ตอนที่ 343 เข้าใจผิดกันทั้งนั้น

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 343 เข้าใจผิดกันทั้งนั้น

“ก็เพราะเขาเก็บตัวยังไงล่ะ!” หนิวโหย่วเต้ายืนขึ้นมา จากนั้นเดินเข้าไปใต้ชายคา มุ่งหน้าไปทางห้องหนังสือ

ก่วนฟางอี๋ค่อนข้างสงสัย ลุกตามขึ้นมา “คนเก็บตัวก็มีข้อดีในแบบของคนเก็บตัว แต่เขาไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับปัญหาวุ่นวายใดๆ ที่อยู่นอกเหนือจากภาระงานของทางราชสำนัก เจ้าไปหาเขาก็เปล่าประโยชน์”

“คนเก็บตัวมีสาเหตุที่เป็นไปได้อยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น อย่างแรกเป็นเพราะความสามารถมีจำกัด ไร้ศักยภาพไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงต้องเก็บตัว อย่างที่สองเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา กำลังรอดูลาดเลาอยู่ อยากปกป้องตัวเองไว้ก่อนจึงเลือกเก็บตัว อย่างที่สามเป็นเพราะรังเกียจความขัดแย้ง ไม่ชอบชิงดีชิงเด่น ต้องการเก็บตัวอย่างแท้จริง” หนิวโหย่วเต้าเดินไปพลางอธิบายเสียงเบา จากนั้นถามต่อมา “เจ้าคิดว่าอิงอ๋องคนนี้ไร้ความสามารถถึงขนาดที่ต้องเก็บตัวเช่นนี้เหรอ? หากเขาไร้ความสามรถจริงๆ แล้วเหตุใดราชสำนักถึงยังมอบหมายภาระงานให้เขาไปจัดการอยู่เล่า ไม่กลัวเขาทำเสียเรื่องหรือ? จากที่เจ้าว่ามา ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าเขาทำเรื่องเสื่อมเสียงามหน้าอันใดเลยมิใช่หรือ แล้วก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาปฏิบัติงานใดล้มเหลวมาก่อน เจ้าคิดว่าคนที่วางตัวให้อยู่ในระดับกลางๆ ไม่มากไปไม่น้อยไปเช่นนี้ตลอดมันง่ายนักหรือ?”

ก่วนฟางอี๋เข้าใจความหมายของเขาแล้ว “เจ้าจะบอกว่าอิงอ๋องกำลังแสร้งทำเป็นเก็บตัวอยู่เงียบๆ อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ จริงๆ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าองค์ชายที่ถือกำเนิดในราชวงศ์จะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่มีใจหมายปองราชบัลลังก์ และข้าก็เชื่อว่าเขากำลังรอดูลาดเลาอยู่ รอคอยให้โอกาสมาถึง บางครั้งการไม่แก่งแย่งก็คือการแก่งแย่งอย่างหนึ่งเช่นกัน!”

ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญตามแล้วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองพิจารณาเขาหัวจรดเท้า “อายุยังน้อยแท้ๆ ไปเอาความคิดเจ้าเล่ห์ซับซ้อนเช่นนี้มาจากไหนมากมายนัก? ต่อให้เจ้ามีเหตุผล แต่อีกฝ่ายไม่ยอมพบหน้าเจ้า พวกเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าพ่นลมหายใจออกมา เอ่ยขึ้นว่า “เป้าหมายมีความเคลื่อนไหว พวกเขาเริ่มดำเนินการแล้ว ข้าจะเสียเวลากับอิงอ๋องคนนั้นไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องไปพบเขาแล้วเจรจาตกลงโดยเร็วที่สุด ช่วยนำจดหมายของข้าไปส่งให้เขาที!” ว่าพลางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของก่วนฟางอี๋

พอรินน้ำจะฝนหมึก ก่วนฟางอี๋ก็เข้ามาช่วยฝนหมึกให้เขาด้วยตัวเอง ด้วยอยากเห็นว่าเขาจะเขียนอะไร

หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือหลับตาใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง หลังจากลืมตาขึ้นก็หยิบพู่กันจุ่มหมึก จรดพู่กันเขียนอักษรแถวหนึ่งรวดเดียวจนจบ แผ่นดินเลิศวิไลกว้างไพศาล ยวนเย้าชายชาญหมายช่วงชิง! ฤาจะปล่อยให้มุสิกเขลาเข้าครอบครอง? ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร จะพบหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความคิด!

“แผ่นดินเลิศวิไลกว้างไพศาล ยวนเย้าชายชาญหมายช่วงชิง! แผ่นดินเลิศวิไลกว้างไพศาล…” ก่วนฟางอี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างอ่านทวนประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาฉายแววหลงใหลเล็กน้อย สุดท้ายสายตาก็หันมองใบหน้าหนิวโหย่วเต้าที่กำลังวางพู่กันลงช้าๆ แววตาดูซับซ้อน

หนิวโหย่วเต้าหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา เป่าคราบหมึกให้แห้งแล้วส่งให้นาง

ก่วนฟางอี๋ถือไว้พลางมองเล็กน้อย ลองถามหยั่งเชิง “เขียนถ้อยคำเหล่านี้แล้วเขาจะยอมพบเจ้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ลองดูแล้วกัน”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “หากว่ายังไม่ยอมพบล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้ากล้าแตะต้องเขา แต่เขาไม่กล้าแตะต้องข้า ข้าจะสร้างปัญหาให้เขาทันที!”

ทั้งสองเดินออกมาจากห้องหนังสือ พบกับสวี่เหล่าลิ่วที่มาหาพอดี

“พี่ใหญ่ เต้าเหยี่ย!” สวี่เหล่าลิ่วเอ่ยทักคนทั้งสอง เขาเรียกขานก่วนฟางอี๋ด้วยคำเรียกเฉพาะโดยไม่หลบเลี่ยงหนิวโหย่วเต้า คำที่ใช้เรียกขานหนิวโหย่วเต้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน หลังจากเหตุการณ์จับชู้คาเตียงคราวนั้น คนในสวนไม้เลื้อยล้วนเปลี่ยนคำเรียกขานหนิวโหย่วเต้ากันหมด

“มีเรื่องใดหรือ?” ก่วนฟางอี๋ถาม

สวี่เหล่าลิ่วกล่าวว่า “คนกลุ่มหนึ่งจากสำนักหยกสวรรค์มารออยู่ด้านนอก บอกว่าตนคือเฟิงเอินไท่พี่ชายร่วมสาบานของเต้าเหยี่ย ต้องการเข้าพบเต้าเหยี่ยขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากะพริบตาปริบๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “รอดชีวิตกลับมาได้เสียด้วย”

“พี่น้องร่วมสาบานของเจ้านี่เยอะจริงๆ เลยนะ” ก่วนฟางอี๋แค่นหัวเราะพลางกล่าว

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “พี่น้องมากลู่ทางก็มากตาม”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยแดกดัน “อย่างนั้นหรือ คนที่แม้แต่สตรีของพี่น้องร่วมสาบานก็ยังไปหลับนอนด้วยได้ ย่อมอยากมีพี่น้องให้มากหน่อยเป็นธรรมดา”

“พรืด…” สวี่เหล่าลิ่วหลุดหัวเราะทันที

หนิวโหย่วเต้าหน้าตึง เอ่ยไปว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า ข้าไปหลับนอนด้วยตอนไหน?”

ก่วนฟางอี๋หันไปโบกมือสั่งสวี่เหล่าลิ่ว “ให้คนเข้ามาเถอะ!”

ไม่นานนักเฟิงเอินไท่ก็เดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา

พอสองพี่น้องได้พบหน้ากันอีกครั้ง ไม่ว่าใจจริงจะรู้สึกดีใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ต้องแสดงออกว่าดีใจ โอบไหล่พูดคุยทักทาย

หนิวโหย่วเต้าเห็นสีหน้าเฟิงเอินไท่ซีดขาว ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่มาด้วยกันมีส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ามีอาการบาดเจ็บ เขาจึงอดถามไม่ได้ “พี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

เฟิงเอินไท่ถอนหายใจเอ่ยตอบว่า “บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น! ดันพบคนไม่เต็มเต็งกลุ่มหนึ่งเข้า โยนของให้พวกเขาไปแล้ว แต่ก็ยังตามล่าสังหารพวกเราไม่ยอมเลิกรา ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าของยังอยู่ในมือพวกเรา ก็เลยตามไล่ล่ามาตลอดทางด้วย! พอแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย”

เขาโบกมือบอกปัด สีหน้าทุกข์ระทมอย่างแท้จริง

สายตาเขาหันเหไปที่ตัวก่วนฟางอี๋ เห็นได้ชัดว่าเคยพบกันมาแล้ว เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี ข้าสมควรเรียกเจ้าว่าน้องสะใภ้แล้วกระมัง?”

เอ่ยเรียกน้องสะใภ้ออกมาได้ ดูเหมือนจะทราบข่าวของทางนี้แล้ว

ใบหน้าของหนิวโหย่วเต้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมพลางพยักเพยิดหน้าไปทางหนิวโหย่วเต้า ยิ้มละไมกล่าวไปว่า “พี่เฟิงต้องถามเขาว่ายินดีหรือไม่”

เฟิงเอินไท่ถามหนิวโหย่วเต้าทันที “หมายความว่าอย่างไร?”

“คำคนน่ากลัวนัก ไม่อาจเชื่อทั้งหมดได้!” หนิวโหย่วเต้าบอกปัดไปประโยคเดียว ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ แต่เรื่องราวเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย เขายังไม่สะดวกจะบอกความจริงของเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายทราบได้ จึงให้พวกเขากลับไปพักผ่อนก่อน

แต่เฟิงเอินไท่กลับไม่มีทีท่าว่าจะจากไป เอ่ยถามว่า “ที่นี่ไม่มีที่พักสำหรับพวกเราหรือ?”

ก่วนฟางอี๋ไม่ปริปากตอบ เบือนหน้ามองไปอีกด้าน ทำเป็นไม่เข้าใจ

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ด้านนอกก็มีที่พักอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะมิใช่หรือ? แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านข้าด้วย”

เฟิงเอินไท่คว้าแขนเขาลากออกไปคุยกันด้านข้าง “เจ้าอย่าคิดว่าข้าเพิ่งกลับมาแล้วจะไม่รู้เรื่องนะ ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ากับหงเหนียงมาหมดแล้ว สวนไม้เลื้อยใหญ่โตขนาดนี้ แบ่งมาให้พวกเราพักสักเรือนก็เพียงพอแล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้ ท่านเจ้าสำนักออกปากแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับม้าศึกนั้น นับจากนี้ไปทางพวกเราจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”

เรื่องที่เขาก่อขึ้นในครั้งนี้ทำให้เผิงโย่วไจ้โมโหเป็นอย่างมาก โยนปัญหาพ้นมือแล้ว ทว่าศิษย์น้องคนนี้กลับไปคว้าเอาปัญหากลับมาอีก ทำให้ต้องสูญเสียศิษย์ไปอีกจำนวนหนึ่ง เผิงโย่วไจ้ไม่ไว้ใจเขาอีกต่อไป แต่คนที่ทำงานได้เรื่องล้วนไม่มีผู้ใดยอมมาเลย กลับพากันช่วยพูดขอร้องแทนเฟิงเอินไท่ ให้มอบโอกาสแก่เฟิงเอินไท่อีกสักครั้ง

สาเหตุที่ไม่ยอมมาก็เข้าใจได้ไม่ยาก โอกาสสำเร็จมีน้อยเกินไป หากกลับไปโดยที่งานไม่สำเร็จ นอกจากจะเสียหน้าแล้ว ยังจะหมดความน่าเชื่อถือต่อทางสำนักด้วย ตามกฎสำนักแล้ว หากทำภารกิจไม่สำเร็จยังต้องถูกลงโทษด้วย หากไม่ไร้ทางเลือกจริงๆ ย่อมไม่มีผู้ใดอยากรับเผือกร้อนลวกมือหัวนี้ไป

แต่หนิวโหย่วเต้ากลับตรงกันข้าม เผชิญอันตรายในเมืองหลวงแคว้นฉีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็สามารถคลี่คลายผ่านไปได้ทีละขั้นๆ ยังคงอยู่รอดปลอดภัยในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ ซ้ำยังเด็ดบุปผาแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีอย่างหงเหนียงมาครองด้วย

ด้วยเหตุนี้เผิงโย่วไจ้จึงสั่งให้เฟิงเอินไท่ไปอยู่กับหนิวโหย่วเต้า ให้เชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของหนิวโหย่วเต้า

นับว่าหมดหนทางจนยอมลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง หากหนิวโหย่วเต้าสามารถหาม้าศึกกลับมาได้จริงๆ เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องดี หากว่าหาม้าศึกกลับมาไม่ได้ ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ล้วนทำตามคำสั่งเจ้าแล้ว หากปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จผู้ใดต้องรับผิดชอบเล่า? ยังคิดว่าจะได้ส่วนแบ่งจาการค้าสุราอีกหรือ?

ทั้งสองฝ่ายต่างมีช่วงเวลาที่ต้องคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ว่าใครมีกำลังมากกว่าคนนั้นก็มีสิทธิ์ขาด!

สรุปคือไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์จากม้าศึกหรือว่าถรา ยังไงสำนักหยกสวรรค์ก็ต้องได้อย่างใดอย่างหนึ่งไป!

เผิงโย่วไจ้เชื่อว่าหนิวโหย่วเต้าคงไม่กล้าเรียกใช้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ส่งเดชเช่นกัน เว้นแต่ไม่คิดจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานแล้ว

หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วกล่าวไปว่า “คนจากสำนักหยกสวรรค์อย่างพวกท่านจะเชื่อฟังคำพูดข้าทุกอย่าง? จริงหรือเปล่าเนี่ย?”

เฟิงเอินไท่เอ่ยอย่างหนักแน่น “จริงแท้แน่นอน! น้องสาม เจ้าบอกให้ทำอะไรพวกเราก็จะทำตามนั้น…แต่แน่นอนว่าเจ้าจะบังคับให้พวกเราทำเรื่องที่เกินกำลังไม่ได้!”

หนิวโหย่วเต้าแค่นหัวเราะหึหึ เขาพอจะคาดเดาเจตนาส่วนใหญ่ของสำนักหยกสวรรค์ออกแล้ว

แต่ก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน สำนักหยกสวรรค์ยังคงมีอำนาจตัดสินใจในจังหวัดชิงซานอยู่ จะไม่ยอมก็คงไม่ได้ สุดท้ายจึงให้ก่วนฟางอี๋จัดหาเรือนพักให้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์

พอเฟิงเอินไท่เพิ่งออกจากทางนี้ไป สวี่เหล่าลิ่วก็เข้ามาอีกครั้ง เอ่ยรายงานว่า “เต้าเหยี่ย ลิ่งหูชิวกลับมาแล้วขอรับ หงซิ่วหงฝูก็อยู่ด้วย จะให้เข้ามาหรือไม่ขอรับ?”

ก่วนฟางอี๋ชักสีหน้าทันที แต่ยังไม่ทันเปิดปากเอ่ย หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าจงบอกไปว่าหงเหนียงไม่พอใจ ไม่ให้เข้ามา!”

เมื่อเห็นว่าก่วนฟางอี๋ไม่ได้ว่าอะไร สวี่เหล่าลิ่วก็หันหลังเดินออกไป ย่อมต้องออกไปจัดตามที่ได้รับคำสั่งมา

ก่วนฟางอี๋เอ่ยเสียดสีว่า “เหตุถึงไม่ให้เข้ามาเล่า กลัวลิ่งหูชิวจะมาคิดบัญชีกับเจ้าหรืออย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบกลับว่า “ยังไม่รู้เลยว่าหอจันทร์กระจ่างตัดสินใจลงมือกับเว่ยฉูหรือยัง แล้วเหตุใดข้าต้องพบเขาด้วย หรือต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ลงมืออีก?”

ก่วนฟางอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าหากหอจันทร์กระจ่างตัดสินใจแล้วเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เช่นนั้นเจ้าคำนวณให้ข้าทีว่าถ้าจ้างคนมาสังหารเว่ยฉูต้องใช้เงินเท่าไร?”

ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญดูแล้วเอ่ยไปว่า “เป็นเงินไม่น้อยเลย! อย่างน้อยๆ ก็ต้องหลักล้านเหรียญทองขึ้นไป ยิ่งเมื่อดูเบื้องหลังของเว่ยฉูด้วยแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเรียกเงินหลายล้านเหรียญทองเลย!”

หนิวโหย่วเต้าผายมือพลางกล่าวว่า “ตอนนี้แม้แต่เงินจะกินจะใช้ข้ายังไม่มีเลย ล้วนต้องให้เจ้าเป็นคนจ่ายทั้งสิ้น หากเขาเรียกราคาแพงลิ่วขนาดนั้น ข้าจะเอาเงินมากมายจากไหนมาให้เขาล่ะ?”

“….” ก่วนฟางอี๋ตะลึงงัน

ผ่านไปสักพัก สวี่เหล่าลิ่วกลับมารายงานอีกครั้ง “ลิ่งหูชิวฝากข้อความมาแจ้งว่าเรื่องที่เต้าเหยี่ยให้เขาไปจัดการ เขาจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องการมาหารือกับท่านขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “เจ้าบอกเขาไปว่าเป็นเพราะข้าอ้อนวอนขอร้อง หงเหนียงถึงยอมให้เขาเข้ามาได้ แต่หงซิ่วหงฝูห้ามเข้า!”

“ข้ากลายเป็นโล่ป้องกันเจ้าจากหนี้เสน่หาไปแล้วสินะ!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ สวี่เหล่าลิ่วจึงออกไปอีกครั้ง

คอยอยู่ครู่หนึ่ง ลิ่งหูชิวก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เขามาด้วยความโกรธขึง พอเห็นหนิวโหย่วเต้าก็ด่าใส่หน้าปาวๆ ว่า “น้องสาม เจ้าหมายความว่าอย่างไร? กล้าดียังไงถึงฉวยโอกาสลวนลามหงซิ่วหงฝูตอนที่ข้าไม่อยู่!”

หนิวโหย่วเต้ารีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นแน่นอน”

ลิ่งหูชิวเอ่ยด้วยความโกรธ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไล่พวกนางสองคนออกไป?”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะเฮอะๆ เอ่ยไปว่า “ข้าไล่ออกไปเอง! นังแพศยาหน้าไม่อายสองคนนั้นมายั่วยวนบุรุษของข้า ข้ายังต้องเก็บพวกนางไว้อีกหรือ?”

“ยั่วยวนผู้ใดกัน? เขางั้นหรือ?” ลิ่งหูชิวชี้ไปทางหนิวโหย่วเต้าที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ถามหนิวโหย่วเต้ากลับไป “น้องสาม เจ้ามีความคิดเช่นไรต่อหงซิ่วหงฝู ข้าไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความกระมัง? เจ้าลองถามใจของเจ้าดู หงซิ่วหงฝูจำเป็นต้องมายั่วยวนเจ้าด้วยหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มแห้งๆ เอ่ยไปว่า “เข้าใจผิดแล้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิด เข้าใจผิดกันทั้งนั้น”

ก่วนฟางอี๋โมโห ชี้หน้าหนิวโหย่วเต้าแล้วด่าออกมา “เข้าใจผิดกับผีน่ะสิ! มือเจ้าล้วงเข้าไปในอกเสื้อของพวกนาง กางเกงของพวกนางก็ถอดออกมาหมด เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ?”

พอได้ยินว่ากางเกงก็ถอดออกหมด สีหน้าของลิ่งหูชิวพลันมองคล้ำไปทันที ผู้ใดจะทราบว่าก่วนฟางอี๋กลับหันมาชี้หน้าด่าเขาต่อ “เจ้านายเป็นแบบไหนลูกน้องย่อมเป็นแบบนั้นจริงๆ ชุบเลี้ยงนังแพศยาสองคนนี้ออกมาได้ เจ้าก็ไม่ใช่ตัวดีเด่อันใดเช่นกัน ยังกล้ามาโวยวายในบ้านข้าอีกหรือ ไสหัวไป! บ้านข้าไม่ต้อนรับเจ้า!”

ลิ่งหูชิวชี้ไปที่หนิวโหย่วเต้า “วันนี้เจ้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ข้าเข้าใจให้ได้!”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แล้วจะให้อธิบายอะไร?” ตีให้ตายหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ยอมรับ

ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน เหตุการณ์จึงชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที

“ใครอยู่แถวนี้บ้าง!” ก่วนฟางอี๋พลันตะโกนขึ้นมา คนหลายคนโผล่เข้ามาทันที นางชี้ไปที่ลิ่งหูชิวพลางร้องสั่งว่า “ลากเขาออกไปให้พ้นหน้าข้า!”

…………………………………………………………………..