ตอนที่ 483 เกิดเรื่องกับซือเหลิ่งเย่ว์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 483 เกิดเรื่องกับซือเหลิ่งเย่ว์

ฉินหลิวซีมองไปยังหลายคนตรงหน้าซึ่งมีใบหน้าซีดจากความหนาวเย็นกำลังยกน้ำแกงขิงขึ้นมาจิบพลางกระเทาะเมล็ดแตงเคี้ยวเสียงดัง ท่าทางเหมือนกำลังดูละครอย่างสนุกสนาน

สยงเอ้อร์กรอกน้ำแกงขิงหนึ่งชามรวดเดียวจึงได้รู้สึกมีชีวิตชีวากลับคืนมา ถอนหายใจยาว หันไปมองใครบางคนที่กำลังนั่งไขว้ขากระเทาะเมล็ดแตงอยู่ มุมปากกระตุก

ท่าทางดูละครอย่างสนุกสนานของท่านชัดเจนเกินไปหรือไม่

ฉินหลิวซีถ่มเปลือกเมล็ดแตงออกมา เอ่ยว่า “พวกเจ้าหลบหนีภัยพิบัติมาตลอดทางจนมาถึงที่นี่หรือ”

จิ่งเสี่ยวซื่อ “…”

หลบหนีภัยพิบัติก็ค่อนข้างใกล้เคียงอยู่ ตลอดทางมานี้พวกเขาก็ราวกับหลบหนีภัยพิบัติมาไม่ใช่หรือ

“ก็ไม่ใช่เพราะท่านที่วันนั้นบอกว่าไปก็ไปเลย พวกเรายังไม่ทันได้ขอบคุณเลย ได้ยินหัวหน้าเผ่าอูหยางบอกว่าท่านเป็นนักพรตที่อารามชิงผิงในเมืองหลี จึงได้มาหา” สยงเอ้อร์เอ่ยอธิบาย “ตลอดทางมานี้พวกเราโชคไม่ดี ท่านไม่รู้หรอกว่าหลังออกจากหมู่บ้านที่เซียงหนานก็มีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น…”

สยงเอ้อร์พูดต่อไปเรื่อยๆ เล่าเรื่องที่พวกเขาเผชิญความยากลำบากระหว่างทางที่มาที่นี่ แทบจะหลั่งน้ำตา

เมื่อเห็นฉินหลิวซีท่าทางกำลังฟังเรื่องนินทา ใบหน้าจิ่งเสี่ยวซื่อก็อดรู้สึกร้อนระอุไม่ได้ เตะเท้าสยงเอ้อร์ “พอแล้ว บุรุษไม่คุยโม้เรื่องในอดีตที่ผ่านมา เจ้าจะพูดเรื่องเหล่านี้ทำไม ไม่ใช่เรื่องตลกเสียหน่อย”

สยงเอ้อร์ “ข้าทนรับความลำบากมาข้าพูดไม่ได้หรือ เจ้าเผด็จการเกินไปแล้ว!”

จิ่งเสี่ยวซื่ออยากจะตอบโต้กลับ แต่กลับจามออกมาสองที

“ดังนั้นพวกเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุใดกันแน่ โดยเฉพาะเจ้า ดูเจ้าสีหน้าซีดเหลือง ซูบผอม ก่อนหน้านี้แมลงพิษนั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเป็นเพราะเจ้าโชคดีที่เอามันออกมาได้ทันเวลา ไม่ดูแลรักษาตัวให้ดี ซ้ำยังเดินทางไกล คิดว่าร่างกายเจ้าทำมาจากเหล็กหรือ” ฉินหลิวซีมองเขาอย่างเย็นชา

ไก่อ่อนก็ควรจะดูแลร่างกายให้แข็งแรง

“แน่นอนว่าต้องการมาบริจาคเงินค่าน้ำมันตะเกียงให้พวกท่าน แต่ว่าใกล้จะตรุษจีนแล้ว อารามเต๋าก็เลยปิดหรือ” สยงเอ้อร์มองไปรอบๆ ไม่มีผู้ศรัทธาแม้แต่คนเดียว

จิ่งเสี่ยวซื่อตบศีรษะเขาอีกครั้ง เอ่ยว่า “เจ้าโง่ เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ตอนเดินเข้ามาไม่เห็นคนกำลังแบกหามอยู่หรือ เห็นได้ชัดว่ากำลังปรับปรุงซ่อมแซม”

“จิ่งเสี่ยวซื่อ หากเจ้าตีข้าจนโง่ แล้วหาภรรยาไม่ได้ขึ้นมาเจ้าต้องชดใช้ให้ข้า” สยงเอ้อร์จ้องเขา

จิ่งเสี่ยวซื่อกรอกตาราวกับกำลังมองคนปัญญาอ่อน

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว อารามเต๋ากำลังปรับปรุงและสร้างอาคารใหม่จึงปิดอารามชั่วคราว จะเปิดอีกครั้งเมื่อซ่อมแซมเสร็จแล้ว แต่สามารถบริจาคค่าน้ำมันตะเกียงได้ ผู้ประเสริฐมีความจริงใจ ข้าจะนำทางพวกเจ้าไปเอง”

ทั้งสองคนก็ได้พักผ่อนแล้วจึงลุกขึ้นยืน ตามฉินหลิวซีไปที่วิหารหลัก พลางมองสำรวจข้าวของข้างในวิหารหลัก

มีรูปปั้นทองคำอันยิ่งใหญ่ของเจ้าลัทธิเต๋าอยู่ตรงกลาง และมีรูปปั้นขนาดเล็กอื่นๆ มากมายใต้ฐานด้านล่าง ซ้ำยังมียันต์และเครื่องรางต่างๆ ตามที่ฉินหลิวซีแนะนำ สิ่งเหล่านี้ได้รับการบูชาด้วยควันธูป ผู้ศรัทธาบางคนจะขออัญเชิญรูปหล่อเล็กของเทพเจ้ากลับไปบูชาปกป้องจวนของตัวเอง และขอยันต์กลับไปไว้เป็นสิ่งป้องกันภัย

ด้านหน้ารูปปั้นทองคำมีกระถางธูปขนาดใหญ่ ฉินหลิวซีหยิบธูปสามดอกขนาดเท่านิ้วมือแล้วจุดด้วยตัวเอง สอนวิธีการบูชาแก่พวกเขา หลังจากจุดธูปบูชาแล้วก็เอ่ยว่า “ยังสามารถจุดตะเกียงนิรันดร์เพื่อภาวนาขอพรให้บิดามารดาญาติพี่น้องได้อีกด้วย”

สยงเอ้อร์ “ข้าจุด”

จิ่งเสี่ยวซื่อเม้มริมฝีปาก เอ่ยว่า “ข้าไม่จุดก็แล้วกัน”

มือของสยงเอ้อร์หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปมอง ลดสายตาลงพลางถอนหายใจเบาๆ

“จุดให้แก่คนเคยรู้จักก็ได้” ฉินหลิวซีมองเขา

จิ่งเสี่ยวซื่อใจสั่น เปลี่ยนคำพูด “เช่นนั้นก็จุดสองดวง”

ฉินหลิวซีพาพวกเขาไปจุดตะเกียง สยงเอ้อร์ยัดตั๋วเงินทั้งหมดที่มีใส่เข้าไปในตู้ค่าน้ำมันตะเกียง เอ่ยด้วยความเขินอายว่า “ตลอดทางมานี้ใช้เงินไปมาก มีตั๋วเงินติดตัวไม่มาก ไว้เมื่อไปที่ร้านรับฝากเงินในเมือง จะถอนตั๋วเงินมาเพิ่มให้อีก”

“ความจริงใจจะทำให้สัมฤทธิ์ผล ผู้ประเสริฐทำได้ตามความต้องการ พวกเจ้าเดินทางไกลมาเพื่อจุดธูปบูชา เจ้าลัทธิเต๋าจะคุ้มครองพวกเจ้า”

สยงเอ้อร์ยิ้มอย่างไร้เดียงสาพลางเกาศีรษะ

เมื่อเดินออกมาจากวิหารใหญ่ ฉินหลิวซีก็ไม่ได้รั้งพวกเขาไว้ จับชีพจรให้พวกเขา โดยเฉพาะจิ่งเสี่ยวซื่อ เขียนใบสั่งยาปรับสภาพร่างกายแล้วกลับเข้าไปในเมืองพร้อมกับพวกเขา

“บนภูเขาอากาศหนาว และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ไม่ค่อยสะดวกนัก ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็คงไม่ฉลองตรุษจีนกลางทาง ในเมืองหลีก็มีลานที่เงียบสงบหลายแห่ง โรงเตี๊ยมบางแห่งก็มีลานส่วนตัว สามารถเช่าเพื่อเข้าพักชั่วคราวได้”

สยงเอ้อร์ถามนาง “แล้วท่านล่ะ ไม่ได้อาศัยอยู่บนเขาหรือ”

“แน่นอนว่าข้าต้องกลับบ้าน” ฉินหลิวซีเอ่ย “วันตรุษจีน ข้าจะอยู่รับลมหนาวบนภูเขาทำไม”

สยงเอ้อร์กับจิ่งเสี่ยวซื่อ “…”

ท่านอกตัญญูเช่นนี้ เจ้าลัทธิเต๋าของท่านไม่ตีเจ้าจนตายนับว่าเป็นบุญของท่านจริงๆ!

ฉินหลิวซีเอ่ยอีกว่า “ข้ายังมีร้านชื่อว่าเฟยฉางเต๋าอยู่ที่ถนนหงไป๋ในตรอกโซ่วสี่ หากพวกเจ้ามีธุระสามารถไปหาข้าที่นั้นได้ แต่ช่วงฉลองตรุษจีนก็ไม่ได้เปิดกิจการ”

อะไรนะ นักพรตอย่างท่านยังเปิดร้านด้วยหรือ เหลือเชื่อ

หลังจากที่ฉินหลิวซีเอ่ยจบก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ครั้งนี้ที่นางขึ้นไปบนภูเขาเดิมทีก็เพราะเรื่องหอเก็บพระคัมภีร์ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบสยงเอ้อร์และคนอื่นๆ ที่มาหาจากเซียงหนาน

เมื่อเห็นพวกเขาก็นึกถึงซือเหลิ่งเย่ว์ หลังจากกันที่เซียงหนานก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง

สยงเอ้อร์เห็นว่าฉินหลิวซีบอกว่าจะไปก็ไปในทันที ก็อดมองจิ่งเสี่ยวซื่อไม่ได้ ดังนั้นที่พวกเขาเดินทางไกล ผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนเพื่อมาที่เมืองหลี ก็เพียงเพื่อจุดธูปบูชาถวายค่าน้ำมันตะเกียงหรือ

“พวกเราจะทำอย่างไรดี”

จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หาห้องพักหาโรงเตี๊ยม ข้าจะไม่ฉลองตรุษจีนบนถนน” หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอีกว่า “ข้าจำได้ว่าท่านอาจื่อสือตระกูลถังเปิดสำนักศึกษาอยู่ที่เมืองหลี จะต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”

อย่างไรเสียก็มาแล้ว ก็เที่ยวเล่นที่เมืองหลีสักหน่อย

ชิงโจว ตระกูลซือ

ซือเหลิ่งเย่ว์นวดขมับ ให้สาวใช้ข้างกายนามว่าอาฉาพาชายหนุ่มที่รูปงามกว่าสตรีออกไป นี่คนที่เท่าไหร่แล้ว

ชายหนุ่มสายตาหม่นหมอง รู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย กัดริมฝีปาก ก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ย “นายท่าน ข้าสามารถปรนนิบัติรับใช้ท่านได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์โบกมือ เอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่มีความคิดนั้น ไปรับอั่งเปากับพ่อบ้าน แต่งงานกับสตรีที่รักใคร่ชอบพอกันเถิด”

ชายหนุ่มสีหน้าซีด อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ถูกอาฉาเชิญออกไป

ทันทีที่พวกเขาออกไป ซือถูก็พุ่งเข้ามา เอ่ยว่า “เย่ว์เอ๋อร์ คนนี้ก็ไม่ได้หรือ รูปร่างหน้าตาราวกับดอกไม้ บุตรที่เกิดมาจะต้องงดงามเป็นอย่างมาก”

ซือเหลิ่งเย่ว์พูดไม่ออก “ท่านพ่อ ข้าบอกแล้วว่ารอให้คำสาปบนตัวข้าถูกทำลายก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ข้าคิดว่าหากเจ้าทำลายคำสาปนี้แล้ว เกรงว่าจะยิ่งยากที่จะหาคนถูกใจได้” ซือถูเอ่ยต่อว่า “หากไม่สำเร็จล่ะ…”

“ท่านพ่อ!”

“ถุย ถุย ถุย จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน พ่อเพียงคิดว่าให้เจ้ามีบุตรก่อนแล้วค่อยทำลายคำสาป เมื่อถึงเวลาทำลายคำสาปได้แล้ว ผู้สืบทอดก็มีแล้ว ก็เป็นเรื่องสมบูรณ์แบบไม่ใช่หรือ”

ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกปวดศีรษะตุบๆ เอ่ย “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา แล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจจริงๆ จริงสิ โฉนดนี้ท่านเก็บไว้ หากมีอะไรเกิดขึ้น เหมืองหยกนี้ให้ท่านมอบให้กับซีซี”

ซือถูสีหน้าซีดเล็กน้อย “เย่ว์เอ๋อร์?”

“สำหรับข้าแล้วเหมืองหยกนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพียงแค่ใช้ทำเครื่องประดับ ซีซีสามารถทำให้มันมีประโยชน์มากกว่านี้” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็เพียงป้องกันไว้”

ซือถูได้ฟังดังนี้ ขอบตาก็เริ่มแดง “คำสาปนี้ ไม่แก้จะดีกว่า”

“ท่านพ่อ” ซือเหลิ่งเย่ว์ลุกขึ้น ยากจะเอ่ยปลอบใจสองสามประโยค แต่จู่ๆ ก็รู้สึกโลกหมุน หน้ามืด หมดแรงล้มหงายหลังไป

“เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าอย่าทำให้พ่อตกใจ” ซือถูตกใจจนหน้าซีด ตะโกนร้อง “ใครก็ได้ รีบมาเร็ว ไปเชิญท่านหมอมา ไปรับเจ้าอาวาสชิงหลาน”