ตอนที่ 371 เฉินหยางออกจากบ้าน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 371 เฉินหยางออกจากบ้าน

ตอนที่ 371 เฉินหยางออกจากบ้าน

หลังจากที่เจียงอวี่สงบลง เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า

“พวกเราวางแผนที่จะเดินทางกลับในบ่ายวันนี้ อีกสามวันก็จะถึงเถาหยาง เถ้าแก่ซู…”

“ฉันเข้าใจ ในเมื่อคุณพบกับน้องสาวแล้ว ก็ให้พาเธอกลับมาที่เถาหยาง แล้วฉันจะเปลี่ยนห้องพักของคุณเป็นห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น” ซูเถาพยักหน้า

เจียงอวี่พยักหน้า เขาได้เอามือปาดเข้าที่หางตาของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วส่งเครื่องมือสื่อสารให้เจียงถงน้องสาวของเขา

“ถงถง มาทักทายเถ้าแก่ซูหน่อยสิ”

เจียงถงหยิบเครื่องมือสื่อสารและกล่าวทักทายซูเถาเบา ๆ “สวัสดีค่ะ เถ้าแก่ซู”

เมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวคนนี้ ซูเถาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อน

“ถงถง ใช่ไหม เรียกฉันว่าพี่เฉย ๆ ก็ได้ ยินดีต้อนรับสู่เถาหยางนะ”

เมื่อเจียงถงได้ยินเช่นนั้น เธอก็ต้องประหลาดใจ

ยินดีตอบรับเหรอ?

มนุษย์จะยอมรับสปีชีส์ที่แตกต่างเหรอ?

เธอแตะตาซ้ายของตนเองอย่างช่วยไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ซูเถาเองก็ไม่ได้ถือสา อาจเป็นเพราะว่าเธออาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าหรือเขินอาย

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้หายตัวไปเป็นเวลาหลายปี ในวัยเด็กของเธอ ไม่รู้ว่าประสบพบเจออะไรมาบ้าง แต่มันคงไม่ใช่ความทรงจำที่ดีและอาจมีบาดแผลทางจิตใจ เมื่อกลับมาถึงเถาหยาง เธอคงต้องบอกเจียงอวี่ให้ใส่ใจน้องสาวของเขามากยิ่งขึ้น

หลังจากวางสายแล้ว ซูเถาก็ไปเตรียมห้องใหม่สำหรับเจียงอวี่และน้องสาวของเขาอย่างมีความสุข

เจียงอวี่ลูบหัวน้องสาวของเขา และราวกับว่าเขาจะจำอะไรบางอย่างได้ เขาหยิบกล่องออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วหยิบแว่นตาหนา ๆ อันหนึ่งแล้วยื่นให้กับเธอ

“พี่เก็บไว้ให้เราอย่างดี รีบสวมเข้าเถอะ ไม่งั้นน้องจะมองไม่เห็นเอานะ”

เจียงถงรับมันไว้ด้วยความงุนงง

เธอไม่ต้องการแว่นตานี้อีกต่อไป

แต่เพื่อไม่ให้ใครเห็น เธอก็ยังคงสวมมันเอาไว้ ซึ่งเลนส์ที่มีค่าสายตาสูงนี้ทำให้เธอวิงเวียนเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจียงอวี่เห็นเธอสวมแว่นตา เขารู้สึกชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเขาได้พบน้องสาวของเขาแล้ว และคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือน้องสาวแท้ ๆ ของเขาที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันตลอดชีวิต

เพราะเมื่อน้องสาวของเขาไม่สวมแว่นตา มันทำให้ดูแปลกตาเล็กน้อย

เขาสวมกอดน้องสาวของเขาเอาไว้อย่างมีความสุข

“ไปกันเถอะถงถง พี่จะพาน้องไปมีชีวิตที่ดี! เราสองพี่น้องจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว!”

……

ข่าวที่ว่าเจียงอวี่พบน้องสาวของเขาก็แพร่กระจายในเถาหยาง ทุกคนก็ยินดีและมีความสุขไปกับเขา แม้แต่เฉินซีที่รู้สึกว่ากำลังจะได้เพื่อนใหม่อย่างเจียงถงก็เตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ โดยวางแผนที่จะผูกมิตรกับเจียงถง

“แม้ว่าถงถงจะแก่กว่าลูก แต่เธอต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ข้างนอกมานานเหลือเกิน ลูกให้เวลาเธอหน่อยแล้วกัน ให้พื้นที่แก่เธอและอย่าถามเธอว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง เข้าใจที่แม่พูดไหม” จวงหว่านบอกเธอ

เฉินซีพยักหน้ากับสิ่งที่แม่ของเธอเฝ้ากำชับ

ในขณะที่เฉินหยางตัวแสบ เขาอดไม่ได้ที่จะวิ่งตามน้องสาวของเขาและพูดว่า

“เธอก็พูดให้มันน้อย ๆ หน่อยล่ะ ไม่งั้นพี่เจียงถงคงฉุนเฉียวกับความพูดมากของเธอแน่ ระวังจะไม่มีเพื่อนเล่นด้วย”

“ฉันก็พูดจาเสียดสีแค่กับพี่นั่นแหละ! พี่นี่น่าเบื่อจริง ๆ แม่…แม่ควรส่งเขาเข้าร่วมกองทัพบุกเบิกนะ! หนูว่าเขาเล่นสนุกเกินไปแล้ว คอยแต่จะหาเรื่องทั้งวัน!” เฉินซีเอื้อมมือไปตีพี่ชาย

สำหรับน้องสาว สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิตก็คือพี่ชาย

จวงหว่านก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน เพราะช่วงนี้เธอได้ยินว่าเฉินหยางไปหาซูเถาเพื่อพูดจายกยอเกี่ยวกับเหลยสิง และถามซูเถาว่าทำไมถึงไม่ชอบพี่ใหญ่เหลยของเขา

จวงหว่านลมแทบจับเมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ ซูเถาเป็นเจ้านายของเธอนะ!

ลูกชายตัวดีไปถามเจ้านายของเธอแบบนี้ได้ยังไง ไม่ว่าซูเถาจะเป็นคนจิตใจดีแค่ไหน เขาก็ไม่ควรไปล้ำเส้นเธอ

ตอนนั้นเธอโกรธมาก เมื่อเขากลับมาเธอจะต้องจัดการให้เด็ดขาด

เพราะแบบนี้เธอจึงกัดฟัน และตัดสินใจส่งเฉินหยางเข้าร่วมกลุ่มเยาวชนกองหนุนของกองทัพบุกเบิกแห่งตงหยาง เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสความยากลำบากของชีวิตในค่ายทหาร

จริง ๆ แล้วพ่อและอาของเขาก็ดำเนินมาแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เมื่อถึงคราวของเฉินหยางในวัยนี้ เขาควรเพลิดเพลินกับความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงที่เถาหยางนำมาเท่านั้น

เฉินหยางลังเล “แม่ ผมอยากไปหาพี่ใหญ่เหลย เขาบอกว่าถ้าพี่เถาจื่อตกลง เขาจะพาผมไปเป็นเด็กฝึกงาน ผมอยากเดินทางไปทั่วโลกกับเขา แม้ว่ากองทัพบุกเบิกจะดี แต่ก็มีกฎมากเกินไป ผมชอบแบบพี่ใหญ่เหลยมากกว่า”

แต่สิ่งนี้จวงหว่านไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งและเตือนเขาว่า

“ลูกสนใจเรื่องพี่เถาจื่อให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ ถ้าแม่รู้ว่าลูกไปออกตัวแทนเหลยสิงอีก ก็ออกจากเถาหยางไป แล้วนับถือเหลยสิงเป็นพ่อไปเลย!”

เฉินหยางไม่กล้าที่จะตอบอย่างทันที แต่เด็กดื้อรั้นอย่างเขาจะไม่ยอมง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงไปหาซูเถาในวันรุ่งขึ้น

ซูเถาเงยหน้าขึ้นจากกองออกแบบวิศวกรรมโครงสร้างขนาดใหญ่ที่เขตซีซานส่งมาและมองเขาอย่างเงียบ ๆ

“เฉินหยาง พี่รับปาก แต่เราลองคิดเรื่องนี้ดูอีกที การที่เราออกจากเถาหยางไป หากอยากจะกลับมามันก็ไม่ง่ายนะ”

“ผมพร้อม ผมเป็นผู้ชาย ผมต้องออกไปเผชิญโลกและเริ่มตั้งตัวให้ได้ด้วยตัวเอง มิฉะนั้นผมคงไม่มีหน้ากลับมาที่นี่อีก” เฉินหยางพยักหน้าโดยไม่คิด

เพราะหากเขากลับมามือเปล่า เขาคงถูกน้องสาวหัวเราะจนตาย

“พี่จะถามเราอีกครั้ง คิดดูอีกทีแล้วค่อยตอบพี่ เราเคยคิดไหมว่าจะต้องเจออันตรายหรือต้องสูญเสียชีวิตเมื่อออกไปข้างนอก เคยคิดไหมว่าแม่ของเราจะกังวลและนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะความเป็นกังวลนี้ เคยคิดไหมว่าเราน่ะไม่มีประสบการณ์และกำลังมากพอที่จะรับมือกับเรื่องราวในวันสิ้นโลกนี้” ซูเถา

เฉินหยางกำหมัดแน่น เขากัดฟันและพยักหน้า “ผมคิดเรื่องนี้ดีแล้ว”

จากนั้นซูเถาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปบอกแม่ซะ หากว่าแม่ตกลง เราก็เก็บกระเป๋าและไปหาเหลยสิงวันนี้ได้เลย”

เมื่อจวงหว่านรู้เข้า เธอก็โกรธมากจนน้ำตาร่วงทันที เธอโยนถ้วยบนโต๊ะไปที่เฉินหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“ไปให้พ้น! น้องสาวของแกพูดถูก แกน่ะคอยแต่จะหาเรื่องไปวัน ๆ เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วฉันก็จะไม่ห้ามแก ถ้าแกก้าวออกจากเถาหยางไป ฉันจะไม่สนใจอีกว่าแกจะอยู่หรือตาย!”

เฉินหยางก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร แต่ท่าทีที่ดื้อรั้นของเขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น

จงเกาอี้ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วและส่ายหัวเมื่อเห็นเฉินหยางมีท่าทีแบบนั้น

“เรื่องนี้เราอาจพิจารณาไม่รอบคอบเท่าไหร่นะ จุดจบของวันสิ้นโลกนี้ ด้านนอกเต็มไปด้วยสงคราม และซอมบี้ออกอาละวาด เราน่ะเห็นเพียงด้านที่ดีและอิสรภาพของเหลยสิง แต่ไม่เคยเห็นเลือดและหยาดเหงื่อของพวกเขา แม่ของเราไม่อยากให้ออกไปข้างนอก เพราะเธออยากที่จะปกป้องลูกชายคนนี้ แต่เราก็ยังอยากที่จะออกไปข้างนอก”

เฉินซีด่าว่า ‘คนโง่’ แล้วหันกลับไป

คืนนั้น เฉินหยางสะพายกระเป๋าเป้ ถือปืนพกและออกไปหารถเพื่อออกเดินทางขึ้นเหนืออย่างเด็ดเดี่ยวไปตามหาเหลยสิง

จวงหว่านเรียกเขาด้วยชื่อเล่นจากด้านหลัง แต่เขาไม่ได้หันศีรษะกลับมา

จวงหว่านปิดหน้าของเธอและหมอบลงกับพื้น จากนั้นก็ร้องไห้ปานจะขาดใจกับเด็กคนนี้

เธอเสียสามีและน้องชายไปแล้ว และตอนนี้แม้แต่ลูกชายคนเดียวก็ไม่สนใจความรู้สึกของเธอ ทั้งยังยืนกรานที่จะออกไปเสี่ยงชีวิตด้วยตัวเอง

ซูเถาเองก็รู้สึกเสียใจกับจวงหว่าน

“ถ้าพี่ไม่ปล่อยเขาไป เขาจะรู้สึกว่าโลกภายนอกสวยงามไปตลอดชีวิต พี่คือผู้ที่หยิบยื่นความสวยงามของโลกใบนี้ให้เขา และปิดกั้นเขาออกจากโลกนี้มานานเกินไป เขาอาจกล่าวโทษพี่ด้วยซ้ำ”

เฉินซีมุ่ยปากของเธอ และคว่ำริมผีปากให้กับพี่ชายตัวดี

“เขาน่ะโง่เขลา ที่เห็นว่าพี่ใหญ่เหลยนั้นแข็งแกร่ง เขาคิดว่าเขาจะสามารถเป็นแบบนั้นได้ในวันหนึ่ง แม่ ไม่ต้องร้อง เขาอยากไปไหนก็ปล่อยเขาไป นี่เป็นเส้นทางที่เขาเลือก”

จงเกาอี้สวมกอดจวงหว่านและนั่งกับเธอที่ประตูเขตเถาหยาง เฝ้าดูทิศทางการจากไปของเฉินหยางจนถึงรุ่งเช้า

จวงหว่านร้องไห้ออกมาจนไม่มีน้ำตา จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ยืนขึ้นโดยความช่วยเหลือของจงเกาอี้ แล้วมุ่งหน้าไปที่สำนักงาน

จงเกาอี้ผู้ซึ่งเป็นห่วงเธอ “ทำไมคุณไม่หยุดพักสักวันล่ะ”

“ฉันจะไม่ยอมหยุดและทำให้งานมันล่าช้าเพียงเพราะเขาเป็นต้นเหตุหรอกนะ” จวงหว่านส่ายหัว

————————-