บทที่ 187 เกลี้ยกล่อมแนะนำ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

สี่หน้าเหล่าไท่ไท่ดีขึ้นไม่น้อย รีบพูดว่า“นั่งได้แล้วหรือ? อย่างนั้นก็เป็นเรื่องดีจริงๆ! ท่านต้องทำพวกซุปกระดูกให้นางดื่มนะ”

โจวต้าซานก็ดีใจมากเช่นกัน “สะใภ้รองนั่นก็พอใช้ได้ ช่วยทำกับข้าวซักผ้า เพียงแต่นางคิดถึงชิวเซียงเท่านั้น”

“นั่นก็ไม่มีอะไร เอาไว้นางหายดีก็ให้นางไปเยี่ยมชิวเซียงที่ตำบล หรือไม่ก็ให้ชิวเซียงกลับมาเยี่ยมนางหน่อยก็ได้” เหล่าไท่ไท่เอ่ย

ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ โจวต้าซานก็ไม่ได้เอ่ยต่อ สีหน้าก็แปลกไปด้วยเล็กน้อย

โจวกุ้ยหลานอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาถึงบ้านเสียก่อน

พวกเหล่าไท่ไท่เดินไปข้างหน้าต่อ ขณะใกล้จะถึงบ้านก็เห็นโจวคายจือยืนรอพวกนางอยู่ที่ปากประตูแล้ว

ครั้นเหล่าไท่ไท่เห็นนาง สีหน้าก็ย่นยู่อีก

โจวคายจือเห็นท่าทางมารดาตนแล้ว ก็ใจสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะพูด

“หลิวเซียง เจ้าช่วยข้าดูแลเสี่ยวเทียนหน่อย” โจวกุ้ยหลานเอ่ย จากนั้นก็เดินหนึ่งก้าว จับแขนเหล่าไท่ไท่เอาไว้

เหล่าไท่ไท่หันหน้า เห็นบุตรสาวคนเล็กของตัวเอง จึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก

โจวกุ้ยหลานพาเหล่าไท่ไท่กลับห้องของตน คล้องประตู จากนั้นก็กดให้เหล่าไท่ไท่นั่งอยู่บนเตียงเตา จ้องเหล่าไท่ไท่ด้วยดวงตาคู่ดำขลับ

“ว่ามาเถอะ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

แม้เหล่าไท่ไท่จะเก่ง แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมา ตอนนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว ดังนั้นจึงไม่อดกลั้นอีก

“ก็พี่สาวใหญ่เจ้าไม่เอาไหนนั่นแหละ ไม่รู้ว่าทำไมไม่ได้ความเก่งจากข้าไปสักครึ่ง ไม่รู้บ้านแม่ผัวไปได้ยินมาจากไหนว่าบ้านเราสุขสบายแล้ว ก็เลยให้นางกลับมาเอาธันยพืช บอกว่าถ้าไม่ได้กลับไปร้อยจินก็ให้อยู่ที่นี่นั่นแหละ!”

“ยังมีอีกไหม?” โจวกุ้ยหลานถามต่อ

หากเพียงเท่านั้น เหล่าไท่ไท่ก็คงไม่กระฟัดกระเฟียดตลอดช่วงเช้า

“ลูกสาวนางเป็นไข้สามสี่วันแล้ว แม่สามีของนางก็ไม่ยอมควักเงินมารักษา ยังให้พี่สาวใหญ่เจ้ามาขอเงินจากข้าไปรักษาลูกนางอีก! พี่สาวใหญ่เจ้าก็โง่งม ยังไม่ได้แยกบ้าน เงินที่หามาได้ก็อยู่ในมือแม่สามีหมด ลูกสาวนางไม่สบายก็ยังไม่กล้าอาละวาดกับแม่สามี! จริงๆเลย โมโหจนนอนไม่หลับทั้งคืน!”

เหล่าไท่ไท่โกรธจริงๆ แล้ว ใช้กำปั้นทุบเตียงเตาหนักๆ

โจวกุ้ยหลานได้ยินก็หมดคำพูด นี่มันอะไร เด็กเป็นไข้แล้วยังไม่ให้เงินอีก

พี่สาวใหญ่นางก็ด้วย ไม่เอาไหนจริงๆ

เหล่าไท่ไท่เห็นโจวกุ้ยหลานเงียบจึงอดไม่ได้ “เจ้าดูสิพี่สาวใหญ่เจ้ามีประโยชน์อะไร แต่งไปยี่สิบปีแล้วยังไม่ได้เป็นใหญ่ในบ้านยังพอว่า ลูกตัวเองก็ยังปกป้องไม่ได้ เจ้าดูสินางผอมจนเป็นอย่างไรแล้ว ไม่แน่ว่าบ้านแม่ผัวทรมานนางอย่างไร!”

ยิ่งพูดเหล่าไท่ไท่ก็ยิ่งโมโห

ครั้นนึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน นางก็มีไฟสุมอยู่เต็มอก

“อย่างนั้นเราก็ไปตีที่บ้านนางเลย ดูสิว่าคราวหน้าพวกนางจะกล้าทำอย่างนี้อีกไหม!” โจวกุ้ยหลานเสนอ

ทางนี้ใช่ว่าจะไม่มีพี่น้อง อย่างไรสวีฉางหลินก็ชกต่อยเก่ง ทางบ้านแม่สามียังมีคนที่ตีเก่งเหมือนสวีฉางหลินหรือ?

“ทำไมจะไม่ตี? สองปีก่อนที่แต่งไป พี่สาวใหญ่เจ้าก็เกือบถูกแม่สามีของนางทรมานตาย ข้าเคยไปตีแล้ว ยัยแก่นั่นถูกข้าจัดการจนไม่กล้าส่งเสียง พอข้ากลับมา พี่สาวเจ้าดันไปมอบของขวัญขอขมาให้แม่สามีอีก บอกว่าทำให้นางต้องรับเคราะห์! แล้วพวกเราจะไปตีอย่างไร พี่เจ้าใจเสาะพวกเราเก่งแล้วมีประโยชน์อะไร?”

ครั้นเอ่ยถึงเรื่องราวในปีนั้น เหล่าไท่ไท่ก็เดือดจัด

ตอนนั้นบิดานางยังอยู่ พวกเขาให้ความช่วยบุตรสาวคนโต แต่บุตรสาวคนโตกลับเป็นคนอ่อน ต่อให้พวกเขาอยากให้ความช่วยอย่างไรก็ไม่ได้!

โจวกุ้ยหลานหมดคำพูด เรื่องพรรค์นี้นางไม่ไหวจริงๆ นางไม่ชอบคนแบบนี้มาก บุคลิกไม่เข้ากับนาง

“ถ้าพี่เจ้าเด็ดเดี่ยวได้อย่างเจ้าสักครึ่ง ข้าก็ไม่โมโหนางขนาดนี้แล้ว! นางยังกล้าบอกข้าอีก ว่าครอบครัวพวกเจ้ากินอาหารอยู่กับข้า ถ้าเลี้ยงลูกคนเล็ก ก็ต้องเลี้ยงลูกคนโตด้วย เอาธันยพืชร้อยจินกลับไปก็สมควรแล้ว! นี่ไม่ใช่ให้ข้าโมโหตายหรือ?”

เหล่าไท่ไท่เอ่ย ทุบอกตัวเองอย่างหนัก

จะอกแตกตายอยู่แล้ว!

“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า?” โจวกุ้ยหลานอดบ่นไม่ได้

นางอยู่บ้านมารดาไม่กี่วัน ทำไมถึงไม่เป็นสุขอย่างนี้ได้? แม้แต่บ้านแม่สามีของพี่สาวใหญ่ก็ยังมาเอาเรื่อง

“บ้านนั้นก็คิดจะเอาธันยพืชจากบ้านเราไปหรือ? ยัยแก่นี่ช่างคิดนัก! ข้าไม่ยักรู้ว่าลูกสาวบ้านไหนแต่งงานไปแล้วยังมาเอาธันยพืชบ้านแม่ไปกิน!”

เหล่าไท่ไท่เอ่ย ถลึงตาต้องประตูอย่างแรง ราวกับหลังประตูมีคนอยู่

ทีแรกนางยังคิดจะนำธันยพืชหยาบไปให้บุตรสาวคนโต แต่พอเป็นอย่างนี้แล้ว นางไม่อยากมอบให้สักนิด อย่างไร ของของนางตกมาจากสวรรค์หรือ? เพราะบุตรสาวคนเล็กมีความสามารถซื้อมาได้มากขนาดนี้ต่างหาก นั่นเป็นของที่บุตรสาวคนเล็กได้มาทีละเล็กละน้อย ทำไมนางต้องเอาของให้พวกคนเนรคุณบ้านนั้นกินด้วย?

“ท่านแม่ ท่านสุดยอดไปเลย!” โจวกุ้ยหลานยกนิ้วหัวแม่มือให้เหล่าไท่ไท่

นางโชคดีจริงๆ ที่การข้ามเวลาครั้งนี้ ได้มารดาที่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรแบบนี้

“ข้าสวีเหมยฮวาเก่งมาทั้งชีวิต ยังต้องให้เจ้าบอกหรือ? สงสารแต่หลานสาวของข้า ไข้ขึ้นตลอด แต่ไม่ได้ไปหาหมอ ถ้าเป็นไข้จนโง่งม บ้านพวกเขาคิดจะทำอย่างไร?” เหล่าไท่ไท่เอ่ย ขมวดคิ้วมุ่น

บุตรสาวตัวเองหิวก็หิวไปเถอะ นางไม่เอาไหน ต้องหิวให้รู้ตื่น! แต่หลานสาวเพิ่งจะอายุสิบสองปี ถ้าไข้ขึ้นจนโง่งม อนาคตจะใช้ชีวิตอย่างไร?

“บ้านนั้นไม่ยอมให้เงินนางรักษาแน่!”

ว่าแล้วเหล่าไท่ไท่ก็โมโหกัดฟันอีก

ตามหลัก หลานสาวป่วยอย่างไรก็ไม่ควรให้นางออกเงินรักษา แต่บ้านนั้นไม่สนใจความเป็นความตายของหลาน แต่การให้นางมองหลานสาวน่าเวทนาอยู่อย่างนี้ นางก็ปวดใจนัก

“ท่านแม่ ท่านก็ให้พี่สาวใหญ่หนึ่งตำลึงสิ” โจวกุ้ยหลานรู้ความคิดของเหล่าไท่ไท่ เสนอ

เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว “นางไม่เอาไหน ให้เงินไปแล้ว ยังมิใช่ให้คนบ้านนั้นหรือ? จะรักษาให้เด็กหรือ?”

นางไม่เชื่อบุตรสาวคนโตสักนิด

“ท่านก็แอบให้นางสิ นางยังจะกลับไปโพนทะนาว่าท่านให้เงินนางหนึ่งตำลึงหรือ? นั่นเป็นลูกสาวของนางเองนะ หรือนางไม่อยากรักษาให้หาย? ท่านก็บอกนางว่าเงินนี่เป็นเงินรักษาลูกของนาง เป็นน้ำใจจากท่านที่เป็นยาย ถ้านางยังเอาไปให้พวกเขา เช่นนั้นก็ให้ลูกสาวนางรอความตายเถอะ”

โจวกุ้ยหลานเสนอความคิดเห็น

นางไม่มีความรู้สึกอะไรกับหลานสาวคนนี้ แต่อย่างไรก็เป็นหลานสาวของเหล่าไท่ไท่ อีกฝ่ายย่อมอนาทรห่วงหา ดังนั้นจึงให้คำแนะนำกับเหล่าไท่ไท่

สำหรับโจวคายจือ? อ่อนเดินไป หากพูดแบบไม่น่าฟัง ก็คือขี้ขลาดเกินไป

เหล่าไท่ไท่คิด รู้สึกว่านี่ก็คือวิธีหนึ่ง

“อย่างนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่า ให้พี่เจ้าเข้ามา”

รู้ว่าเหล่าไท่ไท่คลี่คลายปมในใจแล้ว นางจึงเดินไปเปิดประตู แล้วไปที่ห้องครัว

เห็นโจวคายจือกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว พลันเรียกนาง “พี่สาวใหญ่ ท่านแม่เรียกท่านน่ะ”