ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 17 การประลองยุทธ์(1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หนานฉู่ ปีเจียซวี รัชศกถงไท่เดือนหนึ่งปีที่หนึ่ง เจียงเจ๋อยืนอยู่ในท้องพระโรงแห่งต้ายงในฐานะข้าราชบริพารของยงอ๋อง จักรพรรดิต้ายงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองแก่เหล่าขุนนาง วันที่สองนำขบวนชายหนุ่มมากความสามารถไปยังประตูจู่เชว่ หวังพระราชทานรางวัลให้แก่ผู้ยอดเยี่ยมที่สุด ทั้งยังเป็นการคัดเลือกพระสวามีให้แก่องค์หญิงฉางเล่ออีกด้วย

ในหมู่คนเหล่านั้นมากไปด้วยวีรบุรุษยอดอัจฉริยะ ทว่าองค์หญิงกลับเพียงเงียบงัน เมื่อการประลองสิ้นสุด จักรพรรดิถามไถ่ความในใจขององค์หญิง องค์หญิงร่ำไห้ กล่าวว่าพระสวามียังอยู่จะแต่งงานใหม่ได้อย่างไร คราแรกจักรพรรดิทรงกริ้วยิ่งนัก ต่อมาจึงรู้สึกโศกาอาดูร จ่างซุนกุ้ยเฟยเป็นกังวลหนัก คิดวิธีปลอบใจสารพัดสารเพ ทว่าองค์หญิงยังคงเงียบงัน ต่อมาจึงลอบถามนางข้าหลวง นางข้าหลวงรายงานว่าขณะองค์หญิงชมการต่อสู้อยู่ชั้นบนมิได้สนใจผู้ใดเป็นพิเศษ มีเพียงยามที่ซือหม่าของยงอ๋องมาถึงจึงมีท่าทียินดี กุ้ยเฟยเข้าใจกระจ่างโดยพลัน

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ

ดวงตากลมโตดำทมิฬคู่หนึ่งจับจ้องไปยังร่าง ‘สูงใหญ่’ ดังนั้นด้วยความระแวง ร่างนั้นมิได้ขยับเขยื้อน สมควรหลับแล้วกระมัง เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงหมอบลงกับพื้น มือเล็กๆ อันขาวผุดผ่องทั้งสองข้างยื่นข้ามไปเบื้องหน้า อาศัยแรงจากเข่าส่งตัวเคลื่อนไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว

ใกล้แล้ว ใกล้ยิ่งขึ้นแล้ว มือเล็กๆ คว้าจับเป้าหมายอย่างรวดเร็วประหนึ่งอัสนีบาตฟาดผ่า ผู้ใดจะทราบว่าคนบางคนกลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งกว่า เบื้องหน้าไหววูบ เป้าหมายของตนถูกผู้อื่นแย่งชิงไปแล้ว

แอ๊ะ เสียงร้องไห้ของทารกน้อยดังลั่นสนั่นฟ้า ตามมาด้วยมือคู่หนึ่งที่ยื่นไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมาด้วยท่าทียุ่งเหยิงจนมือเท้าแทบพันกัน แม้ทั้งขู่ทั้งปลอบ ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่ไว้หน้าแม้เพียงนิด จนกระทั่งมืออีกข้างหนึ่งชูตุ๊กตาไม้ที่แกะสลักจากไม้อ่อนและห่อพันด้วยผ้าแพรไหมเนื้อดีไปเบื้องหน้าเด็กหญิงตัวน้อย นางจึงค่อยเปลี่ยนจากเสียงร้องไห้เป็นเสียงหัวเราะ คว้ากอดตุ๊กตาที่ใหญ่เท่าตนเองเอาไว้พลางส่งเสียงเอิ๊กอ๊ากด้วยความยินดี

เสี่ยวซุ่นจื่อเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของตนก่อนกล่าว คุณชาย ท่านก็อย่ารังแกคุณหนูเช่นนี้เลย หากพระชายาทรงทราบ จะต้องตำหนิที่ท่านไม่หนักแน่นมากพอแน่นอน

ข้าหดคอโดยไม่รู้ตัว เมื่อวานข้าเพียงจงใจนำของเล่นมาล่อให้โหรวหลันไล่ตามข้าเพื่อเป็นการฝึกปฏิกิริยาการตอบโต้ของนางให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่กลับถูกพระชายาเรียกตัวไปสั่งสอนยกหนึ่งโดยมีม่านกั้นกลาง วันนี้หากพระชายาทราบว่าข้าทำให้โหรวหลันร้องไห้ จะไม่อนาถยิ่งขึ้นหรอกหรือ

ข้ารีบกวาดตามองหาว่าหูทิพย์ของพระชายาผู้นั้นอยู่หรือไม่

ไม่อยู่ ข้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ อีกไม่นานซื่อจื่อหลี่จวิ้นจะเดินทางไปรักษาการณ์ที่โยวโจวแทนยงอ๋องแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงถูกยงอ๋องเรียกตัวไป นี่เป็นผลมาจากการที่ข้ากล่าวเตือนยงอ๋อง มิเช่นนั้นเจ้าเด็กนั่นคงยืนจับตามองข้าอยู่ข้างๆ เป็นแน่ เมื่อวานก็เป็นเขาที่ไปรายงานพระชายา

ทว่ายังคงมีอุปสรรคอยู่อีกอย่างหนึ่ง ข้ามองไปที่เสี่ยวซุ่นจื่อพลางกล่าวว่า เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าไปดูการประลองยุทธ์เสียหน่อยสิ ดูว่าวรยุทธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร ผู้ใดมีโอกาสได้รับชัยชนะมากที่สุด เรื่องนี้นับว่าสำคัญยิ่ง

เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย องค์ชายส่งคนไปดูแล้วมิใช่หรือ

ข้าถูกคำพูดของเขาทำเอาสำลักทันควัน รีบกล่าวไปว่า ข้าเชื่อใจเจ้าเพียงผู้เดียวไม่ใช่หรือไร

เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างลึกล้ำแฝงความหมาย คงมิใช่ว่าคุณชายอยากรังแกคุณหนูโหรวหลันหรอกระมัง

ข้าส่ายหน้าระรัว ไม่ใช่ๆ โหรวหลันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าในใจข้า ข้าจะรังแกนางได้อย่างไรเล่า

เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะ เช่นนั้นบ่าวจะไปดูเสียหน่อยแล้วกัน คุณชาย ท่านจำไว้ให้ดีแล้วกัน หากพระชายาทรงกริ้วขึ้นมา เกรงว่าท่านคงไม่มีวันคืนที่ดีแล้ว

ข้ามองไปยังแผ่นหลังของเสี่ยวซุ่นจื่อพลางคลี่ยิ้มเต็มหน้า เดินไปหาโหรวหลันที่ยังคงยุ่งอยู่กับการเล่นอย่างสุขอุรา ปากก็กล่าวไปว่า เสี่ยวหลันเอ๋อร์ พ่อมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว

เด็กหญิงตัวน้อยยังคงไม่ทราบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย ทำเพียงเงยหน้าขึ้นแล้วโยนตุ๊กตาทิ้งไป แขนทั้งสองกางออกต้องการให้ข้าอุ้ม

ข้าชะงักไปเล็กน้อย กระแสความอบอุ่นสายหนึ่งเอ่อทะลักขึ้นมาจากใจ กระทั่งอดอุ้มนางขึ้นมามิได้ จากนั้นจึงหอมไปยังแก้มเล็กๆ ที่ราวกับผลผิงกั่วนั้น นางส่งเสียงหัวเราะเปี่ยมสุขอยู่พักใหญ่ ปากก็กล่าวเรียก พ่อๆ

ข้ามิอาจข่มกลั้นความยินดีที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจได้อีก ได้แต่อุ้มนางขึ้นมาหมุนไปหลายรอบ เสียงหัวเราะสดใสราวกระดิ่งเงินดังขึ้น นี่คือการละเล่นที่โหรวหลันโปรดปรานเป็นที่สุด

ข้าที่แอบหลบมาอู้งานอยู่พักใหญ่เดินเข้าไปยังห้องทรงอักษรของยงอ๋องด้วยอารมณ์เปรมปรีดิ์ ยงอ๋องยังคงอ่านเอกสารราชการอยู่ในห้องตามคาด แม้สีหน้าท่าทางจะสงบนิ่ง ทว่ายังคงซ่อนแฝงไปด้วยความไม่พอใจ

ข้าเดินเข้าไปคารวะพลางกล่าว องค์ชาย ไม่ทราบว่าตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ

หลี่จื้อเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นข้าก็ผ่อนท่าทีให้อ่อนลง สุยอวิ๋น เจ้าว่าจะให้ผู้ใดเป็นพระสวามีของฉางเล่อดี

ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ เท่าที่กระหม่อมทราบ เหวยอิง ฉินชิง และเซี่ยโหวเหยียนเฟิงล้วนเป็นผู้โดดเด่นทั้งสิ้น กระหม่อมเพิ่งมาถึงฉางอันไม่นาน ไม่ทราบว่าใครในพวกเขาที่เหมาะสม

วันนั้นหลังจากกลับถึงจวนยงอ๋อง หลี่จื้อก็บอกกล่าวข้าแล้วว่าการประลองยุทธ์ในคราวนี้มีเป้าประสงค์แอบแฝง เดิมทีหลี่หยวนมีใจคิดชดเชยให้องค์หญิงฉางเล่อ ด้วยเหตุนี้จึงคิดเลือกพระสวามีให้นาง แต่ตอนนี้จ้าวเจียเจ้าแคว้นหนานฉู่ยังคงอยู่ที่นครฉางอัน หลี่หยวนจึงมิอาจคัดเลือกราชบุตรเขยได้อย่างเปิดเผย จึงอาศัยรายนามผู้เข้าประลองครั้งนี้ให้จ่างซุนกุ้ยเฟยและองค์หญิงฉางเล่อมองหาชายหนุ่มยอดอัจฉริยะแห่งต้ายง ถือโอกาสเลือกราชบุตรเขยที่มีรูปโฉมโดดเด่นมากความสามารถเปี่ยมคุณธรรมในหมู่คนเหล่านั้นเสียเลย ตอนนี้เรื่องนี้ยังคงเป็นความลับ นอกจากพระสนมแห่งวังหลังไม่กี่พระนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดทราบความจริงเรื่องนี้อีก

หลี่จื้อทราบเรื่องนี้จากเกาซื่อพระชายาของตน หลายปีมานี้จ่างซุนกุ้ยเฟยไร้บุตรธิดาข้างกาย มีเพียงเกาซื่อที่ไปปรนนิบัติแสดงความกตัญญู หลี่จื้อเป็นผู้เสนอกลยุทธ์จนทำให้ฉางเล่อต้องแต่งงานไปไกล เขาจึงบอกให้เกาซื่อเข้าวังไปดูกุ้ยเฟยอยู่บ่อยๆ สองปีมานี้ทั้งคู่รักใคร่กันประหนึ่งมารดาและบุตรี ดังนั้นจ่างซุนกุ้ยเฟยจึงได้ถามความคิดเห็นจากเกาซื่อ

ข้ามิได้กล่าวสิ่งใดต่อยงอ๋อง ตั้งแต่ข้าทราบถึงจุดประสงค์ของการประลองยุทธ์ครั้งนี้ก็ให้รู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก มิใช่เพราะต้ายงไม่สนใจตัวตนของจ้าวเจียผู้เป็นเจ้าแคว้นของข้าแม้เพียงนิดหรอกหรือ ตั้งแต่แรกเริ่ม องค์หญิงฉางเล่อก็ไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าแคว้นแม้แต่น้อย ข้าถึงขั้นเกิดความสงสัยด้วยว่าตอนแรกองค์หญิงฉางเล่อทำให้ตนเองแท้งบุตรเพราะมีสาเหตุ ถึงแม้ข้าจะเห็นใจในสิ่งที่องค์หญิงฉางเล่อประสบพบเจอก็มิได้เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของนาง ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าแคว้นก็ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นางอยากแต่งงานใหม่ก็ไม่ควรเร่งรีบเพียงนี้ อย่างน้อยก็สมควรรอจนกระทั่งไร้เยื่อใยระหว่างนางและเจ้าแคว้นเสียก่อนค่อยแต่งงานใหม่

จริงๆ แล้วข้ารู้สึกโกรธเกรี้ยวมาตลอด หากมิใช่ว่ามีโหรวหลันคอยปลอบประโลมจิตวิญญาณของข้า เกรงว่าโทสะของข้าคงปะทุไปนานแล้ว หลังจากสงบใจลงได้ ข้าก็คิดว่าช่างมันเถิด องค์หญิงฉางเล่อเป็นธิดาแห่งองค์จักรพรรดิ เหตุใดข้าต้องคิดให้นางดูงดงามเกินไปด้วยเล่า บางทีอาจเป็นเพราะหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาท่ามกลางเครื่องประทินโฉมในงานอภิเษกของนาง รวมไปถึงความอ่อนโยนรื่นรมย์ของนางยามข้าได้พบเห็นที่ตำหนักราชนิเวศน์กระมังที่ทำให้ข้าเห็นใจนางและเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อนาง

ตอนนี้เมื่อยงอ๋องกล่าวถาม ข้าก็ได้แต่ตอบไปด้วยน้ำเสียงประหนึ่งคนนอก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ

ข้าสังเกตสีหน้าของยงอ๋องก่อนกล่าวไปว่า ในสายตาของผู้มีใจคิดไม่ซื่อ ความโปรดปรานที่องค์จักรพรรดิมีต่อองค์หญิงนับเป็นสะพานเชื่อมสายหนึ่ง หากองค์หญิงเลือกคนไม่เหมาะสม ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อองค์ชาย ในอนาคตยังจะเป็นการทำร้ายจิตใจขององค์หญิงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าองค์ชายคงมิอาจปรับความเข้าใจกับฝ่าบาทและกุ้ยเฟยได้ไปตลอดกาล ทางที่ดีที่สุดย่อมต้องให้องค์หญิงแต่งกับผู้ใต้บัญชาขององค์ชาย รองลงมาคือให้องค์หญิงแต่งกับผู้ที่มีจุดยืนเป็นกลาง แม้กระหม่อมจะไม่กระจ่างแจ้งว่าจริงๆ แล้วคนเหล่านี้มีความคิดโน้มเอียงไปทางใด แต่แม่ทัพใหญ่ฉินอี๋เป็นกลางแน่นอน หากองค์หญิงแต่งให้ฉินชิง คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ตอนต่อไป