ตอนที่ 308 ได้รับมาแต่ไม่ตอบแทน เสียมารยาท

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 308 ได้รับมาแต่ไม่ตอบแทน เสียมารยาท

“เราสบายดี ! ขอเพียงคนไม่เป็นอันใด ของอย่างอื่นก็เป็นแค่สิ่งนอกกาย ! ” หลินเว่ยเว่ยหยิบซี่โครงชิ้นหนึ่งให้เจ้าดำจอมตะกละที่เดินวนเวียนไปมารอบเท้าแล้วคาบออกไปกินด้านข้าง

แต่เจ้าหนูน้อยเอ่ยอย่างคนหัวเสีย “กระต่าย แพะและไก่ที่บ้านเราเลี้ยงไว้ถูกโจรชั่วสมควรตายเหล่านั้นจับกินหมด ไข่ไก่และนมแพะที่คนในบ้านกินก็ไม่มีเหมือนก่อนแล้ว ! บางครั้งตอนที่พี่รองอยากทำขนมก็เพราะขาดวัตถุดิบจึงต้องล้มเลิกความคิด…”

“พอแล้วน่า เจ้ากินให้น้อยลง ดื่มให้น้อยกว่าเดิมไม่ได้หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยเขกศีรษะเจ้าหนูน้อย

เฮ้อ ! เมื่อวานตอนเข้าเมืองก็เห็นว่าซื้อแม่ไก่กับแพะมาแล้ว ยังจะแค้นไม่เลิก !

ลู่เหวินจวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อีกสองสามวันข้าจะไปทุ่งหญ้า แล้วใช้เครื่องลายครามกับใบชาเพื่อแลกหนังสัตว์และสมุนไพรกลับมา ได้ยินว่าร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ใช้เนยชนิดหนึ่งมาทำขนมทั้งหมด หากข้าได้เจอบ้างก็จะช่วยแลกกลับมาให้พวกท่าน ! ”

เมื่อหลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เปล่งประกายทันใด “เยี่ยม ! แต่ข้าได้ยินว่าแถบทุ่งหญ้าไม่ค่อยสงบ ท่านต้องระวังตัวด้วย ! ”

“วางใจได้ พ่อค้าหลายคนจากเมืองหลวงจะเข้าทุ่งหญ้าพร้อมกัน ทหารรักษาชายแดนก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกเราด้วย นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงประทานอนุญาตแล้ว”

พ่อค้าที่แสวงหาผลกำไรย่อมไม่มีทางนำเงินของตนมาช่วยผู้ประสบภัยเพื่อราชสำนักโดยเปล่าประโยชน์หรอก อย่างไรก็ต้องมอบผลประโยชน์คืนให้กันบ้าง ไม่ทราบว่าภัยแล้งของแดนเหนือจะจบลงเมื่อใด จึงจำเป็นต้องใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์มาล่อลวงพ่อค้าแดนใต้ให้ขนข้าวขึ้นเหนือ จึงจะรักษาสมดุลของราคาข้าวในภาคเหนือได้

หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าเขาจะออกเดินทางไปทุ่งหญ้าในวันพรุ่งนี้ นางจึงนำเนื้อแผ่นและคุกกี้เมล็ดต้นเจินในโถกระเบื้องเคลือบสองสามโบซึ่งมีรสหวานและเค็มแตกต่างกัน ยังมีขาหมู 2 ขาที่ตุ๋นเมื่อวานก็ยกให้เขาทั้งหมด เพื่อไว้กินแก้เบื่อระหว่างเดินทาง ในเมื่อเขาให้ของดีมาตั้งมากมายเช่นนี้ ของตอบแทนเล็กน้อยจะนับว่าลำบากอันใด ? ความสัมพันธ์ที่ปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาคถึงจะอยู่ได้นาน

ลู่เหวินจวินดีใจยิ่งกว่าอันใด นอกจากนี้เขายังห่อขาหมูตุ๋นน้ำแดงไปอีกหนึ่งหม้อเต็ม ๆ เนื่องจากภาคเหนือที่เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วมีอุณหภูมิต่ำชนิดติดลบทั้งเช้าและเย็น ถ้าเก็บรักษาอย่างถูกวิธี แม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว อาหารที่ปรุงสุกก็จะไม่เน่าเสีย ! พูดกันว่าพอเข้าเขตทุ่งหญ้าแล้วก็จะมีแต่อาหารแห้งให้กินเท่านั้น พอมีขาหมูสองขากับขาหมูตุ๋นน้ำแดงหนึ่งหม้อนี้แล้ว ชีวิตต่อจากนี้ของเขาก็จะไม่ทรมานมากเกินไป !

เจ้าหนูน้อยบีบเท้าเจ้าดำแล้วเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “คุณชายลู่ก็เสียจริงเลย เอาขาหมูตุ๋นน้ำแดงที่เราจะกินเป็นมื้อเย็นไปหมด แล้วเย็นนี้พวกเราจะกินอะไรกันเล่า ? ”

หลินเว่ยเว่ยเข้าไปบีบแก้มน้อย ๆ ของเขาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเจ้าไม่พูดว่าคุณชายลู่ให้ข้าวแดงมาหลายกระสอบแล้วก็แฮมจินหัวอีกสองขาใหญ่ ? เย็นนี้ข้าจะหุงข้าวแดงให้เจ้ากิน ลือกันว่าข้าวแดงเป็นเครื่องบรรณาการสำหรับให้ฮ่องเต้เสวยเชียวนะ พอหุงเสร็จแล้วจะมีสีแดงสวย กลิ่นหอมแตะจมูก รสชาติอร่อยยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วยังมีแฮมจินหัวที่รสชาติเค็มปนหวาน มีมันแต่ไม่เลี่ยน มื้อเย็นพวกเรากินเจ้านี่กัน ! ”

เจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ ! ระหว่างที่อยู่หน้าเตาก็เดินวนรอบตัวหลินเว่ยเว่ยไปมาเหมือนลูกหมาตัวหนึ่ง นอกจากนี้ยังถามโน้นถามนี่เหมือนลูกหมาขี้สงสัยมากเป็นพิเศษ

หลังจากกินข้าวแดงและแฮมจินหัวนึ่งแล้ว เจ้าหนูน้อยก็ไม่ตำหนิคุณชายลู่ว่าเอาเปรียบอีกต่อไป…เพราะใครได้เปรียบก็เห็นชัดเต็มสองตา ! นักกินอย่างเผิงหยูเหยี่ยนกินข้าวไปถึงสามถ้วย ทำให้ท้องของเขาดูเหมือนสตรีที่ตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน

นางหวงคลี่ยิ้มและส่ายหน้าไปมา “คุณชายลู่เอาข้าวแดงมาให้ 5 กระสอบ พรุ่งนี้ส่งไปให้บ้านว่าที่ลูกเขย 1 กระสอบ แล้วก็หั่นแฮมจินหัวไปหลายชั่งหน่อย ให้บ้านโน้นได้ชิมกันบ้าง ! ”

ยามที่บ้านตระกูลเผิงได้ของดีก็จะไม่ลืมแบ่งปันให้บ้านตระกูลหลิน ในช่วงเวลาอันสั้นแค่หนึ่งเดือนนี้ พวกเขานำของมาให้ 7-8 รอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นของกิน เสื้อผ้าหรือของใช้ พวกเขาคิดได้รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง วันนี้บ้านตระกูลหลินได้สิ่งของหายากมาจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ลืมตระกูลเผิง ฝ่ายโน้นคือบ้านว่าที่ลูกเขยย่อมไปมาหาสู่แล้วสนิทกันยิ่งกว่าเดิม

เช้าวันต่อมา หลินเว่ยเว่ยนำข้าวแดงและแฮมจินหัว 5 ชั่งใส่เกวียนเทียมม้า พอลองครุ่นคิดแล้วนางยังยกข้าวแดงออกมาอีกกระสอบและหั่นแฮมจินหัวอีก 2 ชั่งแล้วนำพวกมันขึ้นเกวียนพร้อมกัน

เจียงโม่หานกระโดดขึ้นเกวียนแล้วยื่นใบหน้าเข้ามาถาม “ข้าวแดงกับแฮมจินหัวเหล่านี้คงไม่ได้เอาไปให้คนแซ่หนิงหรอกกระมัง ? ”

หลินเว่ยเว่ยยักคิ้วใส่เขา “แน่นอนว่าไม่ใช่ ! ถึงเวลานั้นเจ้าก็รู้เอง ! ”

เมื่อขับเกวียนออกมา ทั้งสองก็เลือกมาที่เขตอันผิงก่อน หลังได้ยินบ่าวรับใช้รายงานว่าครอบครัวของว่าที่ลูกสะใภ้มาเยี่ยม นายท่านเผิงก็วิ่งออกมาเร็วกว่าผู้ใด ฝีเท้าและความเร็วนี้ไม่เหมือนคนอายุใกล้จะหกสิบปีแม้แต่น้อย

พอมาถึงประตูบ้าน เขาก็ลดฝีเท้าและทำมือไพล่หลังคล้ายกำลังจะออกไปเดินเล่นอย่างไรอย่างนั้น พอเห็นเกวียนของตระกูลหลินก็รีบเดินไปหา “เสี่ยวเว่ย เหตุใดจึงมาเวลานี้ ? มีเรื่องอันใดหรือ ? ”

“ลุงเผิง บ้านเราเพิ่งได้ข้าวแดงมาหลายกระสอบแล้วก็แฮมจินหัว ท่านแม่จึงให้ข้านำมามอบแด่พวกท่าน นี่เป็นชาซีหูหลงจิ่ง คือชาที่เก็บก่อนเทศกาลชิงหมิงแบบต้นตำรับ ! ” หลินเว่ยเว่ยรู้ว่านอกจากนายท่านเผิงจะเป็นคนชอบกินแล้วยังชอบจิบชา ทว่าแดนเหนือมีชาดีน้อยมาก นานทีปีหนถึงจะได้ชามาสักห่อ ทว่าก็ต้องเก็บไว้ชงเพื่อรับแขก ส่วนตนเองทำใจดื่มไม่ลงสักครา

นายท่านเผิงรับห่อใบชามาถือไว้ แต่ดวงตายังมองไปบนเกวียน “ดี ดี…ยังมีอีกหรือไม่ ? ”

นางเผิงได้ลูกสะใภ้ใหญ่ประคองออกมา พอได้ยินถ้อยคำของตาแก่คนนี้แล้ว ใบหน้าสูงวัยของนางก็รู้สึกร้อนผ่าวทันใด นางจึงเค้นเสียงดุ “ตาแก่คนนี้ ! ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงเข้าใจผิดว่าเจ้ารังเกียจที่อีกฝ่ายมอบของให้น้อยไป ! ข้าวแดง แฮมจินหัวและชาซีหูหลงจิ่งที่เสี่ยวเว่ยนำมาฝากล้วนเป็นของดี ถึงจะมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ แล้วเจ้ายังอยากได้สิ่งใดอีก ? หืม ? ”

หลินเว่ยเว่ยรู้ว่านายท่านเผิงหมายถึงสิ่งใด นางจึงหมุนตัวไปหยิบโถกระเบื้องเคลือบสองใบจากบนเกวียนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าขนมปังกรอบคราวก่อนของลุงเผิงน่าจะกินหมดแล้ว เมื่อวานจึงทำเพิ่มอีกเล็กน้อย โถนี้เป็นขนมปังกรอบรสเค็ม ส่วนโถนี้เป็นคุกกี้เมล็ดต้นเจินรสไม่หวานมาก”

“ดี ดี ! เสี่ยวเว่ย เจ้าช่างเข้าใจลุงเหลือเกิน ! ” นายท่านเผิงไม่สนใจชาชั้นเลิศอีกต่อไป เขายัดมันใส่มือภรรยา จากนั้นก็กอดโถกระเบื้องเคลือบสองใบราวกับลูกรัก ทุกครั้งก่อนที่เขาจะเอนหลังในตอนบ่าย สิ่งที่ทำให้รู้สึกมีความสุขที่สุดคือการชงชาชั้นดีหนึ่งกาเพื่อกินกับขนมเหล่านี้สองสามชิ้น แค่นั้นเขาก็มีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว…ครอบครัวลูกสะใภ้บ้านนี้ถือว่าถูกใจเขามาก !

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเผิงพูดกับหลินเว่ยเว่ย “เสี่ยวเว่ย ข้าเย็บชุดให้เจ้ากับเฉียงเอ๋อร์คนละชุด เจ้านำกลับไปลองว่าใส่ได้พอดีตัวหรือไม่ ! ”

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเผิงมีฝีมือเย็บปักดีใช้ได้ น่าเสียดายที่มีเจ้าตัวแสบเพียงคนเดียว ในบ้านไร้เด็กผู้หญิงให้นางจับแต่งตัว หลังจากไปมาหาสู่กับบ้านตระกูลหลินได้สองสามครั้ง นางก็ค่อนข้างพอใจกับนิสัยใจคอของคนตระกูลหลินและว่าที่น้องสะใภ้ แม้บุตรสาวคนโตใจแคบไปหน่อย แต่ก็รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่ว่าทำงานหรือพูดจาก็กระฉับกระเฉง ดีกว่าพวกก้อนแป้งที่ไม่ได้เรื่องได้ราวตั้งเยอะ !

เด็กสาวทั้งสองคนของตระกูลหลินล้วนมีรูปร่างหน้าตาดูดี ทำให้นางรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา พอกลับถึงบ้านนางจึงทำชุดกระโปรงให้เด็กทั้งสองคน เสื้อของบุตรสาวคนโตเป็นสีเขียวอ่อน กระโปรงเป็นสีเขียวเข้ม ปักลวดลายบนกระโปรงด้วยด้ายทอง พอใส่แล้วทำให้ดูใจเย็นและงดงาม ให้บรรยากาศเงียบสงบที่ไม่ธรรมดา

ส่วนเสื้อของหลินเว่ยเว่ยเป็นสีแดงสดใส ด้านบนปักไห่ถังดอกใหญ่ กระโปรงเป็นสีเห่งยิ้ง ( ประมาณสีครีม ) และปักด้วยดอกถูหมีเอาไว้ ช่างเหมือนกับนิสัยของนางคือ…ร่าเริงสดใส น่ารักและฉลาดเฉลียว !