

“ท่านพ่อ เมื่อคืนนอนดึกอีกแล้วใช่หรือไม่”

เสี่ยวเป่ามองใต้ตาที่ดำคล้ำของท่านพ่ออย่างปวดใจ

การทำลายหนานจ้าวและขยายอาณาเขตของต้าเซี่ยนับเป็นเรื่องที่ดี แต่หากอยากยึดหนานจ้าวโดยสมบูรณ์ ก็จำเป็นต้องจัดการกับผู้คนที่นั่น อย่างไรเสียสองอาณาจักรก็แยกออกจากกันโดยสมบูรณ์ เมื่อต้องมาอยู่รวมกันย่อมต้องเกิดความขัดแย้ง ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ล้วนรังเกียจอีกฝ่าย

แต่การจะทำให้ผู้คนทั้งสองอาณาจักรเข้ากันได้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา ต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“ข้าไม่เป็นไร”

สำหรับหนานกงสือเยวียนแล้ว ต่อให้ต้องอดนอนสองวันก็ทำอะไรเขาไม่ได้

แต่เสี่ยวเป่ารู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง นางนวดขมับให้เขาก่อนเริ่มกินอาหาร

นางเรียนรู้ทักษะการนวดจากหมอหลวงและอาจารย์ของตน เมื่อผสานเข้ากับพลังวิญญาณของนาง ก็ช่วยปรับสภาพร่างกายของท่านพ่อให้ดีขึ้นมาก

แต่ว่าเขาก็ไม่ควรทำลายร่างกายของตัวเองเช่นนี้

เสี่ยวเป่านวดให้ท่านพ่อพลางท่องพึมพำไปด้วยราวกับเป็นแม่บ้านตัวน้อย

แต่นี่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจเลยสักนิด ความเป็นห่วงของนางเต็มไปด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ ความจริงใจเช่นนี้นับเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งต่อหนานกงสือเยวียน

เมื่อนั่งในตำแหน่งนี้แล้ว ไม่ว่าในอดีตจะเป็นพี่น้องหรือว่าพ่อลูก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบใดก็ต้องแปรเปลี่ยนกลายเป็นระหว่างกษัตริย์และขุนนางในที่สุด

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เสี่ยวเป่าปฏิบัติกับเขาในฐานะพ่อคนหนึ่ง มิใช่ในฐานะฮ่องเต้

บรรดาลูกชาย ต่อให้เป็นลูกชายที่ยังเด็กและไม่รู้เรื่องรู้ราวมากที่สุด ก็อาจจะรักและผูกพันกับเขา แต่ก็มีความยำเกรงด้วยเช่นกัน

แต่ว่ามันก็ต้องเป็นเช่นนั้น

หลังจากที่ได้เสี่ยวเป่านวดให้ เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านพ่อต้องรีบเข้านอนนะเพคะ ไม่อย่างนั้นหากไม่สบายขึ้นมาคงจะทรมานน่าดู”

“อืม”

หนานกงสือเยวียนรับปากนาง

ขณะที่สองพ่อลูกกำลังจัดการอาหารอยู่ เท้าของเสี่ยวเป่าก็แกว่งไปแกว่งมาอย่างมีความสุข ไม่ว่าท่านพ่อคีบผักอะไรให้ นางก็จะกินเข้าไปโดยไม่อิดออด เลี้ยงง่ายเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่กินอาหารเสร็จ เสี่ยวเป่าก็ขยิบตาให้ฝูไห่

“ฝูไห่กงกง ท่านให้พวกเขาออกไปก่อน เสี่ยวเป่ามีเรื่องจะพูดกับท่านพ่อ”

ฝูไห่พาทุกคนออกไปอย่างรู้งาน

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองลูกสาว “เจ้าตัวดี คิดจะทำอะไร”

เสี่ยวเป่าชูข้อมือของตนเอง “ท่านพ่อดูสิ”

เขาขมวดคิ้วมองดูไฝสีแดงที่ข้อมือเสี่ยวเป่า “นี่มันอะไร”

สีแดงของมันดูเหมือนกับเลือดมากเสียจนหนานกงสือเยวียนใช้นิ้วถูเบา ๆ

“ไม่ใช่แผล แล้วก็ไม่ได้วาดขึ้นด้วย”

เสี่ยวเป่าโน้มตัวเข้าไปหาแล้วกระซิบเล่าเรื่องที่ตนฝันถึงเทียนเต้าในโลกก่อนให้เขาฟัง

เมื่อนางเล่าว่าดวงวิญญาณของตัวเองถูกพาไปยังอีกมิติ ก็รู้สึกได้ว่าท่านพ่อเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างเหยียดตึง ทั้งยังจับข้อมือของนางไว้แน่น

หนานกงสือเยวียนจ้องมองเสี่ยวเป่าพลางลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับอยากมั่นใจว่านางยังอยู่ตรงนี้กับตน จากนั้นก็ถอนหายใจเงียบ ๆ

เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองเขา

หนานกงสือเยวียนถามขึ้น “แล้วเขาจะมาอีกหรือไม่”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “นางบอกว่าพวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว นางจะไม่ปรากฏตัวอีก”

หนานกงสือเยวียนเม้มริมฝีปาก พยายามไม่แสดงความดีใจมากนัก และถามเสี่ยวเป่าต่อ

“นาง… บอกให้เจ้ากลับไปหรือไม่ กลับไปยังโลกที่เจ้าจากมา”

แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนั้นมากนัก แต่จากที่เสี่ยวเป่าเล่าให้ฟังก็พอจะรู้ว่าเป็นโลกที่มั่งคั่งและร่ำรวย ทั้งยังทรงพลังเป็นอย่างมาก การที่เสี่ยวเป่าต้องมาอยู่ที่นี่ช่างไม่ยุติธรรมกับนางเอาเสียเลย

เสี่ยวเป่าส่ายหัว โน้มตัวพิงท่านพ่อพลางพูดเสียงออดอ้อน

“ต่อให้เทียนเต้าบอกให้กลับไป เสี่ยวเป่าก็ไม่กลับไปหรอก ที่นี่เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อ มีพี่ชาย แล้วก็มีเพื่อน ๆ เสี่ยวเป่าจะไปได้อย่างไร”

มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้นเล็กน้อย

“จริงสิท่านพ่อ ที่เสี่ยวเป่าจะบอกคือเรื่องนี้ต่างหาก เทียนเต้าให้สิ่งตอบแทนเสี่ยวเป่ามาด้วย ก่อนหน้านี้กำลังกังวลเรื่องปูนอยู่พอดี ข้างในนี้มีห้องสมุดที่ใหญ่มาก ๆ สามารถหาวิธีทำปูนได้จากที่นี่ล่ะ”

“ห้องสมุดหรือ”

เสี่ยวเป่าคว้าฝ่ามืออันใหญ่โตของท่านพ่อมาจับไว้ “ท่านพ่อหลับตาสิ”

ทั้งคู่หลับตาลง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงการร่วงหล่น และเมื่อลืมตาขึ้น หนานกงสือเยวียนก็ได้เห็นเหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึง

ภายในห้องสมุดสะอาดและสว่างสดใส ชั้นหนังสือเรียงรายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด และทุกชั้นก็อัดแน่นไปด้วยหนังสือ