บทที่ 300 สายสืบสำนักพุทธ ขยายเกาะสำนักซ่อนเร้น

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 300 สายสืบสำนักพุทธ ขยายเกาะสำนักซ่อนเร้น

การเปิดใช้แบบจำลองการทดสอบนำความคึกคักมาสู่สำนักซ่อนเร้น ในเดือนแรก เหล่าศิษย์ต่างดื่มด่ำไปกับแบบจำลองการทดสอบ มักแลกเปลี่ยนประการณ์การต่อสู้ระหว่างกันหลายครั้งต่อหลายครั้ง รวมถึงเซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และลี่เหยาเองก็ด้วย

การสังหารศัตรูแต่ไม่สร้างความขุ่นข้องหมองใจแก่ศัตรูเช่นนี้ช่างเป็นอะไรที่น่าพิสมัย

ราวกับคนที่ไม่เคยเล่นเกม เมื่อได้พบกับเกมออนไลน์ ผลลัพธ์คือติดงอมแงม!

หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าร่วมด้วย เขาเพียงฝึกบำเพ็ญต่อไป

ระดับความเร็วในการบำเพ็ญของหานเจวี๋ยเพิ่มพูนขึ้นตามไอเซียนและปราณฟ้าประทานของอาณาเขตเต๋าที่ยกระดับขึ้น

บุปผาเทพปู้โจวก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน คาดว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีก็จะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

เวลาเคลื่อนคล้อยไปแรมปี

สิบปีต่อมา ความนิยมอันร้อนแรงของแบบจำลองการทดสอบค่อยๆ ดับมอดลง ทว่าเหลืออีกสองคนที่ยังสนุกกับการทดสอบ นั่นคือมู่หรงฉี่และถูหลิงเอ๋อร์

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการต่อสู้ของเจ้าสองคนนั่นแข็งแแกร่งขึ้นมากจริงๆ

คนอื่นๆ ต่างพากันอิจฉาตาร้อน

หลังจากที่หานเจวี๋ยรู้ว่าพวกเขายังคงแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด

เทพสงครามและมหาเวทล้วนเป็นพวกคลั่งการต่อสู้โดยสัญชาตญาณ!

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์

เขาสาปแช่งไปพลางอ่านจดหมายไปพลาง

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนเผ่าปีศาจ] x39

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านตัวตาย โชคดีที่วิญญาณหลุดรอดมาได้]

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านบังเอิญได้รับสมบัติลึกลับบรรพกาล ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[เจียงอี้สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพภูต]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่ามาร] x263120

[มารสวรรค์เบิกฟ้าสหายของท่านแทรกซึมเข้าไปในกายของพระพุทธองค์ กลายเป็นจิตมาร]

……

เมื่อเห็นว่ายอดแม่ทัพเทพตายลงแล้ว ในใจของหานเจวี๋ยก็กระตุกวูบเล็กน้อย

เขาอดคิดถึงร่างไร้วิญญาณของจักรพรรดิสวรรค์ที่เคยเห็นในวิวัฒนาการกลไกสวรรค์ก่อนหน้านี้ไม่ได้ วังสวรรค์จะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อีกนานเพียงใดกัน

เฮ้อ มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตช่างอันตรายจริงๆ

หานเจวี๋ยทำได้เพียงเตือนตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้เข้าร่วมเคราะห์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องทุกข์ทนไม่ต่างอะไรกับวังสวรรค์

สิ่งที่เขาสามารถช่วยเหลือจักรพรรดิสวรรค์ได้ก็คือการสาปแช่งบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ให้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นถึงมารสวรรค์เบิกฟ้าที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในที่สุดกลายเป็นจิตมารอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่เคยเป็นจิตมารของพุทธะอาภรณ์ขาว หลังจากถูกหานเจวี๋ยพิชิตก็ซ่อนตัวอยู่ในสวรรค์มาโดยตลอด

นี่กลับถือเป็นเรื่องดี ต่อไปในภายภาคหน้าก็จะมีสายลับสอดแนมในสำนักพุทธเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

นิกายเจี๋ยยังคงอยู่

‘เดี๋ยวก่อน! เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจริงๆ เล่า

ไม่ใช่แล้ว!

ข้าเพียงแต่ปกป้องตัวเองเท่านั้น ไม่ได้คิดจะต่อสู้เพื่อใต้หล้าเสียหน่อย’

หานเจวี๋ยปลอบใจตนเอง ก่อนที่จะสงบใจลงได้อีกครั้ง

หนึ่งเดือนให้หลัง หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง และเริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ

บุปผาเทพปู้โจวข้างวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสามารถผลิตปราณฟ้าประทานได้เพียงพอต่อการฝึกบำเพ็ญของหานเจวี๋ยแล้ว อีกทั้งยังมีต้นฝูซัง ดอกพลับพลึงแดงและอาณาเขตเต๋า จึงทำให้เกาะสำนักซ่อนเร้นรุ่มรวยไปด้วยไอเซียน มู่หรงฉี่ยังเคยกล่าวว่า ไอเซียนของวังสวรรค์ยังมีไม่ถึงหนึ่งในห้าของไอเซียนที่นี่

ความเร็วของบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรในการแปลงแรงกรรมเพิ่มระดับมากขึ้น และการบำเพ็ญของหานเจวี๋ยก็เรียกได้ว่าเร็วขึ้นเช่นกัน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ถึงหนึ่งร้อยปี หานเจวี๋ยก็จะสามารถทะลวงระดับจักรพรรดิเซียนสี่วัฏได้แน่!

หานเจวี๋ยตั้งตารอคอยให้วันนั้นมาถึง

ต้วนหงเฉินยังคงถูกคุมขังอยู่ในโลกอนธการ เหมือนกับจอมปีศาจคุกรัตติกาลในตอนครานั้นไม่มีผิด เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ กลัวว่าวิญญาณเทพของตนจะถูกบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรกลืนกินจนหมดสิ้น

หานเจวี๋ยตั้งใจจะกักขังเขาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะตายไปหรือว่ายอมศิโรราบ

ในช่วงมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต การฆ่าสังหารศัตรูเป็นการสืบทอดแรงกรรมของอีกฝ่าย แม้หานเจวี๋ยจะสามารถดูดซับแรงกรรมได้ แต่ก็ต้องใช้เวลา หากเขาสืบทอดแรงกรรมหนักของต้วนหงเฉินมาโดยตรง เช่นนั้นจะต้องนำโชคร้ายมาสู่ตัวเขาอย่างแน่นอน

ทุกครั้งที่นึกถึงต้วนหงเฉิน หานเจวี๋ยก็จะคาดเดาว่าผู้ฝ่าเคราะห์แท้จริงแล้วมีกี่คนกันแน่

……

สามสิบปีต่อมา

การประลองภายในครั้งแรกของสำนักซ่อนเร้นสิ้นสุดลงแล้ว การแข่งขันทั้งหมดจัดขั้นในแบบจำลองการทดสอบ หานเจวี๋ยได้อันดับหนึ่ง จอมปีศาจคุกรัตติกาลได้อันดับสอง และพุทธะอาภรณ์ขาวเป็นอันดับสามอย่างไม่มีข้อกังขา

อันดับที่สี่คือมู่หรงฉี่ เขาสามารถล้มหงส์คุกรัตติกาลระดับเซียนทองไท่อี่ได้ สมแล้วที่เป็นเทพสงคราม

อันดับที่ห้าคือลี่เหยา ระดับเซียนลึกล้ำไท่อี่เต็มขั้นอย่างนางก็สามารถท้าทายระดับเซียนทองไท่อี่ได้เช่นกัน

ตามมาด้วยหงส์คุกรัตติกาลทั้งสองตัว

และตบท้ายด้วยสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นที่อ่อนแอที่สุด

เซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เข้าร่วม พวกนางได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากหานเจวี๋ย อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หากเข้าร่วมก็มีแต่จะนำความอัปยศมาสู่ตนเอง

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นรู้สึกหงุดหงิด

และคนที่หงุดหงิดไม่ต่างกันคือโจวหมิงเยวี่ย เขาถูกฉู่ซื่อเหรินอาจารย์ของตนหมายหัวเข้าให้แล้ว

ฉู่ซื่อเหรินเอาชนะใครไม่ได้เลย เขาพ่ายแพ้ให้แม้กระทั่งสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น แต่ก็ยังสามารถเอาชนะโจวหมิงเยวี่ยได้ ซ้ำยังเอาชนะได้อย่างราบคาบทีเดียว

คนอื่นๆ ล้วนแต่สังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างอาจารย์และศิษย์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากการประลองครั้งนี้เสร็จสิ้นลง บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ฝึกบำเพ็ญกันอย่างเอาเป็นเอาตายมากยิ่งขึ้น ด้วยไม่อยากให้ใครพิชิตตนได้

ในด้านของตบะ หานเจวี๋ยก็เข้าใกล้ระดับจักรพรรดิเซียนสี่วัฏมากขึ้นทุกที

วันนี้เอง

หานเจวี๋ยมาเยือนถ้ำเทวาของเซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ตามมาด้วย หานเจวี๋ยเตรียมตัวแสดงโอวาทให้กับทั้งสองคน

“สิงหงเสวียนเล่า? เหตุใดหลายปีที่ผ่านมานี้ถึงไม่พบนางเลย” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด เขาบอกไปตามตรงว่าสิงหงเสวียนกลับชาติไปเกิดใหม่แล้ว

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ตกตะลึง เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ

เซียนซีเสวียนมองไปทางหานเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ

มือของหานเจวี๋ยเคยสัมผัสวัฏจักรบ้างหรือไม่

หานเจวี๋ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเองไม่จำเป็นต้องคิดมาก ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด แต่หากพวกเจ้าอยากกลับไปยังโลกเขย่าพิภพ ข้าก็สามารถส่งพวกเจ้ากลับไปได้ ข้าเองก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญจนแข็งแกร่งเพื่อข้า”

นี่เป็นความสัตย์จริง

เขายินดีที่จะเลี้ยงดูหญิงสาวทั้งสองคน หลักๆ ก็เพื่อระลึกถึงอดีต

ได้เห็นพวกนางทั้งสอง หานเจวี๋ยก็ได้หวนคิดถึงตนเองที่แสนอ่อนแอในอดีต คอยเตือนใจตนเองไม่ให้หลงระเริง อย่าได้หยุดฝึกบำเพ็ญ

“เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากกลับไปแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่กับศิษย์น้อง ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าอาจจะมีชีวิตเป็นอมตะก็ได้” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ปกตินางมักจะขยันขันแข็งอยู่เสมอ นอกจากฝึกบำเพ็ญแล้ว หานเจวี๋ยยังถ่ายทอดค่ายกลและโอสถนานาชนิดที่ตนเองได้รับมาให้กับนาง เพื่อให้นางไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เหมาะกับการเป็นอัจฉริยะรอบด้าน หากมุ่งเน้นแต่การฝึกบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวยากที่จะประสบความสำเร็จได้

เซียนซีเสวียนกล่าวเสียงแผ่ว “ข้าเองก็จะอยู่ที่นี่เช่นกัน หากวันหน้ามีเรื่องใดที่ต้องการให้พวกเราช่วย จงบอกมาได้เลย อย่าได้นึกถึงมิตรภาพในอดีต และปฏิบัติต่อพวกเราพิเศษกว่าผู้อื่น”

นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหานเจวี๋ย สายตายังคงอ่อนโยนดั่งวันวาน

หานเจวี๋ยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ได้ปฏิบัติเป็นพิเศษอะไรสักหน่อย ปกติศิษย์คนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ทำอยู่แล้ว”

จากนั้น เขาก็เริ่มแสดงโอวาทให้แก่หญิงสาวทั้งสอง

หญิงสาวทั้งสองล้วนแต่อยู่ในระดับมหายานแล้ว ห่างจากระดับเซียนอิสระแค่เพียงเอื้อม

หลังจากแสดงโอวาทเป็นเวลาครึ่งปี หานเจวี๋ยถึงได้จากไป

หานเจวี๋ยไม่ได้กลับเข้าถ้ำเทวาในทันที แต่กลับเดินสำรวจรอบเกาะสำนักซ่อนเร้นแทน

ตั้งแต่ยกระดับอาณาเขตเต๋า มิติภายในอาณาเขตเต๋าก็ขยายใหญ่ขึ้น รอบเกาะสำนักซ่อนเร้นปรากฏทะเลขึ้นมา ซึ่งเกิดมาจากน้ำพุใต้ธรณี หากเตร็ดเตร่ไปตามพื้นที่ทะเลแถบนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในอาณาเขตเต๋า ไม่ได้หลุดออกไปจากเกาะสำนักซ่อนเร้นแต่อย่างใด

เดิมทีเกาะสำนักซ่อนเร้นก็มีขนาดไม่เล็กเป็นทุนเดิม นับตั้งแต่เขาเพียรบำเพ็ญเซียนย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ ไอเซียนก็ฟุ้งกระจาย ขุนเขาแห้งแล้งบนเกาะก็เริ่มผลิตของล้ำค่าฟ้าดินขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามจนแน่นขนัด มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นดินแดนในอุมดมคติ

บรรดาศิษย์สำนักซ่อนเร้นต่างแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปทั่วเกาะ หงส์คุกรัตติกาลเจ็ดตัวรวมตัวกันอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง พี่น้องภูตน้ำเต้าทั้งแปดก็ยึดครองพื้นที่บนภูเขาลูกหนึ่งด้วยเช่นกัน

หานเจวี๋ยเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ ก็พลันมีอักขระแจ้งเตือนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา

[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]

………………………………………………..