บทที่ 375 วิธีทำกระดาษ
หนานกงสือเยวียนมองของในมือเสี่ยวเป่าค่อย ๆ พร่าเลือนลง สุดท้ายก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าจะเคยสัมผัสห้องสมุดมาแล้ว ทว่ายามนี้เมื่อได้เห็นเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ก็ยังคงตื่นตะลึงงันอยู่ดี
เขาลูบหัวเสี่ยวเป่า ภายในใจยิ่งมุ่งมั่นจะร่วมใต้หล้าเป็นหนึ่ง
หนึ่งเหตุผลคือหนังสือประวัติศาสตร์กระตุ้นความทะเยอทะยานของเขาขึ้นมา อีกเหตุผลก็เพื่อตัวของเสี่ยวเป่าเอง
เสี่ยวเป่าของเขาเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้ได้ แต่หากในอนาคตมีผู้บังเอิญรู้ เขาก็ต้องมีความแข็งแกร่งพอจะปกป้องนางจากทั่วใต้หล้า
ดังนั้น…
ดวงตาของหนานกงสือเยวียนสว่างวาบ อย่างน้อยตลอดชั่วชีวิตของเขาก็ต้องสามารถปัดเป่าเภทภัยคุ้มครองนางได้
ขณะเดียวกันเสี่ยวเป่าที่ยังไม่ทราบถึงความมุ่งมั่นของท่านพ่อกำลังมองพู่กัน กระดาษ แท่งหมึก และแท่นฝนหมึกในมือตนเอง
ความจริงแล้วกระดาษซวนที่ฮ่องเต้ใช้เทียบคุณภาพแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากกระดาษในห้องสมุดมากนัก แต่กระดาษนี่เป็นเครื่องบรรณาการที่ส่งมอบให้ต้าเซี่ย ราคาแพงอย่างยิ่ง อีกทั้งวัสดุที่ใช้ทำก็พิเศษ ทำให้ผลิตกระดาษประเภทนี้ออกมาได้น้อยนิด
แม้ในสายตาของนางจะมองว่าตัวอักษรของตนตรงและสง่า แต่ในสายตาของท่านพ่อก็เป็นเพียงแค่ภูเขาโย้เย้ นับได้ว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอย่างยิ่งที่จะให้นางใช้กระดาษอันหายากเหล่านี้ในการคัดลอกหนังสือ
ทว่าหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นชูมือให้กำลังใจตนเองอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นไร นางสามารถหาวิธีทำกระดาษได้!
คิดถึงตรงนี้แล้ว เสี่ยวจึงวิ่งเริงร่าไปหยิบหนังสือมาเริ่มทำการคัดลอกบนโต๊ะ
แต่… ห้องสมุดใหญ่โตปานนี้กลับมีนางอยู่เพียงผู้เดียว ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนัก
เสี่ยวเป่าพึมพำ เร่งลงมือคัดลอก ก่อนรีบจากไปทันทีที่เสร็จเรียบร้อย
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในมือของนางก็ปรากฏกระดาษที่นางเขียนเอง
ทว่าสิ่งอื่นไม่ได้ออกมาด้วย มีเพียงแค่กระดาษในมือเท่านั้น
“ท่านพ่อดูสิ!”
เสี่ยวเป่าชูกระดาษที่เขียนด้วยตัวอักษรขนาดต่างกันเล็กน้อยให้เขาดูด้วยความตื่นเต้น
ด้านบนเขียนด้วยคำว่า ‘วิธีทำกระดาษ’
ความจริงแล้วในหนังสือที่นางอ่านมีรูปภาพอยู่ แต่เสี่ยวเป่าไม่สามารถวาดออกมาได้
หนานกงสือเยวียนรับมาอ่านอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีดำขลับทอประกายด้วยความประหลาดใจ
“ที่แท้วัตถุดิบในการทำกระดาษก็เรียบง่ายปานนี้”
หนานกงสือเยวียนใช้ปลายนิ้วลูบลงบนกระดาษ การสอบคัดเลือกคนที่เขาตั้งขึ้นมานั้นคล้ายคลึงกับการสอบเคอจวี่ในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ยากอย่างยิ่งที่จะแพร่ออกไป เหตุผลประการสำคัญก็คือเหล่าตำราล้วนมีราคาสูงลิ่ว กระทั่งพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกก็มีราคาสูงมากเช่นกัน
ตอนนี้ยังมีบางคนที่ใช้แผ่นไม้ไผ่อันเทอะทะแต่มีราคาถูกเสียด้วยซ้ำ
หากผลิตกระดาษในปริมาณมากได้ก็จะทำให้มีคนจำนวนมากสามารถเล่าเรียน การคัดเลือกผู้มีความสามารถก็จะหลากหลายและดียิ่งขึ้น เช่นนั้นก็จะทำลายการผูกขาดทางสายเลือดได้
ตระกูลขุนนางใหญ่ที่รับราชการตลอดหลายชั่วอายุคน นับเป็นหอกข้างแคร่ที่ทิ่มแทงใจฮ่องเต้มาโดยตลอด
ตอนนี้มีเขาอยู่ ตระกูลเหล่านั้นจึงประพฤติตนดีสงบเรียบร้อย แต่หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น หนานกงสือเยวียนไม่ต้องคิดเลยเสียด้วยซ้ำ ตระกูลขุนนางเหล่านี้จะต้องแสดงอำนาจเปิดเผยเขี้ยวเล็บออกมาอย่างแน่นอน
หนานกงสือเยวียนยอมรับว่าตนเองอาจไม่ใช่พ่อที่ดี แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องการให้ลูกหลานรุ่นหลังที่ขึ้นมานั่งยังตำแหน่งนี้ถูกกดดันคุกคามจากเหล่าตระกูลขุนนางทรงอำนาจเหล่านี้
ดังนั้น… กระดาษจึงจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริม รวมทั้งการสอบเคอจวี่ด้วย
อืม เขาต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นให้จบ จากนั้นก็ค่อยลอกการบ้านมาใช้ การสอบเคอจวี่ในสมัยราชวงศ์หลัง ๆ ในหนังสือประวัติศาสตร์ค่อนข้างจะสมบูรณ์อยู่พอสมควร
สำหรับเรื่องลอกการบ้านเหล่าฮ่องเต้จากอีกโลกหนึ่ง หนานกงสือเยวียนไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย ต่อให้เขาลอกมันมา ฮ่องเต้เหล่านั้นก็ไม่มีทางมาเอาเรื่องที่โลกของเขาได้ หรือต่อให้มีความสามารถมาได้จริง ๆ หนานกงสือเยวียนหรือจะกลัว
ฮ่องเต้ผู้หนึ่งกำลังคิดอย่างเจ้าเล่ห์และไร้ยางอาย
“ไปเรียกรัชทายาทมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูไห่ตอบรับ
ตอนนี้องค์ชายใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชาทายาทแล้ว เขาย้ายกลับจากจวนอ๋องมายังตำหนักองค์ชายเป็นที่เรียบร้อย
“เจ้ายังสามารถพาเข้าไปได้อีกหนึ่งคนใช่หรือไม่”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “จะให้พี่ใหญ่เข้าไปดูตำราใช่หรือไม่”
หนานกงสือเยวียนส่ายหัว “อย่าเพิ่งบอกใครเรื่องนี้”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจรัชทายาท แต่หัวใจคนนั้นเปลี่ยนง่ายยิ่งกว่าการพลิกฝ่ามือ
เสี่ยวเป่าเป็นลูกสาว ทั้งยังเป็นลูกสาวเพียงผู้เดียว เขาจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องนาง
ทว่ารัชทายาทนั้นต่างออกไป เขาเป็นเพียงแค่พี่ชายของเสี่ยวเป่า
ในอนาคตเขาย่อมต้องแต่งชายา มีลูกชายลูกสาวของตนเอง เสี่ยวเป่าเป็นเพียงแค่น้องหญิง ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเพียงใด สุดท้ายก็จะกลายเป็นสองครอบครัว เมื่อถึงยามนั้นหากเขายังอยู่ย่อมสามารถปกป้องเสี่ยวเป่าได้
แต่หากเขาไม่อยู่แล้วเล่า
เขาไม่อาจรับประกันได้ว่าความรักดูแลทะนุถนอมที่รัชทายาทมีต่อเสี่ยวเป่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในอนาคตย่อมมีเรื่องราวมากมายที่สามารถเปลี่ยนคนได้
“อย่าบอกความลับเรื่องห้องสมุดของเจ้ากับผู้ใด”
หนานกงสือเยวียนกำชับด้วยท่าทางจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
แม้เสี่ยวเป่าจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นางมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเรียบง่าย ทุกอย่างล้วนทำตามหัวใจ อาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างโง่งม ดังนั้นนางจึงควรเชื่อฟังคำของท่านพ่อ
หนานกงสือเยวียนอุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้ ระหว่างรอก็เอ่ยเล่าบางเรื่องราวให้นางได้ฟัง เกี่ยวกับแผนการร้ายในราชสำนัก เพื่อต้องการให้นางได้รู้ถึงความอันตรายที่อยู่รอบตัว
ก่อนหน้าเขาไม่เคยเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เสี่ยวเป่าฟังมาก่อน เพราะไม่ต้องการให้สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้มาแปดเปื้อนหัวใจอันบริสุทธิ์ของนาง อย่างไรเสียก็มีเขาและเหล่าพี่ชายอยู่ จะต้องสามารถปกป้องเสี่ยวเป่าได้ตลอดชั่วชีวิตอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้แตกต่างออกไป เขากลัวว่าหากเสี่ยวเป่าเติบโตขึ้นมาอย่างไร้เดียงสาเกินไปแล้วถูกหลอกล่อให้เปิดเผยความลับออกมาโดยไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนั้นจริงนั่นย่อมเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก
เสี่ยวเป่าอิงแอบในอ้อมแขนของท่านพ่อพร้อมตั้งใจฟัง
จนกระทั่งถึงตอนที่ฝูไห่ประกาศว่ารัชทายาทมาถึง
หนานกงฉีซิวเดินเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง “เสด็จพ่อ”
เมื่อเห็นเสี่ยวเป่าอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงสือเยวียน หนานกงฉีซิวก็ไม่ได้เปลกใจแม้แต่น้อย
เรียกว่าคุ้นชินเสียด้วยซ้ำ
“พี่ใหญ่~”
เสี่ยวเป่าเอ่ยเรียกด้วยเสียงนุ่มนิ่ม เห็นได้ชัดว่ามีความสุขเป็นอย่างมาก ต้องการจะลุกออกจากอ้อมแขนของท่านพ่อวิ่งไปหา
ทว่ากลับถูกหนานกงสือเยวียนกักตัวไว้
เสี่ยวเป่าทำตัวว่าง่ายขึ้นมาทันที
หนานกงฉีซิวแสร้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของเสด็จพ่อ ทว่าภายในกับรู้สึกอับจนหนทางขึ้นมาเล็กน้อย ท่านพ่อของเขานับวันยิ่งใจแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าเอาสิ่งนี้ไปอ่านดู”
หนานกงสือเยวียนส่งกระดาษไป แต่เป็นกระดาษที่เขาคัดลอกขึ้นมาอีกที ส่วนของเสี่ยวเป่าเขาเอาไปเก็บเรียบร้อยแล้ว
หนานกงฉีซิวอ่านเนื้อหาด้านในอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นใบหน้าหล่อเหล่าสุขุมของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“เสด็จพ่อ วิธีการทำกระดาษที่เขียนเอาไว้เป็นเรื่องจริงหรือ”
หนานกงสือเยวียน “นี่เป็นเหตุให้ข้าเรียกเจ้ามา ไปหาคนให้ลองตรวจสอบวิธีที่เขียนเอาไว้เสีย”
หนานกงฉีซิวพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
เสด็จพ่อ… มอบหมายงานให้อีกแล้ว เขายังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้สะสางรออยู่กองพะเนิน
หนานกงฉีซิวขมวดคิ้ว เหตุใดจึงรู้สึกว่าเสด็จพ่อจงใจหางานให้เขากันนะ
“ไปได้แล้ว”
หนานกงฉีซิวจากไป ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด คนอื่นล้วนคิดว่าการเป็นรัชทายาทคือความรุ่งโรจน์ดีงาม ส่วนรัชทายาทที่แท้จริงอย่างเขากลับเหนื่อยล้ายิ่งนัก
เขายังเป็นเพียงแค่รัชทายาทแสน ‘อ่อนแอ’ เสด็จพ่อช่างไม่อ่อนโยนเอาเสียเลย
“พี่ใหญ่ ท่านมาทำอันใดที่นี่”
ตอนนั้นเองเสียงของน้องหกก็ดังขึ้น เมื่อหนานกงฉีซิวมองไป ก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่น้องหก แต่น้องชายคนอื่น ๆ รวมทั้งเยว่หลีก็อยู่ด้วย อีกทั้งดูจากท่าทางแล้ว พวกเขาดูเหมือนกับกำลังดื่มสุราอยู่