บทที่ 272.3 ฟื้นความจำ (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 272 ฟื้นความจำ (3)
จี้จิ่วอาวุโสและเซียวลิ่วหลังก็เพิ่งจะเสร็จงานจากกั๋วจื่อเจียนและสำนักฮั่นหลินก็กลับมาถึงที่เรือนพอดิบพอดี

“พวกตระกูลจวงอะไรนั่นเจ้าไม่ต้องไปยุ่งหรอก เดี๋ยวข้าจะหาวิธีจัดการกับพวก…”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันตอนที่กำลังเดินผ่านโถงเรือนอยู่นั้น สายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่หญิงแก่คนหนึ่งที่กำลังป้อนข้าวให้เสี่ยวจิ้งคงอยู่

ที่เรียกว่าหญิงชรา หนึ่งเพราะพวกเขายังไม่เห็นว่านั่นคือจวงไทเฮา สองคือหญิงแก่คนนั้นสวมชุดเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป

ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรีบเอามือกุมกระเป๋าเงิน พลางตะโกน “ข้าไม่ได้ซ่อนเงินไว้นะ!”

จวงไทเฮาหันมาทางต้นเสียงด้วยสายตาขุ่นเคือง

จี้จิ่วอาวุโสพอเห็นดังนั้นก็ถึงกับสะอึก และคุกเข่าลง

เสี่ยวจิ้งคงพอเห็นดังนั้นก็เอ่ยทัก “เหตุใดท่านปู่ถึงได้ล้มลงไปเสียแล่วล่ะ”

ท่านปู่อย่างนั้นรึ จวงไทเฮาเริ่มชักสีหน้า!

จี้จิ่วอาวุโสเริ่มเหงื่อตก ซวยแล้ว! โดนเจ้าเณรน้อยเล่นเข้าให้แล้ว

ข้าไม่ได้เป็นปู่ของเจ้าซักหน่อย!

นางไม่ใช่ย่าของเจ้าด้วย!

เอ๊ะ ทำไมยิ่งแก้ตัวยิ่งแย่กว่าเดิมล่ะ…

ตายแล้ว ข้าไม่ใช่จักรพรรดิองค์ที่แล้วนะ!

ข้ากับไทเฮามีความสัมพันธ์เป็นแค่เจ้านายกับขุนนางรับใช้ก็เท่านั้น

ปัง!

จี้จิ่วอาวุโสรู้สึกถึงรังสีอำมหิตบางอย่างจากสายตาของไทเฮา

เรื่องมันชักจะบานปลานแล้วสิ

คนอื่นๆ ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!

แม่นมฝางและหลิวเฉวียนตกใจกับการปรากฏตัวของจวงไทเฮาจนถึงขั้นจับมีดทำอาหารไม่มั่น ซ้ำกู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นก็ไม่อยู่ที่เรือนด้วยอีก มื้อเย็นในวันนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของเซียวลิ่วหลังจัดการแทน

ด้วยสัญชาตญาณอะไรบางอย่างของจวงไทเฮาที่นึกอยากจะปฏิเสธฝีมืออาหารของเซียวลิ่วหลัง แต่ไม่รู้เพราะอะไร สุดท้ายก็ยอมลองชิมดู

ให้ตายสิ พ่อหนุ่มนี่หน้าตาก็ดีอยู่ แต่ไฉนทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย!

รสชาติแย่เสียจนร่างกายของนางสั่นสะท้านไปทั่ว จนความดันเริ่มพลุ่งพล่าน เหงื่อก็เริ่มไหลออกมาจากหน้าผาก เริ่มมีอาการเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนออกมา

ในขณะนั้นเอง เซียวหลิวหลังก็จ้องไปที่นาง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า “อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วหรือ ส่วนของเจียวเจียวน่ะยังไม่หายเลย นางได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”

นางบาดเจ็บสาหัส…

จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด…

‘ท่านย่า ท่านย่าเป็นคนที่ไหน’

‘จำได้ไหมว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร’

‘ทำไมน้อยจัง แค่สามอันเอง!’

‘ผลไม้อบแห้งน่ะแพงมากเลยนะ ไม่กินก็ไม่ต้องกิน!’

‘นี่เจ้าพูดจาแบบนี้กับย่าได้ไง’

‘ข้าออกไปขายของก่อนนะ ข้าอุ่นกับข้าวไว้บนเตาแล้ว ถ้าหิวก็ตักมากินเสีย แล้วก็อย่าลืมกินยาด้วย ถ้าแอบเททิ้งละก็อย่าคิดนะว่าข้าจะจับไม่ได้น่ะ’

‘เจียวเจียว’

‘เจียวเจียว เด็กดี มานี่มา’

‘ท่านย่า ข้าจะพากลับเอง’

‘ได้สิ’

ณ ตำหนักเหรินโซ่ว

จวงเย่ว์ซีเดินอ้อยอิ่งอยู่ด้านนอกห้องบรรทมของไทเฮามานานแล้ว แต่ไม่ยักกะเห็นไทเฮาเดินออกมาข้างนอกเสียที

ที่หน้าประตู มีขันทีที่ฝึกวรยุทธ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย

จวงเย่ว์ซีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถาม “ท่านกงกงทั้งสอง นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลาเสวยพระกระยาหารของไทเฮาแล้ว”

ขันทีนายหนึ่งเอ่ยขึ้น “ไทเฮาทรงมีรับสั่งมิให้ใครเข้าไปรบกวน นอกเสียจากให้พระองค์เดินออกมาข้างนอกเอง มิเช่นนั้นอาจเป็นการล่วงเกินพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จวงเย่ว์ซีเอ่ยถามต่อ “แต่นี่มันก็ดึกมากแล้ว หากพระองค์หิวขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ขันทีอีกนายหนึ่งเอ่ยพลางหัวเราะ “แม่นางจวงโปรดวางใจเถิด หากพระองค์ทรงหิวขึ้นมาจริงๆ คงมีรับสั่งให้ถวายพระกระยาหารเข้าไปอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งใช่ว่าในตำหนักจะไม่มีของกินเสียทีเดียว”

“ของว่างพวกนั้นไม่อิ่มหรอก” จวงเย่ว์ซีเอ่ยพลางทำหน้ากังวล

แต่สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดคือเด็กสาวคนนั้นต่างหาก

ก็เห็นๆ อยู่ว่าตอนแรกยังออกมาด้วยกันอยู่เลย แต่แค่ชั่วพริบตาเดียว นางนั่นก็แวบหายไปไหนเสียแล้ว จวงเย่ว์ซีจึงกังวลว่ากู้เจียวอาจจะลอบเข้าไปในห้องบรรทมของไทเฮา

นางคิดจะทำอะไรกับท่านย่า จะพูดอะไรกับท่านย่า หรือว่า นางจะมารำเลิกบุญคุณช่วงเวลาที่ผ่านมากันนะ

จวงเย่ว์ซีไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกเลยว่าของที่ไทเฮามอบให้นั้นล้วนแต่ไม่ใช่ของชอบของตน ความเอ็นดูที่ไทเฮามีต่อนางใช่ว่าจะเกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน

ไม่รู้ว่ายัยนั่นวางยาอะไรให้ท่านย่ากินกันแน่ ถึงได้เป็นแบบนี้

จวงเย่ว์ซีปักใจเชื่อว่ากู้เจียวจะต้องวางแผนอะไรไว้อย่างแน่นอน!

จวงเย่ว์ซีจึงเอ่ยกระซิบกับขันทีสองนาย “อย่างไรเสียพวกท่านก็ลองช่วยข้าพูดให้ที พวกท่านก็รู้ดีว่าไทเฮาทรงเอ็นดูข้ามาก พระองค์เองก็คงจะทรงไม่สบายพระทัยหากรู้ว่าข้ายืนคอยอยู่ข้างนอกอย่างนี้ตลอด ”

สิ้นประโยคเมื่อครู่ ขันทีทั้งสองจึงเริ่มลังเล

ทุกคนต่างรู้ว่าไทเฮาเป็นคนเคร่งครัดมาก แต่ช่วงนี้พวกเขาก็เห็นว่าไทเฮาให้ความสำคัญกับจวงเย่ว์ซีเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่จะมอบสมบัติให้ แถมยังสร้างตำหนักให้อีกด้วย

เห็นได้ชัดว่าไทเฮาเอ็นดูจวงเย่ว์ซีประหนึ่งองค์หญิงของวัง

หากไทเฮารู้ว่าพวกเขาปล่อยให้จวงเย่ว์ซียืนรอข้างนอกจนเหนื่อยล้าเช่นนี้ มีหวังไทเฮาได้กล่าวโทษพวกเขาแน่ๆ

เพียงแต่…พวกเขาเองก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของไทเฮาอีกเช่นกันเนี่ยสิ

จวงเย่ว์ซีจึงเอ่ยต่อ “หรือไม่ก็พวกท่านทั้งสองยอมให้ข้าเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเองทั้งหมด พวกท่านโปรดวางใจเถิด หากข้าอยู่นี่ ข้าจะไม่ให้พระองค์ลงโทษพวกท่านทั้งสองอย่างแน่นอน”

ขันทีทั้งสองมองสบตากันอยู่พัก ก่อนจะพยักหน้าและยอมตกลง

จวงเย่ว์ซีจึงเดินเข้ามาในห้องบรรทมพร้อมกับขนมเปี๊ยะกุหลาบอบสดใหม่

บรรดาข้าราชบริพารในห้องโถงถูกต้อนออกหมด ทำให้บริเวณห้องโถงเงียบสงัด และแสงจันทร์เหมือนสายน้ำที่สาดลงมาบริเวณห้อง ทำให้เกิดเป็นแสงที่สวยงามขึ้น

บนเตียง ร่างที่ยกขึ้นเล็กน้อยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนใต้ผ้าห่ม ขณะที่จวงเย่ว์ซีกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับ แต่แล้วจู่ๆ

จวงเย่ว์ซีอ้าปากค้างและตกใจมากจนเกือบทำจานในมือหล่น!

กู้เจียวนี่นา! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

แถมยังมีหน้ามานอนแอ้งแม้งบนแท่นบรรทมของไทเฮาอีกด้วย!!

ขนาดนางเองยังไม่เคยนอนเลย!

แค่จะแตะยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ!

ช่างกล้าจริงๆ บังอาจมาแอบหลับบนแท่นบรรทมของไทเฮาได้อย่างไรกัน!

คราวนี้ล่ะสนุกแน่

จวงเย่ว์ซีวางแผนว่าจะไม่ปลุกกู้เจียวจนกว่าจะรอให้ไทเฮาเข้ามาเห็นเอง!

แต่สิ่งที่จวงเย่ว์ซีคาดไม่ถึงนั้นก็คือ ตอนที่จวงเย่ว์ซีกำลังจะเดินกลับหลังหัน ก็พลันเกิดสะดุดชายกระโปรงตัวเองจนร่างเซลงไปบนแท่นบรรทม ทับร่างของกู้เจียวเข้าเต็มๆ

ถาดที่อยู่ในมือก็ตกลงพื้นทำให้ขนมเปี๊ยะหกกระจายเต็มพื้น

เสียงถาดที่กระแทกกับพื้นดังขึ้นพอที่จะปลุกให้กู้เจียวตื่นขึ้น กู้เจียวที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระนั้นพอเห็นเงาอะไรบางอย่างกำลังจะหล่นลงมาทับที่ตนเอง ก็เกิดมือไวและฟาดเงานั้นออกไปไกลๆ ตามสัญชาตญาณ

ร่างของจวงเย่ว์ซีที่ถูกกู้เจียวซัดกระเด็นก็ได้ชนเข้ากับชั้นวางของ พวกเครื่องหยกเครื่องสังคโลกต่างๆ ที่วางอยู่บนชั้นวางของต่างก็ทยอยตกลงมา รวมถึงกล่องเครื่องประดับคู่กายและพระลัญจกรของจวงไทเฮาด้วยเช่นกัน

จวงไทเฮาเป็นผู้มีอำนาจในแคว้น พระลัญจกรของนางมีค่าไม่น้อยไปกว่าพระราชลัญจกรหยกของแคว้น การทำลายพระลัญจกรถือเป็นความผิดร้ายแรง ร้ายแรงกว่าการแอบนอนบนแท่นบรรทมเสียด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นพระลัญจกรแตกเป็นสองเสี่ยงต่อหน้าต่อตา จวงเย่ว์ซีก็ถึงกับลมจับ

และในตอนนั้นเองที่จวงไทเฮาเสด็จกลับมาพอดี

จวงไทเฮาเปลี่ยนเครื่ององค์ทรงกายเรียบร้อย เสื้อคลุปักเลื่อมสีดำทองที่เผยให้เห็นถึงความหรูหราและมีอำนาจแกว่งไปมาบนพื้นที่สะท้อนกับแสงจันทร์

“ไอ้หยา พระราชลัญจกรนี่!” ฉินกงกงพอเห็นสภาพดังนั้นก็ถึงกับร้องอุทาน

จวงเย่ว์ซีรีบคลานเข้าไปใกล้ๆ จวงไทเฮา ก่อนจะชี้ไปทางกู้เจียว “ไทเฮาเพคะ! เป็นฝีมือนาง! นางฉวยโอกาสตอนที่พระองค์ไม่อยู่แล้วแอบเข้ามาหลับในนี้! ข้าแค่หวังดีกะว่าจะเดินเข้าไปปลุกนาง แต่นางกลับตบข้า จนร่างของข้าเซไปชนเข้ากับชั้นวางของ พระลัญจกรถึงได้ตกลงมานะเพคะ!”

“เจ้าจะบอกว่า…นางตบเจ้างั้นรึ” จวงไทเฮาเอ่ยถาม

จวงเย่ว์ซีพอได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงกลัวของไทเฮา ก็รีบเอ่ยต่อ “เป็นเช่นนั้นเพคะ หน้าของข้าถูกนางตบจนระบมช้ำไปหมดแล้วเพคะ!”

ใบหน้าของจวงเย่ว์ซีดูบวมจริงๆ แถมบริเวณริมฝีปากยังมีเลือดซึมออกมาอีกด้วย

จวงไทเฮามองดูใบหน้าที่มีรอยช้ำปูดราวกับหน้าของหมู ก่อนจะหันไปทางกู้เจียว “เจ้าใช้มือไหนตบ”

จวงเย่ว์ซีแอบยิ้มในใจ หึ เสร็จแน่ ยัยเด็กเมื่อวานซืน!

กู้เจียวค่อยๆ ยกมือขวาของตัวเองขึ้นอย่างอนาถใจ

กู้เจียวใช้หลังมือฟาด ซึ่งแน่นอนว่าที่หลังมือยังมีรอยแดงช้ำหลงเหลืออยู่

จวงไทเฮามองไปที่หลังมือที่มีรอยแดงของกู้เจียว ก่อนจะทำหน้านิ่งไป