บทที่ 334 เตียงหยกที่ดูดเลือด
ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเตียงหยก เขาก็ได้คลำหามาตลอดว่าเปิดออกอย่างไร ใครจะรู้ว่าเมื่อหลานเยาเยามา ก็ทำให้เขาตกใจก่อน จากนั้นก็ทำให้เขาประหลาดใจปนดีใจเป็นที่สุดขนาดนั้น
สำหรับความดีใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังติดตราตรึงใจอยู่!
“เช่นนั้นยังจะรออะไร? พวกเรารีบไปหาทางออก”
ในความดีใจเป็นที่สุด
หลานเยาเยารีบลากเย่แจ๋หยิ่งเดินออกไปนอกถ้ำทันที เมื่อมาถึงเตียงหยก พวกเขากลับประหลาดใจที่พบเจอ
เตียงหยกทั้งเตียงมีแสงสีฟ้าอ่อนสาดส่องออกมาจากด้านในสู้ด้านนอก และเลือดพรหมจารีที่เดิมทีไหลอยู่บนเตียงหยกก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านเช็ดออกหรือ?”
เมื่อเห็นเย่แจ๋หยิ่งส่ายศีรษะ หลานเยาเยามีแววตาครุ่นคิด
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางตื่นนอน เลือดพรหมจารียังอยู่บนเตียง หากว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้เช็ดทำความสะอาด เช่นนั้นก็เป็นเตียงหยกมีความประหลาด
“น่าแปลกแล้ว เตียงหยกยังจะสามารถดูดกินเลือดได้ด้วยหรือ?”
หลานเยาเยาสงสัยไปพลาง พร้อมกับตรวจสอบดูทั่วทั้งเตียงหยกไปพลาง
เวลานี้!
เย่แจ๋หยิ่งกระแอมออกมาเบาๆทีหนึ่ง บนใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มบางๆ พูดอย่างแผ่วเบา :
“น่าจะเป็นเลือดแห่งพรหมจารีทำให้เตียงหยกทำงาน”
ได้ยินดังนั้นหลานเยาเยาก็รีบหันไปมองทางเขา สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ
“ท่านรู้มาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ว่าเลือดสามารถทำให้เตียงหยกทำงานได้? มองที่ข้า ต้องพูดความจริง”
มองดูท่าทางที่เหมือนกับว่าเสียเปรียบอย่างที่สุดของหลานเยาเยา สีหน้าแววตาของเย่แจ๋หยิ่งแฝงไปด้วยความรักความเอ็นดู พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“บนผนังถ้ำน้ำแข็งมีเขียนไว้”
“บนผนังถ้ำน้ำแข็ง? ไม่ใช่มีเพียงภาพจิตรกรรมฝาผนังสี่ภาพหรือ? หรือว่ายังมีอักษรอีก? แล้วเขียนว่าอะไร?”
หลานเยาเยางงงันเล็กน้อย
ที่สุดแล้วมีเขียนไว้หรือไม่นางไม่รู้นี่! เมื่อครู่ใจของนางหมกมุ่นอยู่ที่การศึกษาสืบหาสังเกตภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง ไหนเลยจะมองดูที่อื่น
“เข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจ อุทิศด้วยเลือด ดีชั่วแยกแยะด้วยตัวเอง ทางออกทำงานเองได้”
เย่แจ๋หยิ่งพูดคำที่สลักไว้บนผนังน้ำแข็งออกมา หลานเยาเยาฟังจนตะลึง
“ง่ายขนาดนี้เชียว? ให้เลือดก็ได้แล้ว?”
เป็นไปไม่ได้หรอก?
จะมีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน!
เป็นดังคาด!
เย่แจ๋หยิ่งอธิบายความสงสัยของนาง “ข้าได้อุทิศเลือดแล้ว แต่ก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ”
“ดังนั้นที่พูดมา เลือดที่บนผนังพูดถึงก็คือเลือดแห่งพรหมจารี พวกเราเช่นนี้คือลองผิดลองถูก? หรือว่าท่านเป็นผู้วางแผนขึ้นมา?”
จุดนี้หลานเยาเยามีความสงสัยหนักมาก
ดังนั้น แววตาที่มองเย่แจ๋หยิ่งอยู่ตอนนี้ล้วนเคลือบไปด้วยการวิเคราะห์ นี่ทำให้เย่แจ๋หยิ่งส่ายหัวอย่างจนปัญญา
จากนั้นก็ป้องหูนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส :
“เยาเยา เจ้าลืมแล้วหรือ? เรื่องเมื่อคืน เป็นเจ้าที่เริ่มก่อน ข้าไม่ยอมเจ้าก็ยังคิดจะบังคับขืนใจอีก!
ข้าจะสามารถทำเช่นไรได้? ทำได้เพียงยอมจำนนต่อความลามกของเจ้าแล้ว
เฮ้อ! เรื่องเช่นนี้ เจ้าจะต้องถนัดมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต และสามารถทำกับข้าได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
“……”
ตู้ม……
หลานเยาเยาเหมือนกับถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน ผ่าลงมาจนหน้านางเหมือนกับกุ้งที่โดนต้มสุก ที่มีสีแดงฉาน
เย่แจ๋หยิ่งคนนี้ เวลาเช่นนี้ยังจะพูดแบบนี้ออกมาได้อีก
และนางก็ทำได้เพียงโกรธจนเอามือทั้งสองข้างค้ำไว้บนเตียงหยก จ้องมองเขาอย่างดุดันแวบหนึ่ง มองเขายิ้มเย้าแหย่มองเขาอวดดี
เพียงแต่เมื่อมือทั้งสองของนางสัมผัสเตียงหยก ก็เหมือนถูกเตียงหยกดูดไว้ ดึงก็ดึงไม่ออก
เห็นดังนั้น!
เย่แจ๋หยิ่งขมวดคิ้วทันที รีบไปดึงนางไว้ กลับพบว่าเขาก็โดนดูดไว้แล้ว และพร้อมกับที่แสงสีฟ้าที่ส่องออกมาจากเตียงหยกสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ยิ่งถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ
สุดท้าย
ในเวลาที่พวกเขาจมลงไปในเตียงหยกแล้ว ลำแสงสีขาวสาดแวบผ่าน ทำให้พวกเขาหมดสติไปโดยสิ้นเชิง
—
“ตึกตึกตึก……”
“ตึกตึกตึก……”
“ตึกตึกตึก……”
“เพี้ย……ย๊ะ……”
“เพี้ย……ย๊ะ……”
“……”
เสียงกีบม้าที่ควบไปอย่างรวดเร็ว กับเสียงแส้ฟาดม้าอย่างแรงดังขึ้น
ทันใดนั้นเสียงก็ดังมาก
และหลังจากนั้นก็กลับคืนสู้ความเงียบสงบอีก
หลานเยาเยาที่ค่อยๆได้สติ ยังไม่ทันจะได้เปิดตาขึ้น ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเป็นระยะๆ
“สวรรค์ ยังหาไม่พบอีกหรือ? นี่ก็วันที่เก้าแล้ว เทพธิดากับอ๋องเย่หายไปนานขนาดนี้แล้ว คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆหรอกนะ?”
“ใครจะรู้ล่ะ? ตอนนี้ผู้คนตื่นกลัว ฮ่องเต้ก็ได้เรียกรวมพลทหารม้าจำนวนมาก ออกหาเบาะแสของเทพธิดาและอ๋องเย่ไปทั่วทุกที่
แม้แต่ราชครูเทียนเวิงทันทีที่กลับมาเมืองหลวง ก็รีบมาที่งานวัดที่นี่แล้ว
ผู้ที่อยู่ค้างแรมที่วัดในวันที่จัดงานวัด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะใด ก็ล้วนถูกควบคุมตัวไว้ในวัดทั้งหมดแล้ว”
“ข้าได้ยินมาอีกว่า วันที่สองที่เทพธิดาและอ๋องเย่หายตัวไป ท้องฟ้าสลัวเริ่มสว่าง มีคนเห็นกับตาว่าองครักษ์วังหลวงแบกศพลงมาจากภูเขาหลายสิบศพ เกรงว่าเทพธิดาและอ๋องเย่ประสบโชคร้ายเข้าแล้ว”
“อย่าพูดมั่วซั่ว หากว่าโชคร้ายจริง เมืองหลวงก็คงจะต้องวุ่นวายมาก”
“ไปไปไป คนมากมายหลายหน้า พวกเราวิจารณ์เรื่องเหล่านี้จะโดนตัดหัวได้”
คำวิพากษ์วิจารณ์ยังดังแว่วมาเป็นระยะระยะ เพียงแต่เสียงนั้นยิ่งไกลไปเรื่อยๆ……
หลานเยาเยาเปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ เงาที่อยู่ในสายตาคือใบไม้ที่โบกพลิ้วตามลม ลำแสงของพระอาทิตย์จากใบไม้สาดส่องลงมา
แสงที่สว่างจ้าสาดส่องกระจายอยู่บนตัวของนาง
เห้ย!
มีแสงอาทิตย์ ออกมาแล้ว
ในที่สุดก็ออกมาแล้ว
เพียงแต่……
ทั้งๆที่ต้นไม้เยอะแยะ เต็มไปด้วยต้นหญ้า อากาศควรจะบริสุทธิ์มากๆถึงจะถูก
ทำไมนางกลับรู้สึกว่าอากาศขุ่นมัวมากๆล่ะ?
ในวังหิมะอากาศยังดีกว่าที่เป็นร้อยเท่าแหนะ? ขณะที่อยู่ที่วังหิมะก่อนหน้านี้ ยังสังเกตไม่ได้ ตอนนี้พอได้ออกมา การเปรียบเทียบชั่งเห็นได้ชัดเจนนัก
หรือว่าเป็นเพราะกลิ่นมังกรของมังกรทิพย์?
หลานเยาเยาทั้งคิดไปพลางแล้วลุกขึ้นพลาง เมื่อมองดูไปรอบแล้ว ก็พบว่านางอยู่ในกลางป่าไม้ที่เขียวชอุ่มสมบูรณ์ ในที่ไม่ไกลยังมีเส้นทางเล็กๆ
เมื่อสักครู่เสียงของกีบม้าและคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ล้วนแว่วมาจากทิศทางนั้น
เมื่อหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ในสมองก็ยังคิดอยู่ว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ สายตาสอดส่ายไปทั่วมองหาเบาะแสของเย่แจ๋หยิ่ง
คนล่ะ?
คงไม่ใช่ยังไม่ออกมาหรอกนะ?
“ช่าช่าช่า……”
เป็นเสียงฝีเท้าเหยียบบนใบไม้แห้ง เข้ามาใกล้นางทีละก้าวทีละก้าว
นางสีหน้ามีความสุข
ยังคิดว่าเป็นเย่แจ๋หยิ่ง ขณะหันหน้าไปกลับพบว่า เป็นพระที่มีแผลจี้ธูปเก้าจุดบนหัวที่ไร้เส้นผมผู้หนึ่ง
นี่ไม่ใช่พระธรรมดาธรรมดาผู้หนึ่ง
แต่เป็นพระผู้หนึ่งที่คุ้นเคย ดวงตาของเขาเป็นมิตร บนปากมีรอยยิ้มบางๆอยู่ พูดอย่างแผ่วเบา :
“อมิตาภพุทธะโยมฟื้นแล้ว?”
“ทำไมเจ้าอาวาสเห็นข้าแล้วถึงไม่ได้แปลกใจ?”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!
นางและเย่แจ๋หยิ่งหายตัวไปนานขนาดนั้น ตอนนี้ปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน แม้ว่านางไม่รู้ว่านอนอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนก็คงจะต้องแปลกใจสิ?
เมื่อเห็นเจ้าอาวาสไม่แปลกใจเลยสักนิด หลานเยาเยาก็เกิดความคิดขึ้นในสมองทันที
บางทีเขาอาจจะไม่ได้พบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกแล้ว
อืม ก็อธิบายได้เพียงเท่านี้แล้ว!
“ใต้ต้นบุพเพปรากฏบุพเพสันนิวาส ในผลขมขื่นออกผลเป็นความรักที่ขมขื่น มีคนรักกันสุดท้ายก็จะได้รับผลที่ถูกต้อง ขอแสดงความยินดีกับโยม”
“……”
บ้าอะไร?
โพล่งประโยคเช่นนี้ออกมาอย่างฉับพลันคิดอยากจะก่อเรื่องแบบไหน?
“ท่านรู้ไม่น้อยเลย ก่อนหน้านี้ปีนหลังคาบ้านสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันมาไม่น้อยล่ะสิ!” หลังจากที่เห็นเจ้าอาวาสมุมปากกระตุกขึ้นมาอย่างหนักตามความตั้งใจ หลานเยาเยาก็ถามต่อ : “อ๋องเย่ล่ะ?”
“โยมวางใจ อ๋องเย่ปลอดภัยมาก”
มีคำพูดนี้ของเขา หลานเยาเยาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เดินไปทางถนนเล็กๆทีละก้าวทีละก้าว
หากเมื่อครู่นางไม่ได้มองผิด
ที่นี่คือด้านล่างเชิงเขาของวัด ในเมื่อเย่แจ๋หยิ่งปลอดภัย เช่นนั้นตอนนี้ที่ทำให้นางเป็นห่วงที่สุดก็คือจื่อซีและจื่อเฟิงกับพวกตาแก่กลุ่มนั้นแล้ว…