ตอนที่ 310 คิดและทำเพื่อเขา

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 310 คิดและทำเพื่อเขา

“เฉียนเอ๋อร์ ! จงระวังคำพูด ! ! ” ผู้อาวุโสเซวียดุเสียงดังลั่น “ถ้อยคำเช่นนี้ วันหน้าห้ามเอ่ยออกมาอีก ! ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาโทษที่ข้าขับไล่เจ้า ! ”

18 ปีที่ผ่านมา เซวียจื้อเฉียนไม่เคยเห็นใบหน้าที่ดุร้ายถึงเพียงนี้ของผู้อาวุโสเซวียมาก่อน เขาจึงรีบหลบสายตาแล้วโค้งคำนับเพื่อยอมรับผิดทันที

ผู้อาวุโสเซวียถอนหายใจพลางมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก “ลืมเรื่องในอดีตไปให้หมดเถิด ที่นี่เราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ! ”

แต่เซวียจื้อเฉียนไม่คิดว่าในใจของชายชราสงบได้เหมือนที่ปากพูด เช่นนั้นในแววตาจะมีความเสียใจเจืออยู่ได้อย่างไร…

เขามองชาซีหูหลงจิ่งบนโต๊ะและน้ำสองกระบอกที่หลินกู่เหนียงและบัณฑิตเจียงนำมาให้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความเคารพว่า “นายท่าน ข้าจะช่วยชงชาให้…”

“วางลง ! ฝีมือชงชาของเจ้าจะทำให้ชาดีของข้าเสียของ ! นี่คือชาซีหูหลงจิ่งที่เก็บก่อนเทศกาลชิงหมิงเชียวนะ ! ” ต่อจากนั้นผู้อาวุโสเซวียก็หอบชุดชงชาสุดรักสุดหวงมายังศาลามุงหญ้าบนเนินเขาและเริ่มจุดไฟ ต้มน้ำ ชงชา…

ขณะที่สูดดมกลิ่นหอมของใบชา ผู้อาวุโสเซวียก็เผยใบหน้าลุ่มหลงออกมา “ชาดี น้ำดี ! ชาจะดีเพียงใด หากขาดน้ำที่ดีก็ทำให้กลิ่นหอมลดลงหลายส่วน น้ำที่สหายน้อยนำมาฝากเหมาะแก่การชงชายิ่งกว่าน้ำจากหลงฉวนทางใต้เสียอีก ! ”

ผ่านไปหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้ดื่มชารสเลิศเช่นนี้ พอผู้อาวุโสเซวียมีความสุขก็เดินไปรื้อเครื่องมือวาดภาพที่ไม่ได้ต้องแตะมานาน แล้ววาดภาพมีสุขลืมกังวลขึ้นมาหนึ่งภาพ บนภาพมีภูเขาทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ทุ่งนา กระท่อม เด็กเลี้ยงวัวและวัวแก่…เมื่อนำมารวมกันแล้วเหมือนบทกวีร่ำสุราที่หลินเว่ยเว่ยท่องไว้เมื่อคราวก่อนไม่ผิดเพี้ยน

ผู้อาวุโสเซวียพอใจกับภาพวาดของตนมาก ภูมิใจที่ฝีมือยังไม่ตก หลังปล่อยให้ภาพแห้งแล้ว เขาก็พูดกับเซวียจื้อเฉียนว่า “เอาไปใส่กรอบไม้แล้วส่งไปที่ห้องหนังสือ ! ”

เซวียจื้อเฉียนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นายท่าน พวกเราไม่ได้ขาดเงิน ภาพวาดดีถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องเอาไปขายด้วยขอรับ ? ”

“พวกเราไม่ขาด แต่สหายน้อยอาจขาดแคลน ! หลังจากฤดูใบไม้ผลิ เขาต้องไปเข้าร่วมการสอบที่เมืองจงโจว ดังนั้นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะปล่อยให้คู่หมั้นออกฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นไก่อ่อนเกาะผู้หญิงกินไม่ใช่หรือ ? สหายน้อยเป็นคนทะนงตน ไฉนเลยจะแบกรับชื่อเสียงเช่นนั้นได้ ? ”

การที่บัณฑิตยากไร้จะเข้าร่วมการสอบไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้อาวุโสเซวียทนเห็นบัณฑิตผู้มีความสามารถจนน่าทึ่งผู้หนึ่งต้องดิ้นรนในเส้นทางการศึกษาไม่ไหว !

เซวียจื้อเฉียนเคยได้ยินบิดาบอกว่า เมื่อก่อนตอนที่อยู่ทางใต้ ผู้อาวุโสเซวียเคยแอบช่วยบัณฑิตยากไร้ไว้ไม่น้อย นี่ต้องใช้ความรักมากถึงเพียงใดจึงจะใช้ผลงานชิ้นแรกที่วาดขึ้นมาหลังจากปลีกวิเวกมานานหลายปีและนำออกไปขายแลกเงินที่ห้องหนังสือ !

ขณะมองสายตาอาลัยอาวรณ์ของอีกฝ่าย ผู้อาวุโสเซวียก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ภาพวาดเช่นนี้ข้าวาดได้วันละสองสามภาพ เหตุใดต้องแสดงท่าทางทำใจไม่ได้ ? ”

เซวียจื้อเฉียนดูมีความสุขขึ้นมาทันที “นายท่านหมายความว่า…”

ผู้อาวุโสเซวียพยักหน้าพลางลุกขึ้นยืนในศาลาแล้วเหม่อมองไปยังที่ห่างไกล เมฆบนท้องฟ้าม้วนตัวสวยสด เฉกเช่นหัวใจที่เบิกบาน “ข้ามักพูดกับเจ้าสองพ่อลูกว่าอย่าจมปลักอยู่ในอดีต แท้จริงแล้วคนที่ปล่อยวางไม่ได้คือตัวข้าเอง ! ต่อไปข้าจะไม่ขังตนเองไว้ในโลกใบเล็กอีกแล้ว อยากวาดภาพก็วาด อยากเขียนบทความก็เขียน อยากออกไปเยี่ยมสหายก็จะไป…”

ดวงตาของเซวียจื้อเฉียนเปียกชื้นเล็กน้อย เขายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะย้อนถามว่า “นายท่าน ในแดนเหนือแห่งนี้ ท่านมีสหายให้ไปเยี่ยมเยือนด้วยหรือขอรับ ? ”

ผู้อาวุโสเซวียจ้องมาที่เขา “เหตุใดจะไม่มี ? พวกเขาก็ไม่ได้เพิ่งออกไปหรือ ? ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ได้รับมาแต่ไม่ตอบแทน เสียมารยาท1’ วันหน้าเราเองก็ขนของขึ้นเกวียนแล้วขึ้นเขาไปเยี่ยมสหายบ้างเถิด ! ”

ทันใดนั้นรอยยิ้มที่มุมปากของเซวียจื้อเฉียนก็จมลึกกว่าเดิม ตัวเขาที่อารมณ์ดีจึงเอ่ยหยอกเย้าเจ้านายว่า “นายท่าน วันนี้พวกเขานำของดีมาเยี่ยมเราถึงเพียงนี้ แล้วท่านมีของสิ่งใดจะมอบให้หรือขอรับ ? ”

ผู้อาวุโสเซวียชี้ไปที่ศีรษะของตน “ของล้ำค่าที่สุดไม่ได้อยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ ? บันทึก เรียงความ สิ่งที่ตกผลึกซึ่งข้าใช้สอนบรรดาศิษย์พี่ของเจ้า เอาออกมาสักสองเล่มก็ไม่ใช่ของขวัญล้ำค่าแล้วหรือ ? ”

ตอนเดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ นอกจากเงินทองและสิ่งล้ำค่าแล้วส่ วนใหญ่ที่ผู้อาวุโสเซวียขนมาล้วนเป็นพวกตำราซึ่งเหลือเพียงเล่มเดียว หนังสือหายาก เรียงความ บทความและบันทึกความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มากว่าครึ่งชีวิต เป็นต้น ของพวกนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก !

หลินเว่ยเว่ยที่ขับเกวียนเข้าเขตเริ่นอันกำลังใช้ศอกสะกิดเจียงโม่หานที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วถามว่า “บัณฑิตน้อย เจ้าไม่ได้บอกว่าผู้อื่นอยากเป็นลูกศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสเซวียหรอกหรือ ? ตัวเจ้ามีความคิดนี้หรือไม่ ? ”

“มีแล้วอย่างไร ไม่มีแล้วอย่างไร ? ” เจียงโม่หานเดาออกว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น เด็กน้อยแค่มีวาสนาได้พบผู้อาวุโสเซวียเพียงครั้งเดียว ทว่าก็นำข้าวแดงมาฝากและยังลงมือทำอาหารจากแฮมจินหัวด้วยตนเองอีก นางแค่อยากสร้างสายสัมพันธ์ให้เขาเท่านั้น ทว่าคราวนี้เด็กน้อยคงต้องเสียแรงเปล่า แต่การที่นางคิดเพื่อตนก็ทำให้เจียงโม่หานรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ไม่น้อย

“หากเจ้าอยากกราบผู้อาวุโสเซวียเป็นอาจารย์ ข้าจะมาทำอาหารให้เขากินบ่อย ๆ ใช้ของอร่อยโจมตีเขา สร้างความรู้สึกดีแทนเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่มีความคิดนั้น…เราก็ไปเยี่ยมผู้อาวุโสเซวียเป็นครั้งคราว คนแก่ตัวคนเดียว ข้างกายยังไร้ลูกหลาน น่าสงสารจะตาย ! ” หลินเว่ยเว่ยมองย้อนไปยังกระท่อมที่เงียบเหงาของผู้อาวุโสเซวีย

เจียงโม่หานปัดจมูกของนาง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เจ้านี่นะ ! จิตใจดีเกินไปก็จะถูกหลอกได้ง่าย รู้หรือไม่ ! ”

“ข้าไม่ได้ใจดีอย่างที่เจ้าคิดหรอก ข้าเองก็มีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน หากต้องเลือกระหว่างคุณธรรมและครอบครัว ข้ายังเลือกยืนอยู่ข้างคนในครอบครัว ! ความใจดีของข้ามีขอบเขต ! ” หลินเว่ยเว่ยอธิบาย

“ดีแล้ว ! ” เจียงโม่หานมองนางด้วยรอยยิ้ม ช่างเถิด ขอแค่มีเขาคอยสนับสนุน นางก็สามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่ทำให้ตนมีความสุข ส่วนเขาจะคอยขจัดอุปสรรคทั้งปวงให้นางเอง !

หลินเว่ยเว่ยฉลาดเช่นนี้ ไฉนเลยจะมองไม่ออกว่าเขาไร้เจตนาจะกราบไหว้อาจารย์ นางจึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “รู้อย่างนี้เอาข้าวแดงไปให้น้อยหน่อยก็ดี…แถมใบชานั่นก็มีแค่สองห่อ เอาไปให้คนอื่นหมดแล้ว เราไม่มีไว้ดื่มเองเลย…”

เจียงโม่หานรู้ว่านิสัยโลภมากของนางกำเริบอีกหน “เจ้าชอบดื่มชาตั้งแต่เมื่อใด ? ”

“แต่เจ้าชอบนี่นา ! ข้าคิดว่าเอาของไปให้มากจะสามารถช่วยสร้างความประทับใจแทนเจ้าได้ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่ในหัว…กราบขงจื๊อเป็นอาจารย์ไม่ดีหรือ ? มีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะแล้วจะได้ช่วยย่นระยะเวลาในการเรียน ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

เจียงโม่หานคลี่ยิ้ม “ไม่กราบเป็นอาจารย์ก็สามารถไปเยี่ยมเพื่อขอคำชี้แนะได้ ! ผู้อาวุโสเซวียไม่ใช่คนตระหนี่หรือจิตใจคับแคบเช่นนั้น ! ”

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “เอาเถิด ! ข้าสนับสนุนทุกการตัดสินใจของเจ้า เจ้าคงคิดได้รอบคอบกว่าข้า ! ตอนนี้จะไปไหน ? ห้องหนังสือหรือท่าเรือ ? ”

“ไปห้องหนังสือ ! ” ตอนที่ทั้งสองคนผ่านประตูเมือง เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองก็จดจำได้จึงไม่เรียกดูทะเบียนบ้าน ทั้งสองจึงขับเกวียนตรงมายังห้องหนังสือหยวนถู

หลินเว่ยเว่ยเงยหน้ามองป้ายชื่อร้านแล้วเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ชื่อห้องหนังสือของเจ้าคลุมเครือเกินไป คนอื่นจะเห็นเป็นหยวนฉาได้ง่ายและเข้าใจผิดว่าเป็นร้านขายใบชา ! ”

เจียงโม่หานใช้พัดเคาะศีรษะนาง “เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าตนไร้ความรู้เองเล่า ? ข้าบอกให้เจ้าตั้งใจอ่านตำรา ตั้งใจจำตัวอักษร เจ้าก็มักหาข้ออ้างต่าง ๆ มาหลบเลี่ยง ตอนนี้อักษรสุนัขของเจ้าแม้แต่เด็กอายุน้อยกว่า 7 ขวบอย่างเอ้อร์ฮว๋ายังคลานตามทัน ! ”

1 ได้รับมาแต่ไม่ตอบแทน เสียมารยาท เป็นสำนวนตามหนังสือคำสอนของลัทธิขงจื๊อว่าด้วยเรื่องธรรมเนียมและมารยาททางสังคมที่พึงปฏิบัติ ความหมายคือ เมื่อมีคนให้อะไรกับเรามาก็ควรจะตอบแทนเขากลับเพื่อไม่ให้เสียมารยาท