ตอนที่ 607 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (14) ตอนที่ 608 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (15)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 607 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (14) / ตอนที่ 608 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (15)
ตอนที่ 607 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (14)

ในยุคสมัยที่คุณค่าของสตรีถูกตัดสินด้วยความงามและกิริยาท่าทาง มีสตรีใดบ้างที่ไม่ทะนุถนอมใบหน้าของตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เพิ่งเข้าสู่วัยสาวสะพรั่ง อย่างไรก็ตามแส้ที่ไร้ปรานีของหลงฉีก็ดูเหมือนจะมีเจตนาทำลายใบหน้าอันงดงามแต่เจ้ามารยานั่นทั้งหมด!

หนิงซินร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด ทั้งอ้อนวอนและขอร้อง สายตานับไม่ถ้วนที่มองมาที่นางเหมือนจะบอกนางว่าตอนนี้นางดูอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัวมากแค่ไหน

อย่ามอง…

ได้โปรดอย่ามอง!

หนิงซินกรีดร้องอยู่ในใจ ใบหน้าของนาง ความภาคภูมิใจของนางแตกสลายกลายเป็นผุยผงในตอนนั้น ทุกสิ่งที่เป็นที่รักของนางถูกกระชากไปจากนางจนหมด

ในตอนที่นางดูน่าเวทนาที่สุด และความอัปยศเสื่อมเสียทั้งหมดที่ถูกเผยออกมาต่อหน้าศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวทุกคน นางไม่อาจหลบซ่อนไปที่ใดได้ ความเจ้าเล่ห์หลอกลวงของนางถูกเปิดเผยให้ทุกคนได้เห็น หน้าตาอันงดงามของนางถูกทำลาย และแทบจะไม่มีเนื้อส่วนที่สมบูรณ์ดีอยู่บนร่างกายของนาง หนิงซินในตอนนี้น่าเกลียดน่าขยะแขยงมากกว่าขอทานสกปรกบนท้องถนนเสียอีก!

เฆี่ยนสามสิบครั้ง…หลงฉีเฆี่ยนไปถึงยี่สิบเก้าครั้งแล้ว แม้ว่าหนิงซินจะอ่อนแอมาก แต่ไม่มีบาดแผลไหนที่ร้ายแรงจนถึงตาย หนิงรุ่ยกำหมัดแน่น โทสะและความเกลียดชังในหัวใจทำให้เขารู้สึกอยากจะฉีกกระชากจวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ออกเป็นชิ้นๆ

อีกครั้งเดียว แค่ครั้งเดียว…

ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นอะไร!

ตราบใดที่หนิงซินรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เขาก็มีหนทางมากมายที่จะให้นางได้ทุกอย่างคืนมา ต่อให้ไม่อาจอยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวต่อไปได้ ก็ยังมีสถานที่ที่ดีกว่าอีกมากมายที่เขาจะสามารถพานางไปอยู่ได้!

ตราบเท่าที่นางผ่านการเฆี่ยนครั้งสุดท้ายไปได้ เขาก็สามารถทำทุกอย่างให้พลิกกลับมาได้!

หนิงรุ่ยกำหมัดแน่นมากเสียจนข้อนิ้วเป็นสีขาว เขามองแส้ในมือของหลงฉีและเตรียมพร้อม ในตอนที่แส้กระทบร่างหนิงซินเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็จะรีบพุ่งเข้าไปช่วยนาง

ขณะที่หลงฉีกำลังเหวี่ยงแส้เป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นเขาก็ชักมือกลับ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เงื้อแขนขึ้นอีกครั้ง!

การเฆี่ยนครั้งสุดท้ายนั้นไม่ได้ตรงไปที่ใบหน้าหรือลำตัวของหนิงซิน แต่เล็งตรงไปที่บริเวณสะโพกของนาง!

ร่างกายส่วนล่างที่ถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ก่อนหน้านี้มีบาดแผลน่ากลัวและเต็มไปด้วยคราบเลือด เมื่อบริเวณนั้นถูกแส้อันทรงพลังของหลงฉีฟาดเข้าไป ร่างกายของหนิงซินก็ขาดกระจุย!

ร่างกายของหนิงซินขาดเป็นสองท่อนด้วยการเฆี่ยนที่รุนแรงผิดธรรมดาของหลงฉีที่ใส่แรงเข้าไปทั้งหมด อวัยวะภายในและลำไส้ทั้งหมดของนางไหลลงมากองกับพื้น!

นั่นคือตอนที่หนิงซินได้หายใจเป็นครั้งสุดท้าย

กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ดวงตาของนางก็ยังเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและอาฆาตแค้น

หนิงรุ่ยตกตะลึง!

เขาเซถอยหลังไปสองสามก้าว และไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็น!

เขาต้องรอการเฆี่ยนอีกแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวนั้นได้พรากเอาชีวิตของหนิงซินไป ร่างกายของนางแยกเป็นสองท่อน ต่อให้พระเจ้าเสด็จลงมาก็ไม่สามารถเอาชีวิตนางกลับมาได้!

ตอนที่เขาจมอยู่ในความสิ้นหวัง แสงแห่งความหวังเล็กๆ ก็ถูกจุดขึ้นมา และในช่วงเวลาสุดท้ายความหวังก็ถูกกระชากออกไป เขาถูกผลักลงสู่หุบเหวนรกอันมืดมน

หนิงรุ่ยรู้สึกว่าเรี่ยวแรงของเขาถูกสูบออกไปจนหมด เขาสามารถยืนอยู่ได้ด้วยการพยุงของศิษย์เท่านั้น เขามองร่างของหนิงซินอย่างเหม่อลอย ไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่าบุตรีของเขาตายไปแล้ว

“การลงโทษเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ก็ได้รับการแก้ไขแล้ว” หลังจากเฝ้ามองหนิงซินค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ และเพลิดเพลินกับสีหน้าสิ้นหวังสุดขีดของหนิงรุ่ย จวินอู๋เสียก็กล่าวปิดประเด็น

ใบหน้าของฟ่านฉีซีดขาวราวกับศพ ถึงแม้เขาจะได้รู้ถึงนิสัยอันชั่วร้ายและหลอกลวงของหนิงซิน แต่การได้เห็นหนิงซินถูกทรมานจนตายอย่างช้าๆ ด้วยตาของตนเองก็ยังน่ากลัวและทำร้ายจิตใจเขามากเกินไปอยู่ดี

ตลอดเวลาที่การลงโทษดำเนินไป จวินอู๋เสียไม่กะพริบตาสักครั้ง ฟ่านฉีพลันรู้สึกกลัวความอำมหิตเย็นชาของคุณหนูใหญ่แห่งสกุลจวินผู้นี้ขึ้นมา

“ขอรับ…ขอรับ…” ฟ่านฉีตอบอย่างอ่อนแรงขณะที่มีฟ่านจิ่นคอยพยุงตัวเอาไว้ เสียงของเขาเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

ตอนที่ 608 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (15)

ฟ่านฉีตระหนักได้ด้วยความเจ็บปวดว่าจวินอู๋เสียต้องการให้หนิงซินตายตั้งแต่แรกแล้ว แต่จวินอู๋เสียไม่ยอมให้หนิงซินตายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว นางทำลายความเย่อหยิ่งและทะนงตัวของหนิงซินทีละนิด ทำให้หนิงซินมีความหวังเล็กๆ ที่จะรอดชีวิตขณะที่อยู่ปากเหวแห่งความตาย และเมื่อความหวังนั้นเริ่มใกล้จะเป็นจริง จวินอู๋เสียก็ทำลายมันทิ้งเสียด้วยการทำให้ชีวิตของนางถึงจุดจบโดยไม่อาจหวนคืน

ฟ่านฉีไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดเด็กสาวอายุน้อยเช่นนี้จึงชั่วร้ายและโหดเหี้ยมอำมหิตได้มากขนาดนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือหลังจากวันนี้ไปจะไม่มีศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวคนไหนกล้าต่อต้านกองทัพรุ่ยหลินอีกแม้แต่คนเดียว

ไม่ใช่เพราะพวกเขามีชื่อเสียงว่าเป็นกองทัพที่โจมตีได้ดุดันที่สุด แต่เพราะตอนนี้ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่าสกุลจวินนั้นมีคุณหนูใหญ่ที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างไม่น่าเชื่อ!

ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบดังออกมาจากบรรดาศิษย์ที่รวมตัวกันอยู่แถวประตูใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นและพากันตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว

ล่วงเกินสวรรค์ ล่วงเกินแผ่นดิน…แต่อย่าได้คิดล่วงเกินกองทัพรุ่ยหลิน!

นั่นคือสิ่งที่ศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวทุกคนเห็นพ้องต้องกันในวันนั้นโดยไม่ได้พูดออกมา

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือนอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนไปตลอดกาล กระทั่งในยามที่พวกเขาหลายคนมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในอนาคต พวกเขาก็ยังคงถูกความกลัวที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจอย่างไม่อาจอธิบายได้ตามหลอกหลอนเมื่อใดก็ตามที่มีการพูดถึงกองทัพรุ่ยหลินกับจวนหลินอ๋อง

ในความเงียบสนิทนั้น มีคนหลายคนเดินมาที่ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว

“เกิดอะไรขึ้น” เฉียวฉู่จับกลิ่นคาวโลหิตได้จากที่ไกลๆ และเมื่อพวกเขามาถึงประตูสำนักศึกษาเฟิงหัว พวกเขาก็พบกับกองทัพทหารในชุดเกราะสีเงินนั่งอยู่บนหลังม้าศึกปิดกั้นทางเข้า

ทหารกองทัพรุ่ยหลินหันมามองเฉียวฉู่กับพรรคพวกโดยพร้อมเพรียงกัน สายตาแข็งกล้าของพวกเขาแผ่กลิ่นอายกดดันออกมา พวกเขากำลังจะขอให้พวกทหารเปิดทางให้ ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากหลังม้า

“คุณชาย ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ” ทหารคนนั้นฉีกยิ้มกว้างขณะที่พูดทักทาย

เฉียวฉู่กะพริบตาปริบๆ เขามองทหารที่ดูเป็นวีรบุรุษคนนั้นพร้อมเค้นสมองคิดว่าเขาเคยเจอคนแบบนี้ที่ไหน!

“กองทัพรุ่ยหลิน! อะฮ้า! เราเคยเจอกันในป่าประลองวิญญาณ!” เฉียวฉู่พูดพร้อมหัวเราะ

อาจารย์ที่ทำหน้าที่พาเฉียวฉู่กับพรรคพวกมาที่นี่ จ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นเฉียวฉู่พูดกับทหารจากกองทัพรุ่ยหลินที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างคุ้นเคย ดวงตาของเขาแทบถลนออกมานอกเบ้าเมื่อเฉียวฉู่หัวเราะเสียงดังต่อหน้าทหารคนนั้น

ทหารคนนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตร และเมื่อเขาเห็นอาจารย์มองเขาอย่างตกใจ เขาก็หันมา รอยยิ้มเป็นมิตรหายไปในทันที เมื่อเจอสายตาอันน่ากลัวของทหารคนนั้น อาจารย์ก็หดตัวและล่าถอยไปด้านหนึ่งทันทีโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำเดียว

เมื่อสายตาของทหารคนนั้นย้ายไปสำรวจคนที่เหลือ และเห็นฮวาเหยา หรงรั่ว และเฟยเยียน รอยยิ้มก็กลับมาที่ใบหน้าของทหารกองทัพรุ่ยหลินคนนั้น

“ท่านแม่ทัพเอกหลงกับคุณหนูใหญ่อยู่ข้างใน รีบเข้าไปเถอะขอรับ”

เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ พยักหน้ายิ้มๆ และกองทหารที่ปิดกั้นทางเข้าสำนักศึกษาเฟิงหัวก็เปิดเส้นทางให้พวกเขาผ่านเข้าไป หลังจากเข้าไปแล้ว พวกทหารก็เคลื่อนกลับมาปิดทางเข้าออกอีกครั้ง

อาจารย์ที่ถูกทิ้งไว้ข้างนอกคนเดียวไม่มีทางเลือกนอกจากรออยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเข้าไปใกล้

เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ รีบเดินเข้าไปในสำนักศึกษาเฟิงหัว แต่พวกเขาก็พบกับกลุ่มศิษย์จำนวนมากที่รวมตัวกันแถวประตู แต่สิ่งที่พวกเขาพบว่าแปลกยิ่งกว่าก็คือการที่ศิษย์ทุกคนพากันยืนแข็งอยู่กับที่โดยไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด

“ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ทำท่าอย่างกับเห็นผี!” เฉียวฉู่กระซิบกับคนอื่นๆ

พวกเขาได้รับข้อความจากอาจารย์คนหนึ่งให้พวกเขารีบไปที่ตึกหลัก และเมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในนี้ พวกเขาก็รู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ศิษย์ทุกคนถึงแม้จะเห็นเฉียวฉู่กับคนอื่นๆ เข้ามาก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขาแค่ชำเลืองมองมาครั้งหนึ่ง แล้วรีบหันกลับไปมองทางเดิม ศิษย์บางคนที่ทนเห็นเลือดไม่ได้ก็วิ่งออกจากกลุ่มคนไปอาเจียนอยู่ตรงกำแพง