รอยยิ้มหยันที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งของหลี่ซื่ออวี๋ทำให้สีหน้าของชายชราแข็งทื่อ ทว่าแป๊บเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดจาอยู่หลายวินาที สุดท้ายชายชราถึงค่อยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเผยร่องรอยความเหนื่อยล้า เขากล่าวเสียงแผ่วว่า “ถึงแม้ปู่คือปู่ของพวกหลาน แต่ก็เป็นผู้นำตระกูลหลี่ด้วย ปู่ต้องรับผิดชอบตระกูลหลี่ทั้งตระกูล”
ความหมายในคำพูดประโยคนี้ของชายชราชัดเจนมาก ถึงแม้เขาคือคุณปู่ของพวกหลี่ซื่ออวี๋ แต่เขาไม่อาจมองข้ามผลประโยชน์ของตระกูลหลี่ทั้งตระกูลและตัดสินใจโดยพลการได้ เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงจำเป็นต้องยอมถอย
สีหน้าของชายชราทำให้หัวใจของหลี่ซื่ออวี๋กระตุกฉับพลัน เขาคล้ายกับสัมผัสได้ถึงความจนปัญญาของคุณปู่ยามเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากสภาอาวุโสของตระกูลหลี่ สีหน้าของเขาพลันหมองหม่น “สภาอาวุโสเหรอครับ?”
“อย่าตำหนิเลย พวกเขาทำเพื่ออนาคตของตระกูลหลี่ทั้งหมดเหมือนกัน ร่างกายของพี่ชายใหญ่หลานแย่มากเกินไป นอกจากนี้…” ดวงหน้าเกรงขามของชายชราเผยร่องรอยความเสียใจออกมา
น่าเสียดายที่ต่อให้ชายชราอยากอธิบายอีกยังไง ในใจหลี่ซื่ออวี๋ก็ตัดสินความผิดให้สภาอาวุโสแล้ว เขากล่าวตัดบททันทีว่า “คุณปู่ครับ ไม่ต้องพูดเยอะแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่าง ต้องมีสักวันที่ผมจะ…” หลี่ซื่ออวี๋กล่าวถึงตรงนี้ก็ตัดสายของคุณปู่อย่างเด็ดขาด แววตาเผยร่องรอยจิตสังหารกระหายเลือดออกมาเป็นครั้งแรก
หลี่ซื่ออวี๋ไม่เคยคิดจัดการเรื่องราวอย่างเด็ดขาดโดยไม่เหลือช่องทางในการแก้ไข ในใจเขามักจะเหลือความหวังไว้ นี่คือข้อดีของเขาและก็เป็นข้อเสียด้วย ดังนั้นเขาถึงสามารถปฏิเสธที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งเพื่อญาติผู้พี่และเพื่อสายสัมพันธ์ครอบครัวในใจ และเรื่องนี้ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่หลิงหลานสามารถล่อลวงเขาเข้าร่วมทีมได้สำเร็จ
ทว่าครั้งนี้ เรื่องของหลี่อินเฟยทำลายความไร้เดียงสาที่เขาหลงเหลือไว้ในใจจนยับเยิน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว หากไม่มีความสามารถ ไม่มีอำนาจ ไม่มีประโยชน์คุณค่า ตระกูลหลี่ก็จะทอดทิ้งคุณโดยไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย…เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บแค้น เคียดแค้นพวกอาวุโสที่ทอดทิ้งญาติผู้พี่อย่างไร้ความปรานีและตัดสินใจหยามเกียรติของญาติผู้พี่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาอยากแก้แค้น เขาไม่มีวันปล่อยพวกอาวุโสเหล่านั้นไปเด็ดขาด
ชายชราเห็นสัญญาณอุปกรณ์สื่อสารในมือถูกตัดไปก็อดส่ายหน้าไม่ได้ จากนั้นก็ทอดถอนใจเบาๆ ว่า “ซื่ออวี๋เอ๋ย หลานยังอ่อนหัดเกินไปหน่อยนะ”
หลี่ซื่ออวี๋ที่ตัดสายแล้วก็ยากสะกดกลั้นโทสะที่เต็มเปี่ยมในใจตัวเอง เขารีบกลับไปยังห้องทดลองของเขา ขังตัวเองอยู่ด้านใน เก็บตัวอยู่หนึ่งเดือนกว่า
หลี่ซื่ออวี๋รู้ดีว่า การกระทำเช่นนี้ของสภาอาวุโสบ่งบอกว่าญาติผู้พี่ของเขาสิ้นอำนาจในตระกูลหลี่อย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้เกรงว่าอยู่ในตระกูลหลี่ก็ยากแม้แต่จะเคลื่อนไหวสักก้าว ถ้าเกิดท้ายที่สุดคุณปู่ต้านทานแรงกดดันจากสภาอาวุโสไม่ไหว การถูกทอดทิ้งก็เป็นเพียงปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น เขาจำเป็นต้องเร่งความเร็ว ต่อให้ไม่อาจวิจัยยาสูตรลับที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพของญาติผู้พี่ได้จนหมด แต่เขาก็ต้องหายาที่บรรเทาอาการให้ได้ ช่วยเหลือญาติผู้พี่ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้อย่างสุดความสามารถ…
ไม่เอ่ยถึงทางหลี่ซื่ออวี๋ที่กำลังร้อนใจราวกับโดนเผาแล้ว ทางด้านหลี่หลานเฟิง หัวใจที่เดิมทีสิ้นหวังหนาวเหน็บในที่สุดก็กลับมาเป็นปกติเพราะความอบอุ่นบนฝ่ามือของหลิงหลาน ร่างกายที่ตอนแรกสั่นระริกก็ค่อยๆ กลับมาสงบลง ดวงตาสองข้างเปลี่ยนเป็นเย็นกระจ่างใส ทั่วทั้งร่างดูเยือกเย็นอย่างหาใดเปรียบ
ตอนแรกหลิงหลานอยากถามหลี่หลานเฟิงว่า อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อยไหม แต่กลับโดนหยุดไว้ด้วยดวงตาเย็นชาอำมหิตคู่นั้นของหลี่หลานเฟิงที่มองไปยังหลี่อินเฟย
เพลงของหลี่อินเฟยยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งหลี่อินเฟยร้องได้ไพเราะทำให้ทั้งสนามกีฬาบ้าคลั่งมากเท่าไหร่ แววตาของหลี่หลานเฟิงก็ยิ่งเย็นเยียบไร้อารมณ์
จำเป็นต้องพูดว่าเพื่อสร้างหลี่อินเฟยนักร้องจิตวิญญาณคนนี้ เอเจนซี่ของเธอได้ลงทุนไปจำนวนมากจริงๆ บทเพลงที่เธอร้องทั้งห้าเพลงคือเพลงชั้นหนึ่ง สไตล์เพลงเป็นแบบครอบคลุม ทำให้พวกนักเรียนทหารฟังจนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม แน่นอนว่ารูปโฉมที่งดงามแห่งยุคของหลี่อินเฟยก็ยึดครองความดีความชอบไปมากกว่าครึ่ง ถึงแม้ยุคสมัยนี้ทุกคนไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายล้วนมีหน้าตาไม่เลวมากๆ อันเนื่องมาจากเหตุผลจำพวกยายีนทำการปรับเปลี่ยน แต่ความงามที่เป็นเอกในโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์เหมือนอย่างหลี่อินเฟยยังคงเป็นสิ่งที่ร้อยปียากจะเจอสักครั้ง
คอนเสิร์ตครั้งนี้ได้ประกาศถึงความสำเร็จของหลี่อินเฟย เสียงร้องของเธอและโฉมหน้าของเธอแพร่สะพัดผ่านทางโลกเสมือนจริง กลายเป็นไอดอลของทหารและประชาชนชาวสหพันธรัฐจำนวนมากในคราเดียว และกลายเป็นหนึ่งในนักร้องจิตวิญญาณที่โด่งดังที่สุด และเนื่องจากบทเพลงของเธอแทบจะเป็นหัวข้อเกี่ยวข้องกับทหารและสงคราม ดังนั้นเธอจึงยิ่งได้รับชื่อเสียงในหมู่ทหาร และกลายเป็นไอดอลของกองทัพทั้งหมดตามหลังหลิงเซียว
ในระหว่างคอนเสิร์ต หลิงหลานเป็นห่วงร่างกายของหลี่หลานเฟิงมาตลอด กลัวว่าเขาจะฝืนทนไม่ไหว ทว่าพอถึงช่วงหลัง สภาพของหลี่หลานเฟิงก็ดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเขาก็ไม่ต่างอะไรจากในตอนแรก อย่างไรก็ตาม หลิงหลานที่ความรู้สึกไวยังคงสัมผัสได้ว่า ร่างของหลี่หลานเฟิงดูเหมือนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มากอย่างเห็นได้ชัด
คอนเสิร์ตสิ้นสุดลง หลี่หลานเฟิงก็รีบบอกลาหลิงหลานราวกับมีธุระเร่งด่วน เมื่อหลี่หลานเฟิงจากไป ฉางซินหยวนก็มาบอกหลิงหลานเรื่องที่หลี่ซื่ออวี๋ออกไปตอนกลางคอนเสิร์ต นี่ทำให้คนอื่นๆ ในทีมสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครเป็นคนยกประเด็นขึ้นมาว่า หลี่อินเฟยมีความเกี่ยวข้องกับหลี่ซื่ออวี๋และหลี่หลานเฟิงหรือเปล่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็นามสกุลหลี่กันหมดเลยไม่ใช่เหรอ?
แน่นอนว่าปัญหาเรื่องนี้ถูกทุกคนโยนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้หลี่อินเฟยมีความเกี่ยวข้องกับพวกหลี่ซื่ออวี๋แล้วเป็นอย่างไร? ถึงแม้เซี่ยอี๋กับฉีหลงชอบฟังเพลงของหลี่อินเฟย แต่พวกเขาก็ขีดเส้นไว้เพียงเท่านี้ ไม่มีความคิดอะไรอื่นเลย เอาเถอะ ฉีหลงกับเซี่ยอี๋ยังอายุน้อยแถมถูกลูกพี่หลิงหลานกดดันมาตลอด พวกเขาที่มัวแต่คิดเรื่องแข็งแกร่งขึ้นยังไม่ถึงเวลาไปครุ่นคิดเรื่องความรัก
อย่างไรก็ตาม เซี่ยอี๋ที่ชอบเข้าหาคนอื่นยังคงข่มกลั้นความสงสัยไม่ไหว และไปหาหลี่อิงเจี๋ยถามหยั่งเชิงดู ทว่าหลี่อิงเจี๋ยกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้เลยว่าหลี่อินเฟยคือใคร แต่การพูดเตือนของเซี่ยอี๋ก็ทำให้ใจเขาเกิดความสงสัยเช่นกัน ชื่อของหลี่อินเฟยคล้ายคลึงกับคนของตระกูลหลี่อย่างพวกเขามากจริงๆ
คำตอบของหลี่อิงเจี๋ยทำให้เซี่ยอี๋เหยียดหยามมาก เยาะหยันว่าหลี่อิงเจี๋ยยืนยันไม่ได้แม้กระทั่งว่าเป็นคนของตระกูลตัวเองหรือเปล่า นี่ทำให้หลี่อิงเจี๋ยโมโหสุดขีด เขาที่ตอนแรกไม่ค่อยสนใจเรื่องวุ่นวายของตระกูลหลี่ ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วว่า มีโอกาสเมื่อไหร่จะต้องเอารายชื่อลูกหลานสายรองของตระกูลมาให้ได้ เพื่อไม่ให้เวรเซี่ยอี๋คนนี้ดูถูกอีก...
หลี่อิงเจี๋ยไม่คาดคิดเลยว่าเพราะการสอบถามของเซี่ยอี๋ในครั้งนี้จะทำให้เขาเกิดความสนใจแบบนี้ขึ้นมา และช่วยเขาค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ในอนาคต…
……
เมื่อหลี่หลานเฟิงกลับมาถึงที่พักของเขา ก็เข้าไปในห้องตัวเองแล้วปิดประตูห้อง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าปลอดภัยทุกอย่าง เขาก็โทรหาคุณปู่ของตัวเอง ในหน้าจอเสมือนจริงของอุปกรณ์สื่อสารปรากฏภาพชายชราผู้หนึ่ง เขาก็คือคนที่พูดคุยกับหลี่ซื่ออวี๋นั่นเอง
ชายชราเห็นหลี่หลานเฟิงที่อยู่ตรงข้าม ความเฉยชาในตอนที่คุยกับหลี่ซื่ออวี๋ก็เปลี่ยนไป ดวงหน้ามีรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย ถอนหายใจกล่าวว่า “ซื่ออวี๋ติดต่อหาปู่แล้ว ปู่ยังคิดอยู่เลยว่า หลานจะติดต่อหาปู่เมื่อไหร่ ไม่นึกเลยว่าหลานจะอดทนเก่งมาก ผ่านไปนานขนาดนี้…”
สีหน้าของหลี่หลานเฟิงเย็นเยียบมาก เขาเอ่ยตัดบททันทีว่า “คุณปู่ครับ หลี่อินเฟย ถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นฝีมือของปู่สินะ” เทียบกับหลี่ซื่ออวี๋แล้ว เขาเข้าใจปู่ของตัวเองมากกว่า
รอยยิ้มของชายชราหายไปทันใด ดวงหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างหาใดเปรียบ “สมกับเป็นผู้สืบทอดที่ฉันตั้งใจสั่งสอน คิดออกทันทีเลย”
“เพราะว่าผมเข้าใจวิธีการของปู่ดี ผมถึงขนาดเดาได้ว่า คำอธิบายที่ปู่ให้ซื่ออวี๋ น่าจะเป็นการตัดสินใจของสภาอาวุโส สภาอาวุโสของตระกูลหลี่ที่น่าสงสารกลายเป็นแพะรับบาปของปู่อีกแล้ว” การเหน็บแนมของหลี่หลานเฟิงชัดเจนยิ่งกว่าหลี่ซื่ออวี๋ นี่ทำให้ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนไม่หยุด เมื่อเทียบกับหลี่ซื่ออวี๋ที่หลอกง่ายแล้ว หลานชายคนนี้ของเขาหลักแหลมราวกับปีศาจ ปกปิดเขาไม่ได้เลย
หลี่หลานเฟิงไม่สนใจความอับอายของชายชรา เขาเอ่ยถามต่อว่า “ผมแค่อยากรู้ว่า คุณปู่ครับ ทำไมปู่ต้องทำแบบนี้ด้วย” น้ำเสียงของหลี่หลานเฟิงในยามนี้เย็นเยียบจนแทบจะไม่มีความอบอุ่นใดๆ แล้ว
“ปู่จำเป็นต้องมีแผนสอง” สายตาของชายชราพลันเฉียบคมขึ้นมา “ปู่ไม่ยอมให้หลานชายของปู่มีชะตาหงส์หรอกนะ ถ้าเกิดไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ละก็ หลี่อินเฟยก็จะเป็นตัวแทนของหลาน”
ชายชราบอกคำตอบให้หลี่หลานเฟิงอย่างตรงไปตรงมา เขาวางแผนมานานหลายปีเพื่อเรื่องนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอหลี่อินเฟยที่หน้าตาคล้ายคลึงกับหลานชายเขาห้าหกส่วนจากในสายรองของตระกูลหลี่ สิ่งสำคัญที่สุดคือบิดามารดาของอีกฝ่ายเสียชีวิตไปทั้งคู่แล้ว ทุกอย่างต่างอยู่ในการควบคุมของเขา หลายปีมานี้ เขาใช้เทคโนโลยีศัลยกรรมล่าสุดของตระกูลหลี่ ทดลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็เปลี่ยนหลี่อินเฟยให้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงถึงเก้าส่วนได้สำเร็จ บวกกับเทคนิคแต่งหน้า มองแวบเดียว นอกจากอุปนิสัยเฉพาะตัวแล้ว ก็แทบไม่ต่างอะไรกับหลานชายของเขาเลย…
คำตอบของชายชราทำให้หัวใจของหลี่หลานเฟิงพลันกระตุกด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายเขายังคงอ่อนแอเกินไป ดังนั้นคุณปู่ของเขาจึงไม่เชื่อว่าเขาสามารถแก้ไขดวงชะตาได้จริงๆ ถึงได้คิดจะใช้วิธีการที่ทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้าแบบนี้พาเขาหลบหนีจากชะตาหงส์
“ผมเข้าใจแล้วครับ…” หลี่หลานเฟิงหลับตาลงด้วยความร้าวรานใจ ปกปิดความเจ็บปวดในใจ กระทั่งคนใกล้ชิดมากที่สุดก็ไม่เชื่อความอุตสาหะของเขา เขาจะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไรอีกล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจเช่นนี้ของคุณปู่ก็หมายความว่าอนาคตเขาไม่สามารถเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อหน้าผู้คนได้อีกต่อไปแล้ว
เขานึกถึงกระต่าย เคยคิดอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยมว่า ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน รอจนถึงวันเกิดอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ของเขา เขาจะยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย บอกความจริงทุกอย่างให้เขาฟัง ทว่าทุกอย่างนี้ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว เขาทำได้เพียงใช้ชีวิตต่อไปด้วยสถานะของหลี่หลานเฟิง ถึงขนาดที่ชั่วชีวิตเป็นได้เพียงแบบนี้เท่านั้น
ชายชราคล้ายกับสัมผัสได้ถึงความเสียใจของหลี่หลานเฟิง เขาทอดถอนใจลึกๆ “สิ่งที่บาปหนาจำเป็นต้องสละทิ้ง”
หลี่หลานเฟิงหัวเราะด้วยความรันทดใจ ที่แท้คุณปู่คิดว่าหน้าตาของเขาคือตัวตนที่บาปหนาเหรอ? น่าขำเกินไปแล้ว ถ้าเกิดชะตาหงส์เล็งมาที่ใบหน้านี้เท่านั้น แค่ทำลายมันก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องสร้างหลี่อินเฟยขึ้นมาด้วย? สุดท้าย คุณปู่แค่กำลังหลอกตัวเองกับคนอื่นเท่านั้น
หลี่หลานเฟิงเก็บรอยยิ้มในที่สุด เขาพลันลืมตาขึ้น ความโศกเศร้าพาดผ่านในดวงตา มองชายชราอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง ถึงค่อยกล่าวว่า “คุณปู่ครับ นี่คือครั้งสุดท้ายที่ผมจะติดต่อคุณปู่ ต่อไปผมไม่ใช่หลี่หมู่หลานอีกแล้ว แต่ว่าเป็นหลี่หลานเฟิง และก็เป็นได้แค่หลี่หลานเฟิงเท่านั้น!”
ชายชราได้ยินคำกล่าว ร่างกายพลันสั่นสะท้าน นัยน์ตาแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาขยับริมฝีปาก ท้ายที่สุดถึงค่อยพยักหน้าเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “หลี่หลานเฟิง หลานดูแลตัวเองดีๆ ด้วย!”
ชายชรากดปุ่มตัดสาย เขานิ่งมองหน้าจอเสมือนจริงที่เปลี่ยนเป็นสีดำ เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยเสียงเบาหวิวว่า “ปู่ทำได้เพียงเท่านี้ ต่อไปก็อยู่ที่หลานแล้ว มู่หลาน!” กล่าวจบ ร่างของเขาก็ห่อเหี่ยวลง แผ่นหลังงอขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่มีความเด็ดเดี่ยวเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับหลานชายสองคนในหน้าจออีกต่อไป