บทที่ 302 อายุขัยสามร้อยล้านล้านปี เจดีย์บรรพชนจอมเวท

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 302 อายุขัยสามร้อยล้านล้านปี เจดีย์บรรพชนจอมเวท

หลังจากเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างหยินหยางสองโลกหลายแสนครั้ง คราวนี้หานเจวี๋ยเพิ่งกลับมายังยมโลก เข้าสู่เกาะสำนักซ่อนเร้น

‘คงไม่มีผู้ใดเดาได้ว่าข้าอยู่ที่นี่’

หานเจวี๋ยคิดอย่างลำพองใจ

หลังจากรับคนเสร็จก็ควรจะปิดด่านฝึกฝน พุ่งทะยานสู่ระดับจักรพรรดิเซียนสี่วัฏ

ส่วนเรื่องที่เจียงอี้ไหว้วาน เขาก็คร้านเกินกว่าที่จะไปทำ

นี่ก็คิดเพื่อประโยชน์ของเจียงอี้ เจดีย์บรรพชนจอมเวทอะไรนั่นเพียงได้ยินก็ไม่ใช่สถานที่ดีอะไร ประมาณเก้าในสิบส่วนอาจจะนำมาซึ่งการเกิดหายนะนองเลือด ยิ่งอยู่ห่างไกลเท่าไรยิ่งดี

หลายปีต่อมา หานเจวี๋ยล้วนไม่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความเกลียดชังใหม่ๆ เลย เขารู้สึกโล่งใจอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเจียงอี้เองก็ไม่ได้ทรยศเขา

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ประมาณสามสิบปีต่อมา ในที่สุดหานเจวี๋ยก็มีโอกาสในการทะลวงระดับ

เขาไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป จากนั้นก็เริ่มที่จะทะลวง

ยมโลก

ท่ามกลางขุนเขาธาราผืนหนึ่ง ตัวภูเขานั้นสลายตัว ฝุ่นดินลอยคลุ้ง ผืนดินในรัศมีหลายพันลี้ล้วนสั่นสะเทือนไปด้วย

จี้เซียนเสินล่องลอยอยู่ในอากาศ มองดูละอองฝุ่นที่คละคลุ้งไม่ว่างเว้นด้านล่างอย่างประหม่า

เงาร่างวิญญาณนั่งบนไหล่ของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากเจดีย์นี้ถูกเจ้ากำราบ เจ้าก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่กองทัพแดนเซียน”

สีหน้าของจี้เซียนเสินฉายแวววาดหวัง

ยามที่ไปวังกษิติครรภ์เพื่อแย่งชิงสมบัติเทพก่อนหน้านี้ก็ล้มเหลวไปที ยามนี้หากล้มเหลวอีก มรรคจิตของเขาก็จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

แม้กระทั่งสมบัติก็ยังแย่งชิงมาไม่ได้ แล้วจะแย่งชิงดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร

วัตถุยักษ์ชิ้นหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากฝุ่นธุลีที่พลุ่งพล่าน นี่ก็คือเจดีย์หินที่เรียบง่ายและน่าพิศวง มีกระดูกสีขาวฝังแน่นอยู่บนบานหน้าต่างแต่ละชั้น มีของสรรพสิ่งต่างๆ จากทุกเผ่าพันธุ์ แม้กระทั่งกระดูกของมนุษย์เอง

จี้เซียนเสินรู้สึกสะเทือนอารมณ์ เมื่อมองเห็นเจดีย์นี้ หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นรัวเร็วขึ้น

“นี่เป็นของวิเศษชนิดใดกัน ไอชั่วร้ายช่างทรงพลังอะไรเพียงนี้!”

จี้เซียนเสินลอบตกใจ จ้องมองไปที่เจดีย์หินลึกลับด้วยสายตาลุกวาว

และในเวลานั้นเอง ความกดดันที่น่าหวาดกลัวหอบหนึ่งก็ร่วงลงมา

“หึ คิดอยากชิงสมบัติของเผ่าจอมเวทของข้า เด็กน้อย เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”

เสียงแค่นเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้น อุณหภูมิระหว่างโลกาสวรรค์ลดลงในฉับพลัน

จี้เซียนเสินรีบพุ่งไปทางเจดีย์หินลึกลับทันที เตรียมพร้อมที่จะแย่งชิงเจดีย์นี้ก่อน

ตู้ม!

เวิ้งฟ้าทะเลเมฆโหมทะลัก ฝ่ามือยักษ์อันน่าสะพรึงกลัวข้างหนึ่งฟาดลงมาราวกับท้องนภาพังทลาย เบื้องหน้าฝ่ามือยักษ์นี้ ทุกสิ่งดูเล็กจ้อยลงถนัดตา

……

เวลาผ่านไปสามปี ในที่สุดหานเจวี๋ยก็บุกทะลวงได้สำเร็จ ภายในอาณาเขตเต๋าเขาไม่จำเป็นต้องข้ามเคราะห์

จักรพรรดิเซียนสี่วัฏ!

วิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง พลังเวทก็พุ่งทะยานขึ้น!

กล่าวได้เพียงคำเดียวว่า เจ๋ง!

หานเจวี๋ยเริ่มทำให้ตบะมั่นคง ในเวลาเดียวกันก็ตรวจสอบหน้าต่างค่าสถานะของตนเองไปด้วย

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 3,538 / 304,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์เซียน (กายดาราอนธการ)]

[ตบะ: จักรพรรดิเซียนสี่วัฏ]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด]

[วิชาเวท: ดรรชนีกระบี่เทพ…]

อายุขัยสามร้อยล้านล้านปี!

ยังมีผู้ใดอีก!

หานเจวี๋ยลำพองใจ

การบรรลุจักรพรรดิเซียนสี่วัฏไม่ได้น่ารู้สึกยินดีปรีดาเท่ากับการที่อายุขัยของเขาพุ่งทะยานขึ้น

หานเจวี๋ยสาปแช่งศัตรูไปมากมายเพียงนั้น ผลาญอายุขัยไปมากมายเพียงนั้น แต่ผลลัพธ์กลับได้อายุขัยที่พุ่งทะยานขึ้น

ความรู้สึกเช่นนี้…

ในใจของหานเจวี๋ยอดผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ อันที่จริงหากใช้สุรุ่ยสุร่ายสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร?

‘อายุขัยสามร้อยล้านล้านปี หากข้าเอาออกมาใช้เล่นสักหมื่นล้านปี จะเป็นอย่างไร

สูญเสียมากมายหรือ

เพิ่งสูญเสียไปแค่หนึ่งในหมื่นส่วนเท่านั้น…’

หานเจวี๋ยตัดสินใจที่จะฟุ่มเฟือยสักหน่อย

สองปีต่อมา

ตบะของหานเจวี๋ยตั้งมั่นบนจักรพรรดิเซียนสี่วัฏอย่างสมบูรณ์ เขาเตรียมที่จะหยั่งรู้มรรคกระบี่ก่อน หลังจากยกระดับมรรคกระบี่แต่ละอย่างของตนจนครบขีดจำกัดแล้ว ค่อยเริ่มใช้ชีวิตเที่ยวเล่น

และในตอนนี้เอง

เสียงของอู้เต้าเจี้ยนก็ดังลอยเข้ามา “นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”

เมื่อหานเจวี๋ยได้ยิน ก็อดที่จะส่งพลังจิตออกไปตรวจดูไม่ได้

ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งเข้ามาบุกรุก

หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเหล่าศิษย์

เพียงไม่นาน หานเจวี๋ยก็ตรวจจับได้ถึงความผิดปกติของถูหลิงเอ๋อร์ นางขดกายอยู่บนพื้น ร่างสั่นสะท้าน สีหน้าเจ็บปวดทรมานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

หานเจวี๋ยรีบวาบกายมาหยุดอยู่ตรงหน้าถูหลิงเอ๋อร์ทันที เขาย่อตัวนั่งลงเพื่อตรวจร่างกายให้นาง

มีพลังลึกลับหอบหนึ่งกำลังกระตุ้นเลือดของถูหลิงเอ๋อร์

หรือจะเป็นสายเลือด

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เขาใช้พลังเวทช่วยรักษาให้กับถูหลิงเอ๋อร์ แต่กลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

“เจดีย์…เจดีย์บรรพชน…เจดีย์บรรพชนจอมเวท…”

ถูหลิงเอ๋อร์กล่าวเสียงสั่น นางหมดสติไปแล้ว เสียงก็งึมงำฟังไม่ชัด

ทว่าหานเจวี๋ยกลับได้ยินอย่างชัดเจน เจดีย์บรรพชนจอมเวทที่เจียงอี้กำลังตามหาอยู่?

เขาขมวดคิ้วแน่น

และในตอนนี้เอง

เริ่มมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของถูหลิงเอ๋อร์ ทำให้เหล่าศิษย์ต่างพากันตื่นตระหนก

“จะทำอย่างไรดี อาจารย์ปู่!”

“เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่”

“เป็นเพราะต่อสู้มากเกินไปหรือ”

“มีบางอย่างผิดปกติ สายเลือดของนางเกิดการเปลี่ยนแปลง”

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ พวกเราควรทำอย่างไรดี”

ทุกคนพากันพูดไปต่างๆ นานา ทุกคนอยู่ด้วยกันมานาน ย่อมไม่อยากให้เกิดเรื่องใดกับคนร่วมสำนัก

หานเจวี๋ยกล่าวเสียงขรึมว่า “พวกเจ้ามาเฝ้าที่นี่ไว้ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย!”

เมื่อวาจาสิ้นสุด หานเจวี๋ยก็กระโจนออกจากเกาะสำนักซ่อนเร้น

เขามุ่งหน้าเหาะไปทางสะพานอนิจจัง เรื่องนี้หากถามท่านยายเมิ่งบางทีอาจจะมีวิธีแก้ปัญหา

ยังบินไปได้ไม่ทันไร จู่ๆ หานเจวี๋ยก็พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันกว้างใหญ่หอบหนึ่ง

คล้ายกับกลิ่นอายของถูหลิงเอ๋อร์ยิ่งนัก ทว่ามันแข็งแรงและเก่าแก่ยิ่งกว่า

หรืออาจจะเป็น…

สีหน้าของหานเจวี๋ยแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบเปลี่ยนทิศทางในทันที

บนที่ดินรกร้างว่างเปล่า รอยแยกบนพื้นดินพาดขวางแตกระแหง ฝุ่นควันลอยคละคลุ้ง อสนีสีดำแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนลอยปะปนอยู่ในอากาศ

จี้เซียนเสินกำลังนอนอยู่บนพื้น สีหน้าแสดงถึงความโกรธจัด

เมื่อมองตามสายตาของเขาไป บนท้องนภามีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่ เขากำลังถือเจดีย์หินขนาดใหญ่ยักษ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ด้วยมือข้างเดียว

บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้มีใบหน้าที่ดุร้าย ร่างกายกำยำดุจหมีป่า มีมังกรพันเกี่ยวอยู่รอบเอว ที่เท้าเหยียบอยู่บนล้อเพลิง

“เผ่าจอมเวทสมควรตาย!”

เสียงคำรามสายหนึ่งดังลอยเข้ามา เปลวไฟโหมลุกขึ้น ส่องสว่างวาบโลกาสวรรค์

เห็นเพียงเจียงอี้ที่สังหารมาพร้อมกับเพลิงแท้สุริยะทั่วฟ้า เส้นผมของเขายุ่งเหยิง ในดวงคู่นั้นเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ

บนผืนดินนั้นยังมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย แต่ละคนล้วนแผ่กลิ่นอายอันธพาลออกมา และคนที่อ่อนแอที่สุดนั้นก็อยู่ในระดับเซียนลึกล้ำไท่อี่

จี้เซียนเสินกัดฟันกล่าวว่า “แย่งมาไม่ได้!”

เงาร่างวิญญาณปรากฏขึ้นบนไหล่ของเขา เอ่ยเสียงขรึมว่า “แย่งไม่ได้ก็ต้องแย่ง เจดีย์บรรพชนจอมเวทเป็นยอดสมบัติ หากเจ้าแย่งมาได้ ถึงจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่เคราะห์ ไม่เช่นนั้นเข้าไปแล้วก็ต้องระเบิดเป็นผุยผงอยู่ดี!”

สีหน้าของจี้เซียนเสินมืดครึ้มจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำ

“เจ้ายังกล้าที่จะแย่งชิงยอดสมบัติเผ่าจอมเวทของข้า! ไม่เจียมพลังตัวเองจริงๆ!”

บุรุษร่างใหญ่ที่กำลังถือเจดีย์บรรพชนจอมเวทอยู่นั้นคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เสียงของเขาสั่นสะเทือนจนแผ่นดินผืนใหญ่สั่นโคลง กลิ่นอายของเขาระเบิดปะทุ ทะลุทะลวงทะเลเมฆ ราวกับจะเจาะรูขนาดใหญ่บนท้องนภา

เมื่อเผชิญหน้ากับเจียงอี้ที่บุกอาดๆ เข้ามา มือขวาของเขาก็กำเป็นหมัดแน่น ซัดกระแทกออกไปเต็มแรง

เพียงหมัดเดียวที่ซัดออกไป โลกาสวรรค์หยุดชะงักในทันที!

เจียงอี้หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาก็กระอักโลหิตซ่านกระเซ็น ร่างลอยปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว กระแทกกับพื้นที่ข้างหลังเขาแล้วตกลงไปในห้วงอากาศว่างเปล่า

ไกลออกไป หานเจวี๋ยที่เห็นฉากนี้กับตาลอบตกใจกับตัวเอง

นี่ก็คือผู้แข็งแกร่งของเผ่าจอมเวทหรือ

ช่างเป็นหมัดที่น่ากลัวยิ่งนัก!

สายตาของหานเจวี๋ยตกอยู่ที่เจดีย์บรรพชนจอมเวทในมือของบุรุษร่างใหญ่

ถูหลิงเอ๋อร์โหยหาเจดีย์นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อได้เจดีย์นี้มาแล้ว ถูหลิงเอ๋อร์จะสามารถสงบลงได้?

เช่นนั้นก็แย่งมาเลยก็แล้วกัน

ต้องรีบแย่งชิงให้เร็วหน่อย ห้ามเปิดเผยตัวตน

หานเจวี๋ยเปรียบเทียบตบะของตนเองกับกับบุรุษร่างใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าน่าจะพอปลิดชีพในฉับพลันได้

เมื่อเทียบกับจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุต เจ้าหมอนี่ยังอ่อนแอกว่าหน่อย

อย่างไรก็ตามบุรุษร่างใหญ่เป็นคนของเผ่าจอมเวท หานเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องสังหาร ถึงอย่างไรเขากับเผ่าจอมเวทเมื่อนับดูแล้วก็ถือว่าเป็นพันธมิตรต่อกันอยู่

…………………………………………………………..