ตอนที่ 123-2 จัดการ

เฉียวเวยไม่แม้แต่จะเปิดดู นางเอ่ยว่า “ของคงไม่จำเป็น พ่อบ้านหลินนำกลับไปเถิด หากพ่อบ้านหลินเพียงต้องการมาเยี่ยมเยียนลูกชายข้า ถ้าเช่นนั้นพ่อบ้านหลินก็กลับได้แล้ว”

ในฐานะพ่อบ้านของจวนกั๋วกง เขาไปที่ใดล้วนเป็นเป้าหมายของการประจบประแจง แม้แต่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี ทุกคนก็ล้วนเกรงอกเกรงใจเขา สตรีนางนี้ดูอายุไม่มาก แต่ยามจัดการเรื่องต่างๆ ดูท่าทางเจนจัดนัก ไม่รู้ว่านางไม่เห็นจวนกั๋วกงอยู่ในสายตาจริงๆ หรือไม่เข้าใจว่าจวนกั๋วกงเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งปานใด

“ฮูหยิน” รอยยิ้มของพ่อบ้านหลินจืดจางลง “เวลาของฮูหยินมีค่า ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับฮูหยินแล้ว เรื่องบุตรชายของท่านสือหลิวทำผิดจริง แม้สือหลิวเป็นสาวใช้ของจวนกั๋วกง หากทำความผิดสมควรให้จวนกั๋วกงลงโทษ แต่เห็นแก่หัวใจที่รักบุตรของฮูหยิน พวกเราจะยกให้ฮูหยินจัดการ”

คำพูดนี้ พูดเหมือนทำทานให้นาง เฉียวเวยยิ้มหยัน “ช่างเป็นพระคุณใหญ่หลวงเสียจริง แต่ว่าอะไรเล่า”

“แต่ว่า” พ่อบ้านหลินเห็นเฉียวเวยเหมือนจะติดกับแล้วจึงขยับยิ้มกว้างกว่าเดิม “เรื่องเกี่ยวพันถึงหน้าตาของจวนกั๋วกง ในเมื่อจวนกั๋วกงอำนวยความสะดวกให้ฮูหยินแล้ว ก็หวังว่าฮูหยินจะคำนึงถึงจวนกั๋วกงสักหน่อย”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ท่านต้องการให้ข้าจัดการนางอย่างลับๆ หรือ”

“…ใช่ แต่ก็มิใช่ทั้งหมด” พ่อบ้านหลินคลี่ยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม

เฉียวเวยใช้ฝาถ้วยชาเขี่ยใบชาในถ้วยอย่างไม่ค่อยสนใจ “พ่อบ้านหลิน ข้าเป็นหญิงสาวชาวบ้านจากชนบทคนหนึ่ง เล่นเกมของคนตระกูลใหญ่อย่างพวกท่านไม่เป็น ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด เงื่อนไขคืออะไร บอกออกมาให้ชัดก็พอแล้ว อย่ามาหวังให้ข้าคาดเดาเอาเอง ข้าโง่เขลาคงคาดเดาไม่ออก”

พ่อบ้านหลินสำลัก แล้วเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ในเมื่อฮูหยินเป็นคนตรงไปตรงมา ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลินก็จะไม่อ้อมค้อมกับฮูหยินแล้ว ฮูหยินต้องทราบว่าท่านกั๋วกงของพวกเราเป็นพ่อตาของฝ่าบาทรัชกาลนี้ หน้าตาของจวนกั๋วกงแทบจะเท่ากับหน้าตาของราชวงศ์ ตอนนี้เหตุการณ์ที่หยางหูกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเหลือเกิน ไม่เพียงจวนกั๋วกงที่เสียหน้า ฝ่าบาทก็เสียหน้าไปด้วย ฮูหยินของตระกูลข้าจึงหวังว่าฮูหยินจะเห็นแก่ส่วนรวม ความแค้นส่วนตัวจัดการกันเป็นการลับก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องยกมาต่อหน้าธารกำนัล

ท่านลองคิดดู ตอนแรกเอ้อร์หน่ายนายของพวกเราห้ามไม่ให้ฮูหยินลงโทษสือหลิว แต่กั๋วกงฮูหยินอนุญาตแล้ว กั๋วกงฮูหยินยืนอยู่ข้างท่าน ท่านก็ลองคิดถึงความลำบากของกั๋วกงฮูหยินสักหน่อย ท่านจัดการลงโทษสือหลิวได้ตามใจ แต่ลงโทษเสร็จแล้ว รวบกวนท่านออกหน้าแก้ความเข้าใจผิดให้จวนกั๋วกงของพวกเราด้วย”

มือของเฉียวเวยที่กำลังเขี่ยใบชาชะงัก “แก้ความเข้าใจผิด แก้ความเข้าใจผิดอะไร”

“ก็เรื่องที่…” พ่อบ้านหลินถูฝ่ามือ “ขอให้ฮูหยินออกหน้าบอกทุกคนว่า เรื่องที่ลูกของท่านตกน้ำ…ไม่ใช่ความผิดของจวนกั๋วกง”

เฉียวเวยมองเขาอย่างแปลกใจ “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเป็นความผิดของพวกเจ้า สือหลิวก็คือสือหลิว พวกเจ้าก็คือพวกเจ้า จุดนี้ ข้าแบ่งแยกออก แม้เอ้อร์หน่ายนายของพวกเจ้าจะน่าชังอยู่บ้าง แต่ไล่เรียงให้ถึงที่สุดแล้วก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรข้า ต่อให้ทำร้ายจริง ข้าก็ไม่ฟ้องทั้งจวนกั๋วกงของพวกเจ้าเพราะความน่าชังของนางเพียงคนเดียว ข้าทำเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นความผิดของสือหลิวแล้วไม่ใช่หรือ”

พ่อบ้านหลินแววตาวูบไหว “ฮูหยินไม่เข้าใจความหมายของข้า

เฉียวเวยจ้องเขาเขม็ง เขากระแอมเบาๆ แล้วกล่าวต่อเหมือนลำบากใจจะเอ่ยเล็กน้อย “กั๋วกงฮูหยินหวังว่า…หวังว่า…หวังว่าฮูหยินจะออกหน้าให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความจริงที่บุตรชายตกน้ำ ‘ความกระจ่าง’ ที่ข้าพูดถึง ฮูหยินน่าจะเข้าใจกระมัง”

พ่อบ้านหลินพูดพลางหยิบกล่องหุ้มไหมใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วเปิดออก ด้านในมีแต่ตั๋วเงินสีขาวสะอาด “นี่เป็นสิ่งชดเชยที่กั๋วกงฮูหยินมอบให้ท่าน”

เฉียวเวยเหลือบมองตั๋วเงินในกล่องอย่างไม่ให้จับสังเกตได้ กะประมาณคร่าวๆ คงไม่น้อยกว่าหมื่นตำลึง เป็นเงินก้อนใหญ่จริงเชียว!

“ฮูหยินของพวกเจ้าอยากให้ข้าบอกว่าลูกชายข้าไม่ระวังจึงพลัดตกน้ำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับสือหลิว และไม่เกี่ยวข้องกับจวนกั๋วกงสินะ” เฉียวเวยยิ้มจางๆ

พ่อบ้านหลินยกนิ้วโป้ง “ฮูหยินช่างหลักแหลมจริงๆ !”

เฉียวเวยหุบยิ้มทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลายเป็นตัวอะไร ลูกชายข้าตกน้ำลงไปเอง ข้ากลับเอาโทสะมาระบายใส่สาวใช้จวนกั๋วกงของพวกเจ้า เจ้านายของสาวใช้มาเจรจากับข้า ข้าก็โยนเจ้านายลงไปในน้ำอย่างไร้เหตุผล จวนกั๋วกงของพวกเจ้าใจกว้างจึงไม่ถือสาความหุนหันพลันแล่นของข้า ความจริงแล้วข้าเป็นคนถ่อย ส่วนพวกเจ้าความจริงแล้วเป็นวิญญูชนเช่นนั้นหรือ!”

พ่อบ้านหลินโน้มน้าว “ฮูหยิน เมืองหลวงไม่มีผู้ใดรู้จักท่าน ชื่อเสียงจับต้องไม่ได้เหล่านั้นไม่มีประโยชน์กับท่าน มิสู้ท่านรับเงินเอาไว้ ใช้ชีวิตตนเองให้สุขสำราญ จะไม่มีความสุขกว่าหรือ หากท่านรังเกียจว่าน้อย พวกเราค่อยๆ หารือกันได้”

สิ่งที่จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือเงิน พวกเขาจึงไม่กลัวเฉียวเวยเรียกราคา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพยายามจะเอาเงินซื้อเฉียวเวย เทียบกับคุณหนูจวนเอินปั๋วที่ยกทองคำมาเพียงกล่องเดียว ทุนทรัพย์ในมือกั๋วกงฮูหยินมีพรั่งพร้อมกว่ามากนัก

แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า

ครั้งนั้นนางไม่ตกปากรับคำคุณหนูจวนเอินปั๋ว ครั้งนี้นางก็ไม่มีทางตกปากรับคำกั๋วกงฮูหยิน “หากข้ากล่าวเช่นนั้นจริง คนที่ช่วยตามหาลูกชายข้าอย่างไม่ย่อท้อเหล่านั้นจะไม่สะอิดสะเอียนเหมือนกลืนแมลงวันหรือไร”

พ่อบ้านเอ่ยอย่างไม่สนใจสักนิด “ฮูหยินไยต้องสนใจชาวบ้านเหล่านั้น ชาวบ้านเหล่านั้นเพียงสนใจชั่วครู่ชั่วยาม มามุงดูเรื่องสนุกก็เท่านั้น พวกเขามอบสิ่งใดให้ฮูหยินได้หรือ จวนกั๋วกงต่างหากที่จะเป็นที่พึ่งของฮูหยิน หากวันหน้าฮูหยินมีเรื่องลำบากประการใด ขอให้บอกจวนกั๋วกง จวนกั๋วกงจะช่วยจัดการให้ฮูหยินแน่นอน ฮูหยินเป็นคนฉลาดเช่นนี้ คงจะทราบว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งที่ท่านสมควรพึ่งพิง”

เฉียวเวยเหน็บแหนม “แต่ตอนลูกชายข้าตกน้ำ ไม่เห็นคนจวนกั๋วกงของพวกเจ้ามาช่วยหา มีแต่ชาวบ้านที่พวกเจ้าดูแคลนเหล่านั้นวนเวียนค้นหาในน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ลูกชายข้าหายไปนานเท่าใด พวกเขาก็ตามหานานเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พ่อบ้านหลินบอกว่าจวนกั๋วกงเป็นที่พึ่งให้ข้าหรือ”

พ่อบ้านหลินบื้อใบ้

เฉียวเวยกล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไปบอกกั๋วกงฮูหยินของพวกเจ้า เลิกหวังเรื่องนั้นเสีย ข้าจะจัดการสือหลิวแน่ ส่วนจวนกั๋วกงของพวกเจ้าจะกอบกู้หน้าตาที่เสียไปครั้งนี้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องขบคิด”

รอยยิ้มของพ่อบ้านหลินหายไปแล้ว “ท่านไม่คิดหรือว่าสือหลิวเป็นบ่าวของจวนกั๋วกง ท่านไม่มีสิทธิจัดการ”

เฉียวเวยหน้าบึ้ง “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะฟ้องจวนกั๋วกงของพวกเจ้าให้มาขึ้นศาลด้วยกัน!”

พ่อบ้านหลินตบโต๊ะ “เจ้ากล้า!”

วาจาเช่นนี้ช่างเหมือนหลีซื่อราวกับแกะ จริงดังที่กล่าวกันว่ามีนายเช่นไรก็มีบ่าวเช่นนั้น จวนกั๋วกงไม่มีสักคนที่ไม่หยิ่งยโส

ดวงตาของเฉียวเวยไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย “ข้าจะย้ำเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องนี้ติงเสี่ยวอิงเป็นผู้กระทำ ข้าจะไม่พาลโกรธจวนกั๋วกง แต่จวนกั๋วกงก็อย่าคิดจะให้ข้าออกหน้าเป็นพยานเท็จให้พวกเขา จวนกั๋วกงของพวกเจ้าก่อเรื่องขึ้นมาเองก็ต้องจัดการเอง! ลี่ว์จู ส่งแขก”

“เจ้าค่ะ” ลี่ว์จูเข้ามาในห้อง แล้วเอ่ยกับพ่อบ้านหลินอย่างเฉยเมย “เชิญเจ้าค่ะ พ่อบ้านหลิน”

พ่อบ้านหลินแค่นเสียงหยัน มีนายเช่นไรก็มีบ่าวเช่นนั้น เขาเป็นถึงพ่อบ้านของจวนกั๋วกง แต่กลับถูกสาวใช้คนหนึ่งไล่

นายท่านของลี่ว์จูคืออัครมหาเสนาบดี นางจึงไม่เห็นพ่อบ้านของจวนสกุลหลินอยู่ในสายตา ลี่ว์จูกลอกตา ปิดประตูใหญ่ดัง ปัง!

แต่ครู่เดียว ประตูก็เปิดออกอีกหน

พ่อบ้านหลินคิดว่าเฉียวเวยเกิดเปลี่ยนใจ คิดไม่ถึงว่าลี่ว์จูกลับโยนของกองหนึ่งออกมา ของชิ้นใหญ่ชิ้นน้อยกระแทกบนตัวเขา กล่องใบหนึ่งบังเอิญถูกกระแทกเปิดอ้า โสมอายุสองร้อยปีต้นหนึ่งจึงร่วงออกมา

ลี่ว์จูแค่นหัวเราะ “โสมอายุสองร้อยปียังมีหน้านำมากำนัลฮูหยิน จวนกั๋วกงยากจนถึงเพียงนี้แล้วหรือ”

“เจ้า…” โสมอายุสองร้อยปีเป็นของที่ควรค่านำมากำนัลแน่นอน พระสนมในวังยังมีเพียงไม่กี่คนที่ได้กิน แต่สาวใช้คนนี้กลับดูแคลน ทำไม หญิงชาวบ้านยากจนคนนั้นกินโสมพันปีหรืออย่างไร

“เหอะ!” พ่อบ้านหลินเก็บของจนเรียบร้อย แล้วเดินทางกลับจวนกั๋วกงพร้อมกับสีหน้าเขียวคล้ำ

“ท่านแม่ ท่านฟังสิเจ้าคะ ข้าบอกแล้วว่านางไม่รู้จักรับความหวังดี พี่สะใภ้ใหญ่ยังจะมาโทษว่าเป็นเพราะข้าไปยั่วโมโหผู้อื่น ข้ายั่วโมโหนางหรือไม่ นางก็ไม่ปล่อยจวนกั๋วกงอยู่ดี!” ภายในเรือนหลักของสกุลหลิน หลีซื่อกำลังนอนเอนกายอยู่ข้างแม่สามีพลางบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย

หลีซื่อมีบุตรสี่คนให้ตระกูลหลิน บุตรชายสาม บุตรสาวหนึ่ง แล้วตัวนางเองยังอ่อนน้อม เอาใจใส่ รู้จักออดอ้อนเอาใจ ไม่ต้องบอกว่านางเป็นที่โปรดปรานของหลินฮูหยินมากเท่าใด

ดูจากตำแหน่งที่นั่งของนางก็มองออกแล้ว ทั้งที่เป็นลูกสะใภ้คนรองแท้ๆ แต่กลับได้นั่งข้างแม่สามี จีหว่านผู้เป็นลูกสะใภ้คนโตและภรรยาของซื่อจื่อตัวจริงคนนี้กลับนั่งอยู่ลำดับถัดลงมา

จีหว่านแกะเปลือกองุ่นเม็ดหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างสบายๆ “หากตอนแรกเจ้ามอบสาวใช้คนนั้นให้ จากนั้นเรียกองครักษ์ทั้งหมดของเจ้าลงน้ำไปช่วยคน ผู้ใดยังจะตำหนิเจ้า ผู้ใดยังจะตำหนิจวนกั๋วกง แต่เจ้ากลับก่อเรื่อง ตบตีคนไม่แบ่งแยกถูกผิด ผลเป็นอย่างไร องครักษ์ก็ยังต้องลงไปอยู่ในน้ำกันหมด แต่ถูกผู้อื่นถีบลงน้ำ ขายขี้หน้าคนไปทั่ว”

“พี่สะใภ้ใหญ่ คำพูดนี้ของท่านช่างพูดไม่เข้าหูข้า…”

“ข้าต้องคอยพูดให้เข้าหูเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”

“ท่านแม่” หลีซื่อเถียงสู้จีหว่านไม่ได้ก็กอดแขนแม่สามีอย่างคับแค้น

จีหว่านแต่งเข้าตระกูลมาแปดปีแล้ว ไม่เพียงไร้บุตร แต่ยังไม่ชอบออดอ้อนเอาใจ หากหลินฮูหยินชอบลูกสะใภ้คนนี้ก็คงแปลก แต่จีหว่านมีเบื้องหลังแข็งแกร่ง แล้วยังเป็นที่รักของบุตรชาย หลินฮูหยินจึงไร้หนทางจัดการ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้หลีซื่อก็ทำเกินไปจริงๆ

หลินฮูหยินถอนหายใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ากล่าวไม่ผิด ตอนแรกเจ้าไม่ควรปกป้องสาวใช้คนนั้น มอบคนให้ ตัดความสัมพันธ์เสียก็ไม่มีเรื่องอันใดแล่ว อย่างมากที่สุดก็ลงแรงหาลูกชายให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะหาพบหรือไม่ก็นับว่าแสดงน้ำใจแล่ว นางไม่รับน้ำใจก็ไม่เป็นอะไร ชาวบ้านเห็นก็พอแล่ว! ปัญหาตอนนี้ก็คือตระกูลหลินไม่มีเรื่องที่ทำถูกต้องสักเรื่องเล๋ย!”

จีหว่านยกมือเรียวขาวผ่องขึ้นมา

หลินฮูหยินเหล่มองจีหว่านอย่างจนปัญญา “โชคดีที่พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไม่เลอะเลือน”

“ตอนแรกท่านมิได้กล่าวเช่นนี้นี่…” หลีซื่อน้อยอกน้อยใจ

ตอนเพิ่งกลับมาถึงตระกูลหลิน น้องพาร่างที่เต็มไปด้วยใบผักและไข่ไก่มาร่ำไห้ฟ้องเรื่องที่ตนเองประสบมากับแม่สามี แม่สามียืนอยู่ข้างตนอย่างชัดเจน นางคิดว่าสตรีนางนั้นไม่สมควรเป็นอริกับจวนกั๋วกง พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ควรเห็นคนนอกดีกว่าคนใน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกสิ่งกลับมาโทษนาง!

แรกเริ่มหลินฮูหยินคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจึงยินดีลำเอียงเข้าข้างหลีซื่อ แต่ตอนนี้เรื่องใหญ่โตจนวุ่นวายไปทั่วเมือง เมื่อคิดว่าลูกสะใภ้คนนี้เป็นคนก่อเรื่องขึ้นมา ในใจก็โมโหอย่างห้ามไม่ได้

เกลียดก็ส่วนเกลียด แต่จีหว่านไม่เคยก่อเรื่องให้ตระกูลหลิน ยามคนนอกเอ่ยถึงจีหว่านล้วนแต่ตำหนิว่าจีหว่านไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเช่นไร ทำตัวโออ้วดเช่นไร ความเกลียดชังที่มีต่อจีหว่านเกิดขึ้นเพราะตัวนางชวนให้คนริษยาชิงชังเกินไป ตระกูลหลินกลับเป็นฝ่ายได้ชื่อเสียงดีงามเพราะใจกว้างยอมรับนาง

แล้วหันมาดูลูกสะใภ้คนรองผู้นี้ ยามปกติผู้คนต่างชมนางว่าจิตใจดีงามเฉลียวฉลาด แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญกลับก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ให้ตระกูลหลินจนปิดก็ปิดไม่มิด!

หลินฮูหยินโมโหแทบแย่แล้ว!

จีหว่านยกกระจกขึ้นมาส่อง

ยังมีอารมณ์ส่องกระจกอีก!

หลินฮูหยินโกรธยิ่งกว่าเดิม!

การคารวะยามเช้าจบลงอย่างไม่สุขสันต์

หลังออกมาจากเรือนหลัก หลีซื่อก็เดินมาขวางทางจีหว่าน “พี่สะใภ้ใหญ่”

จีหว่านจัดดอกไม้ที่ทำจากไข่มุกบนศีรษะ “มีอะไรหรือ น้องสะใภ้รอง”

หลีซื่อเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “เรื่องครั้งนี้ เมื่อลองคิดมาคิดไปแล้วมีเพียงพี่สะใภ้ใหญ่ออกหน้าจึงจะแก้ไขได้ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นสะใภ้คนโตของตระกูลหลินก็สมควรเข้าอกเข้าใจความลำบากของตระกูลหลินนะเจ้าคะ”

จีหว่านตอบอย่างไม่แยแส “ตระกูลหลินมีความยากลำบากอะไรหรือ ไม่ได้อยู่ดีอยู่หรือไร ไม่ขาดข้าวกินไม่ขาดอาภรณ์สวมใส่ แล้วก็มิได้ให้เบี้ยรายเดือนของเจ้าน้อยลง”

หลีซื่อขมวดคิ้ว “พี่สะใภ้ใหญ่เลิกแสร้งเลอะเลือนเถิด ด้านนอกด่าตระกูลหลินจนเป็นอะไรแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่มิทราบหรือ ตอนนี้คนที่จัดการปัญหายุ่งยากได้มีแต่พี่สะใภ้ใหญ่ผู้เดียว มิสู้พี่สะใภ้ใหญ่ออกหน้าเป็นคนไกล่เกลี่ยสักครั้ง สตรีนางนั้นเป็นญาติฝ่ายตระกูลมารดาของพี่สะใภ้ใหญ่มิใช่หรือ ข้าเห็นตอนอยู่บนเรือพี่สะใภ้ใหญ่เข้าข้างนางเสียปานนั้น ความสัมพันธ์กับนางคงดียิ่ง หากพี่สะใภ้ใหญ่พูด นางไม่มีทางไม่ฟัง”

จีหว่านเลื่อนสายตามามองหลีซื่อ “น้องหลีหมิ่น เจ้าขี้เรี่ยราดเอง เหตุใดข้าต้องตามล้างตามเช็ดให้เจ้าเล่า”

“ท่าน…” หลีหมิ่นฟังคำพูดหยาบคายของจีหว่านแล้วหน้าแดงหูแดง “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าพูดจาน่าเกลียด!”

จีหว่านยิ้มอย่างหยิ่งยโส “ข้าพูดจาน่าเกลียดอีกเท่าใด จะน่าเกลียดเท่าสิ่งที่เจ้าทำหรือ อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นได้ลูกชายกลับมา กำลังอารมณ์ดีอยู่ เจ้าก็รีบไปเยี่ยมเยียนโขกศีรษะขอขมาเสีย คนนอกด่าทอตระกูลหลินเช่นไร เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว ถึงอย่างไรถูกด่าก็ไม่ทำให้เจ้าเนื้อแหว่งหายไปหรอก”

“จะให้ข้าไปโขกศีรษะขอขมานางหรือ นางเป็นผู้ใดกัน!”

“ญาติฝ่ายมารดาของข้าอย่างไรเล่า ทำไม เจ้าดูแคลนหรือ”

ชาติกำเนิดของจีหว่านอยู่เหนือกว่าหลีซื่อร้อยเท่า ต่อให้เป็นองค์หญิง แม้ยศศักดิ์ฟังดูสูงส่ง แต่เมื่อเทียบกันจริงๆ แล้วก็ยังสู้จีหว่านไม่ได้ หลีซื่อกล้าดูแคลนญาติฝั่งมารดาของนางหรือ

หลีซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “พี่สะใภ้ใหญ่บอกเองว่าเป็นญาติของตน พูดกับญาติของตนสักสองสามประโยคจะยากเพียงนั้นเชียวหรือ”

จีหว่านคลี่ยิ้ม “ไม่ยาก” จากนั้นก็หุบรอยยิ้ม “แต่ข้าไม่อยากทำ”

หลีซื่อเคยเห็นว่าจีหว่านทำให้คุณหนูตระกูลขุนนางเหล่านั้นโมโหจนร้องไห้อย่างไร แต่ปกติจีหว่านไม่เล่นงานนาง นางจึงรู้สึกว่าคุณหนูเหล่านั้นอ่อนแอเกินไปอยู่บ้าง จนกระทั่งวันนี้จีหว่านหาเรื่องนางขึ้นมาจริงๆ นางจึงพบว่าน่าโมโหโดยแท้!

บนโลกใบนี้มีสตรีน่าชังเช่นนี้ได้อย่างไร!

หลีซื่อโมโหจนอกจะแตก นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ “ข้าลืมไปว่าพี่สะใภ้ใหญ่ถูกด่าทออยู่เสมอ หลายปีที่ผ่านมาท่านคงถูกด่าจนชินเสียแล้วจึงไม่สนใจชื่อเสียง แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าหน้าบาง ทนฟังคำนินทาเหล่านั้นมิได้”

จีหว่านสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “น้องหลีหมิ่น คิดจะใช้กลยุทธ์ยั่วโมโหขุนพลกับข้าหรือ ฝีมือเจ้ายังไม่ถึงขั้น กลับไปฝึกสักปีสองปีเถิด น้องรองเหมือนจะเพิ่งรับอนุภรรยาเข้ามาคนหนึ่ง พักนี้เจ้าน่าจะว่างมาก ถ้าเช่นนั้นก็คงฝึกได้เต็มที่ บางทีปีเดียวก็อาจจะพอแล้ว”

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลีซื่อเจ็บใจที่สุด นางให้กำเนิดบุตรแก่นายท่านรองมากมายปานนั้นแท้ๆ แต่นายท่านรองกลับยังกอดผู้หญิงซ้ายคนขวาคนเข้าห้อง

เพื่อให้ได้ชื่อว่าจิตใจดีงามกตัญญู นางไม่กล้าต่อว่าแม้สักคำ

ไม่เหมือนจีหว่าน หากผู้ใดเข้าใกล้ซื่อจื่อ จีหว่านจะขับไล่คนออกไปอย่างไม่ไว้หน้าสักนิด หลายปีที่ผ่านมาจีหว่านใจดำช่างริษยา ถูกคนมากมายมิรู้เท่าใดด่าทอว่าเป็นเมียขี้หึง

หลีซื่อปากยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มตอบว่า “คนที่ว่างจริงๆ น่าจะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่กระมัง ข้ายุ่งกับการเลี้ยงลูก ไม่เหมือนพี่สะใภ้ใหญ่ แต่งงานมาแปดปีแล้ว ลูกสักคนก็ยังไม่มี ไม่ห่วงนั่นก็ห่วงนี่ ไม่ไปที่นั่นก็ไปที่นี่ อยากสำเริงสำราญอย่างไรก็สำเริงสำราญอย่างนั้น ไม่แปลกที่จะไม่มีรอยเหี่ยวย่นสักรอย ไม่มีลูก ช่างดีจริงนะ!”

คำพูดนี้กล่าวตำหนิอย่างโจ่งแจ้ง

จีหว่านมองนางด้วยสายตาเย็นชา หลีซื่อถูกมองจนขนหัวลุก แต่ทันใดนั้นจีหว่านก็คลี่ยิ้มหวาน ความงดงามดุจจะขโมยวิญญาณผู้คนนั่นทำให้ทั้งสวนสว่างไสว “น้องสะใภ้รอง ข้าเยาว์วัยเช่นนี้ งดงามเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีลูก แต่เพราะสามีไม่ปล่อยให้อดอยากปากแห้ง”

หลีซื่อโกรธจนอกจะแตกตาย!