Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 36 รอวสันต์มา
บทที่ 36 รอวสันต์มา
โดย
Ink Stone_Romance
สายลมวสันต์เดือนสองดั่งกรรไกร
สือชิงพันผ้าโพกหัวไว้รอบใบหน้าใหม่ เงยหน้ามองไปด้านหน้ามองเห็นด่านและทหารที่ตรวจตราคนเดินทางอยู่เลือนรางแล้ว
ใกล้ถึงแล้ว
สือชิงมองตะกร้าไม้ไผ่ด้านหน้าร่าง
สือชิงไม่ใช่พ่อค้าที่เข้าเมืองหลวง ที่วางอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ก็ไม่ใช่ผักผลไม้ธัญพืชที่บ้านผลิต แต่เป็นเด็กที่ถูกผ้าคลุมห่อไว้คนหนึ่ง
ไม่ใช่แค่เด็กคนหนึ่ง ในตะกร้าด้านหน้าด้านหลังสองใบต่างมีเด็กน้อยคนหนึ่ง คนหนึ่งโตหน่อย คนหนึ่งเล็กหน่อย
“ต้าหนิวเอ๋ย ใกล้ถึงแล้วนะ เจ้าอดทนอีกหน่อย” สือชิงยื่นมือยัดผ้าห่มนิดหนึ่ง เอ่ยกับเด็กน้อยด้านใน
เด็กไม่มีปฏิกิริยาสักนิด ราวกับหลับอยู่
สือชิงถอนหายใจ หันหลังมามองด้านหลังร่าง
“เอ้อหนิว?” เขาตะโกนเรียก
ศีรษะหนึ่งยื่นออมาจากในผ้าห่ม เผยเด็กน้อยใบหน้ากลมแห้งแดงคนหนึ่ง ดวงตาโตกะพริบปริบๆ
บนหน้าสือชิงเผยรอยยิ้ม
“นั่งดีๆ ล่ะ พวกเราจะเร่งเดินทางต่อ” เขาเอ่ย
เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหดกลับไปในผ้าห่มอีกครั้ง
“คนบ้านเดียวกันท่านนี้” คนเดินถนนคนหนึ่งพลันก้าวเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าจะไปวัดกวงหวาหรือ?”
คนเดินถนนนคนนี้ก้าวเข้ามา แต่ก็รักษาระยะห่างไว้ สายตาที่กวาดมองตะกร้าไม้ไผ่หน้าหลังสองใบยากปิดบังความระแวง
เมืองหลวงด้านนี้ถูกผู้ป่วยฝีดาษปิดล้อม วันนี้มีน้อยคนนักจะพาเด็กมาใกล้ๆ เมืองหลวง นอกเสียจากคนเหล่านั้นที่เดิมทีลูกๆ เป็นฝีดาษ
สือชิงก็ไม่คิดปิดบังเช่นกัน
“ใช่” เขาเอ่ย
คนเดินถนนคนนั้นสีหน้าเวทนาอยู่บ้าง
“เจ้าอย่าไปเสียดีกว่า” เขากดเสียงเบาเอ่ย ท่าทางวิตกมองไปด้านหน้า “เจ้ายังไม่รู้หรือ”
ไม่รู้? ไม่รู้อะไร?
“ข้ารู้ว่าคุณหนูจวินหมอเทวดาอยู่ที่วัดกวงหวารักษาฝีดาษ” สือชิงเอ่ย
คนเดินถนนคนนั้นโบกมือ
“นั่นล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง” เขากดเสียงเอ่ย “ฝีดาษด้านนั้นรักษาไม่หายสักนิด”
รักษาไม่หาย? หลอกหลวง? สือชิงสีหน้าตกตะลึง เป็นไปได้อย่างไรเล่า….
“ตอนนี้ด้านนั้นไม่พูด กลัวพวกเจ้าวิ่งส่งเดช ไปแล้วก็จะถูกขัง” คนเดินถนนกดเสียงเอ่ย “ได้ยินว่าคนที่ตายด้านในวัดกวงหวากองสุมพะเนิน”
ถึงกับเป็นเช่นนี้หรือ?
สือชิงไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“คำพูดนี้ก็ไม่ให้พูด ทางการที่อื่นล้วนเริ่มห้ามผู้ป่วยฝีดาษออกจากบ้านแล้ว ใกล้ๆ เมืองหลวงไม่ให้พูดก็เพราะกลัวพวกเจ้าวิ่งหนีส่งเดช” คนเดินถนนกดเสียงเบา หน้าตาเวทนาอยู่บ้าง “รีบกลับไปเสียเถอะ ไปที่นั่นก็รอความตาย”
เขาพูดจบก็หดหัวก้าวเร็วไวจากไปแล้ว
สือชิงยืนอยู่ที่เดิมนิ่งงัน
รักษาไม่หายงั้นหรือ? ไปที่นั่นก็รอความตายงั้นหรือ
เขามองเด็กในตะกร้าไม่ไผ่ด้านหน้าร่าง ไปที่ไหนก็รอความตายเหมือนกัน เขากัดฟันก้มร่างแบกหาบ ก้าวยาวโงนเงนมุ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าเล่ากันน่ากลัวปานใด วัดกวงหวาก็เป็นสถานที่เดียวที่มีความหวัง
ผ่านด่านอย่างราบรื่น สือชิงแบกความวิตกเล็กน้อยสอบถามทหารว่าที่วัดกวงหวารักษาฝีดาษได้ไหม? บรรดาทหารเอ่ยหนักแน่นเด็ดขาดว่าได้ หลังจากนั้นอารักขาเขามาส่งถึงวัดกวงหวา
หากไม่ได้พบคนเดินถนนคนนั้นก่อนหน้านี้ การปฏิบัติเช่นนี้สือชิงคงขอบคุณไม่หมดสิ้น แต่ตอนนี้ในใจเขากลับเพียงยิ่งรัวกลอง
นี่จริงๆ ไม่ใช่อารักขามาส่ง เป็นคุมตัวมาส่งสินะ เหมือนอย่างที่คนเดินถนนคนนั้นพูดกลัวพวกเขาวิ่งวุ่น
ไม่ว่าอย่างไร สือชิงก็แบกเด็กน้อยสองคนมาถึงวัดกวงหวา
“มาด้านนี้ลงทะเบียน”
มีพวกคนงานที่สวมเสื้อผ้าเหมือนกันเรียกเขา ดูไปแล้วเป็นระบบระเบียบ สีหน้าก็ผ่อนคลายอ่อนโยน ไม่กดดันเหมือนนรกบนดินอย่างนั้น
“เด็กทั้งสองคนของเจ้าล้วนเป็นหรือ?” คนงานคนหนึ่งเอ่ยาม
สือชิงส่ายศีรษะ
“คนโตคนนี้เป็น คนเล็กไม่ได้ติดโรค” เขาเอ่ย สีหน้าโศกศัลย์อยู่บ้าง มองดูเด็กน้อยที่นั่งอยู่ในตะกร้า “แม่ของพวกเขาไม่อยู่แล้ว บ้านข้าก็ไม่มีคนอื่น คนโตป่วย คนอื่นล้วนหวาดกลัว คนเล็กคนนี้ข้าก็ไม่มีที่ส่งไปฝาก ได้แต่พามากับตนเอง”
ไม่อย่างนั้นใครจะกล้าพาเด็กแข็งแรงมายังสถานที่ชุมนุมของผู้ป่วยโรคฝีดาษเช่นนี้ หลบยังหลบไม่ทัน
สิ้นเสียงของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“พี่ชาย พี่ชาย” เสียงเด็กร้องเรียก “ท่อไม่ไผ่ยังมีที่ไหนอีกไหม?”
สือชิงมองไปโดยไม่ทันคิด เห็นเด็กผู้ชายอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งวิ่งมา บางทีอาจเพราะขยับตัววิ่งดวงหน้ากลมจึงแดงระเรื่อ
นี่เป็นเด็กที่แข็งแรงคนหนึ่ง
ที่นี่ยังใช้เด็กทำงานด้วยหรือ? สือชิงตกตะลึงยิ่ง
“เสี่ยวซื่อรึ” คนงานกวักมือให้เด็กคนนั้น “ท่อไม้ไผ่ข้าไปส่ง เจ้ามาพาคุณลุงคนนี้กับลูกของเขาเข้าไปให้ท่านหมอตรวจก่อน”
เด็กที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวซื่อรับคำ กวักมือให้สือชิง สือชิงสีหน้าไม่สงบแบกคานหาบตามไป ตลอดทางสายตาหมุนรอบตัวเด็กคนนี้ไม่หยุด
“เจ้ามาที่นี่นานเท่าไรแล้ว?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม
เสี่ยวซื่อเดินกระโดดโลดเต้นได้ยินเข้าก็หันมา
“สิบกว่าวันแล้วกระมัง” เขาคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “จำไม่ค่อยได้แล้ว”
สิบกว่าวันแล้ว
“เจ้ามาที่นี่ทำงานหรือ?” สือชิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ก็ไม่นับว่าใช่” เสี่ยวซื่อเอ่ย
สือชิงยังอยากถามอะไรอยู่ก็เห็นเสี่ยวซื่อก้าวเท้าไวขึ้น
“ท่านหมอควั่ง” เขาร้องเรียก “มีคนป่วยมาอีกแล้ว”
ท่านหมอคนหนึ่งได้ยินเสียงเดินมา มองเห็นสือชิงก็ยิ้มอ่อนโยนให้ เอ่ยทักทาย แล้วค้อมกายสำรวจดูเด็กในตะกร้าไม้ไผ่ของสือชิง
“เวลาที่ป่วยไม่น้อยแล้ว” ท่านหมอควั่งเอ่ย
สือชิงพยักหน้าขมขื่น
“ขอร้องท่านหมอท่านช่วยเด็กด้วย” เขาสะอื้นเอ่ย กำลังจะคุกเข่า
ท่านหมอควั่งรีบพยุงเขาไว้
“พวกเราจะพยายามเต็มที่” เขาเอ่ย “แต่เจ้าก็รู้ฝีดาษรักษาไม่ง่าย”
ไม่บอกว่ารักษาได้จริงๆ ด้วย ในใจสือชิงผิดหวังอยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้อีก เขาพยักหน้า
“ข้าดูเด็กคนนี้หน่อยซิ…” ท่านหมอควั่งเอ่ย แล้วไปที่ตะกร้าไม้ไผ่อีกด้านหนึ่ง ร้องเอ๋
“เด็กคนนี้ไม่ป่วย” สือชิงเอ่ย
“ไม่ป่วยสินะ” ท่านหมอควั่งเอ่ย มองดูเด็กคนนี้ เหมือนคิดอะไรอยู่ “เจ้าก็พาเขามาด้วย”
สือชิงรีบบอกความลำบากของตนเอง สายตามองไปทางเสี่ยวซื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างอีกครั้ง ยิ่งคิดยิ่งอดกลั้นไว้ไม่อยู่
“ท่านหมอ เด็กที่ไม่ได้เป็นโรคอยู่ที่นี่ไม่เป็นไรหรือ?” เขาเอ่ย
ท่านหมอควั่งหัวเราะแล้ว มองไปทางเสี่ยวซื่อด้วย
“เด็กที่ไม่เป็นโรคน่ะหรือ อยู่ที่นี่ของพวกเราไม่เป็นไรจริงๆ” เขาเอ่ย มองไปทางสือชิงอีกครั้ง “แม้พวกเราไม่แน่ว่าจะรักษาเด็กที่ป่วยเป็นโรคให้หายดีได้ แต่พวกเราทำให้เด็กที่ไม่ป่วยไม่ถูกฝีดาษเล่นงานได้”
อะไรนะ?
สือชิงประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด
ทำให้เด็กที่ไม่ป่วยเป็นโรคไม่ถูกฝีดาษเล่นงานได้! ทำได้จริงหรือ?
“ทำได้แน่นอน” ท่านหมอควั่งยิ้มเอ่ย ยื่นมือชี้เสี่ยวซื่อ “เขาก็ใช่นะ ไม่ใช่แค่เขา พวกเราที่นี่ยังมีเด็กอีกสี่คนแหนะ”
ราวกับเพื่อพิสูจน์คำพูดของเขา เสียงพูดคุยหัวเราะของเด็กลอยมาจากด้านใน สือชิงมองเห็นเด็กสี่คนแบกเสื้อผ้ากะละมังใหญ่เดินออกมา เหมือนกับจะไปตากแดด
เด็กสี่คนนี้คนที่โตที่สุดอายุสิบเอ็ดสิบสองปี คนที่เล็กที่สุดเพิ่งอายุสามสี่ปี วิ่งดุกดิกตาม
“ท่านพี่ ท่านพี่ ให้ข้ายกด้วย ให้ข้ายกด้วย”
เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นในหู
สือชิงทั้งร่างชาหนึบ เขาพลันคุกเข่าดังตึกลงมา
“ท่านหมอ โปรดช่วยลูกของข้าด้วย ให้ลูกของข้าก็ไม่ถูกฝีดาษเล่นงานด้วยเถอะ” เขาตะโกน
หากชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลกับฝีดาษอีก นี่ก็คือความหวัง นี่สิถึงเป็นความหวัง
…
“คุณหนูจวิน”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก้าวเข้ามาในโถงพระพุทธรูป มองเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าหีบยาชั้นแล้วชั้นเล่า
นี่ล้วนเป็นหน่อฝีที่รวบรวมมาในช่วงนี้
“เด็กที่มาใหม่ถูกปลูกฝีคนนั้นเป็นอย่างไรแล้ว?” คุณหนูจวินหมุนตัวมาเอ่ยถาม
ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้า
“ไม่เป็นปัญหา กระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อยังไม่มี เมื่อวานตัวร้อน วันนี้ก็วิ่งเล่นกับโจวเหมาเหมาไปทั่วแล้ว” เขาอมยิ้มเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนยังมีอะไรกังวลสงสัยอีกไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
ท่านหมอเฒ่าเฝิงส่ายศีรษะ
“ไม่มีแล้ว” เขาเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ประกาศข่าวนี้เถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย ยืนอยู่หน้าประตูโถงพระพุทธรูมองออกไป “ให้คนทุกคนได้รู้ พวกเราที่วัดกวงหวาแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สังหารคน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ช่วยชีวิตคนเป็นมาตลอด”
……………………………………….