ตอนที่ 385 ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ (1)
การไปท่องเที่ยวตามพื้นที่ป่าในแถบชานเมือง นางก็เคยไปมาก่อน แต่นั่นล้วนเป็นตอนที่อุปกรณ์ครบถ้วน ทว่าตอนนี้…พวกเขามีอันใด
“ช่างมันเถอะ พวกเรากลับกันดีกว่า!”
สัตว์ร้ายในยุคโบราณนั้นมีเยอะมาก แม้ว่าจะเป็นการตั้งค่ายพักแรมก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีมาก! ทำไม่ดีอาจถูกสิงโตคาบไป นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ!
แม้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนล้วนเป็นวรยุทธ์ แต่ว่า…สู้กับสัตว์ร้ายจำนวนมากไม่ไหวหรอกนะ!
เพียงแค่คิดเช่นนี้…ในใจก็รู้สึกหวาดกลัว!
เมื่อคิดอีกว่า ถ้าหากว่าพำนักอ้างแรมในป่าคืนหนึ่งแล้วเรื่องลอยไปเข้าหูคนที่มีเจตนาบางอย่าง ก็เกรงว่าจะพูดมากน่ารำคาญเอาได้
“ที่นี่ไม่เหมาะสมที่จะอยู่นาน ทุกคนรีบถือโอกาสที่ฟ้ายังไม่มืดกลับไปเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ…หากดึกกว่านี้อีกนิด เกรงว่าหนทางคงจะไม่สงบสักเท่าไหร่!”
หนิงเซ่าชิงคิดแล้วก็เป็นเหตุผลนี้เช่นกัน จึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้า พลางสั่งกุ่ยซาให้บังคับรถม้าเร็วหน่อย
คนทั้งขบวนเร่งเดินทางอย่างรวดเร็ว ถือโอกาสในตอนที่ฟ้ายังไม่มืด รีบมุ่งหน้าไปตามทิศทางของเมืองหลวง
ตอนมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปถึงจวนเจิ้นกั๋วกง ฟ้าก็มืดแล้ว แต่มั่วเหนียงกลับยืนเฝ้าหน้าประตูรอนางตลอด
รถม้าที่หนิงเซ่าชิงไปส่งมั่วเชียนเสวี่ยกลับจวนเพิ่งจะถึงหน้าประตู มั่วเหนียงก็เปิดประตูจวนออกมาต้อนรับแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวอำลากับหนิงเซ่าชิงแล้วออกจากรถม้า เมื่อเห็นมั่วเหนียงที่เป็นเช่นนี้ หัวใจก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
และเมื่อมองจวนกั๋วกงที่ตั้งตระหง่านในยามค่ำคืนเงียบๆ แล้ว ก็มีความรู้สึกว่าได้กลับบ้านขึ้นมาทันที
นางยื่นมือไปวางบนมือทั้งสองข้างที่ยื่นมาประคองของมั่วเหนียงอย่างเป็นธรรมชาติ พลางตำหนิเสียงหวาน “แม้ว่าจะย่างเข้าสู่ฤดูร้อน แต่ฟ้าก็มืดแล้ว ต้องมีลมหนาวอยู่บ้าง หมัวมัวก็ไม่รู้จักพักผ่อนอยู่ในห้อง!”
มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้พบกับเจ้าอาวาสหยวนเหรินแห่งวัดเซียงกั๋ว ก็สบายใจได้โดยแท้จริง
ผู้มาเยือนจากอีกโลกหนึ่ง ลงหลักปักฐานในต่างโลก!
นี่ไม่ได้อธิบายชัดเจนหรือว่า นางไม่เพียงแต่จะตั้งหลักอยู่ที่ต่างโลกแห่งนี้ แต่ยังสามารถเป็นสามีภรรยากับหนิงเซ่าชิงได้อย่างราบรื่น แม้ว่านางจะสิ้นชีพแล้วก็ยังมีลูกหลานสืบสกุลต่อไป…
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะตำหนิ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง มั่วเหนียงจะฟังไม่ออกได้เช่นไร จึงรีบยิ้มทันที “ถึงบ่าวจะอายุมากไปหน่อย แต่ร่างกายก็ยังดีอยู่นะเจ้าคะ อีกอย่างคุณหนูใหญ่ยังไม่กลับมา บ่าวจะพักผ่อนได้อย่างไร”
หนิงเซ่าชิงที่นั่งอยู่ในรถม้าหลับตาลง พิงร่างเข้ากับตั่งบนรถ เมื่อเข้าเมือง เรื่องซับซ้อนยุ่งยากต่างๆ ก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดเขา เขาจึงจำเป็นต้องเผชิญหน้า
ไม่ต้องเลิกผ้าม่านรถขึ้น เพียงแค่ใช้การฟัง หนิงเซ่าชิงก็รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยเข้าจวนกั๋วกงภายใต้การล้อมรอบของหมัวมัง ชูอีและสืออู่ไปแล้ว
จากนั้น เขากลับขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เหตุใดจึงไม่ตามไปด้วย โบยด้วยแส้ยี่สิบครั้งนั้นจดไว้ก่อน ในภายหน้าค่อยจัดการทีเดียว ไปปกป้องคุณหนูใหญ่ให้ดีก่อน”
ตอนนี้บนรถนอกจากตนเอง ก็มีเพียงกุ่ยซาที่เป็นคนบังคับรถ วาจานี้ย่อมกล่าวกับกุ่ยซา
“ขอรับ” กุ่ยซารับคำมั่ง แต่กลับลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า ถ้าหากกุ่ยซาไปแล้ว ใครจะมาบังคับรถม้าให้นายท่านขอรับ”
เงาร่างของหนิงเซ่าชิงไม่ขยับ และไม่ตอบคำถาม เพียงแค่แค่นเสียงเบา
ท่ามกลางความมืด ก็มีเงาร่างดำมืดลอยมา กุ่ยซาเหงื่อผุดเต็มใบหน้า รีบหลบตัวออกเพื่อมอบตำแหน่งให้
เขาอยู่จวนกั๋วกงนานเกินไปแล้ว สบายเกินไป? สมองจึงใช้การไม่ได้?
นายท่านออกมาข้างนอก ข้างกายจะไม่มีองครักษ์ลับได้เช่นไร หูของเขาใช้การได้ดีมาก ย่อมรู้ว่ามีองครักษ์ลับอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แต่กลับไม่ได้ทันคิดถึงเรื่องนี้
ที่แท้องครักษ์ลับก็บังคับรถม้าเป็นเช่นกัน
องครักษ์ลับผู้นั้นร่อนลงบนที่นั่งคนบังคับ และยื่นมือไปคว้าแส้ม้าที่กุ่ยซาโยนมาให้
แส้ม้ายืดตรง เพียงแค่ลมหายใจเดียว รถม้าคันนั้นก็เคลื่อนตัวไปบนถนน เข้าสู่ความมืด มุ่งหน้าไปยังตระกูลหนิงที่ตั้งอยู่ทิศใต้ของเมือง
กุ่ยซาก็พุ่งเข้าไปในประตูจวนก่อนที่ประตูจวนกั๋วกงจะปิดลงทันที
มั่วเชียนเสวี่ยเดินจับมือของมั่วเหนียงไป พลางเอ่ยวาจาเอาใจใส่ ตรงไปยังทิศทางของเรือนเสวี่ยหว่านที่อยู่ภายในจวน ตลอดทางเหล่าองครักษ์ปกปักษ์รักษาจวนที่ลาดตระเวนเห็นมั่วเชียนเสวี่ยกลับมาจากข้างนอกแล้ว ก็พากันทำความเคารพ
ไม่นานนัก ก็เดินมาถึงหน้าประตูเรือนเสวี่ยหว่าน มั่วเหนียงประคองมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไป อวิ๋นอิ๋นรออยู่ในเรือนเสวี่ยหว่านนานแล้ว
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้าประตูเรือนมา ก็ลุกขึ้นทำความเคารพทันที
นับตั้งแต่มั่วเชียนเสวี่ยรับอวิ๋นอิ๋นมาเมืองหลวง หลังจากที่ให้นางรับช่วงต่อการลงบัญชีทั้งหมดในเมืองหลวง อวิ๋นอิ๋นก็แทบจะมาแจ้งบัญชีและรายงานสถานการณ์ภายในร้านต่างๆ ระยะนี้ให้กับมั่วเชียนเสวี่ยเกือบทุกวัน
แม้ว่าอวิ๋นอิ๋นจะไม่ใช่หลงจู๊ในภัตตาคารอวี่จี้ และไม่ใช่ฝ่ายบัญชีของภัตตาคาร
แต่กลับเป็นผู้ควบคุมบัญชีทั้งหมดที่มั่วเชียนเสวี่ยวางเอาไว้ในเมืองหลวง มั่วเชียนเสวี่ยสร้างห้องทำงานให้นางในภัตตาคารอวี่จี้ ทุกวันจะมีคนมาแจ้งบัญชีและรายงานเรื่องต่างๆ กับนาง ตำแหน่งจึงไม่ธรรมดาเช่นกัน
ในภัตตาคารมีเหล่าผอจื่อล้างชามทำงานจิปาถะ มั่วเชียนเสวี่ยก็สั่งให้ทำความสะอาดห้องเดี่ยวให้นางในเรือนรวมห้องหนึ่ง ทั้งยังมอบสาวใช้ที่คอยจัดการเรื่องราวต่างๆ และติดตามดูแลนางคนหนึ่งโดยเฉพาะ
บางครั้งแจ้งบัญชีถึงดึกดื่น ไม่สะดวกกลับไปที่ภัตตาคาร อวิ๋นอิ๋นก็จะพักอยู่ในจวนกั๋วกง ด้วยเหตุนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงให้ทำความสะอาดเรือนเล็กๆ ข้างเรือนเสวี่ยหว่านเรือนหนึ่ง เพื่อให้นางพักผ่อนที่นั่นโดยเฉพาะ
ตอนนี้สถานการณ์ยังคงไม่มั่นคงชั่วคราว มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าซีซีผู้เป็นลูกสาวของอวิ๋นอิ๋นยังเล็กเกินไป จึงไม่เหมาะสมที่จะติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นอิ๋น พักอยู่ในสถานที่ซึ่งมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันเช่นภัตตาคาร
ดังนั้น ตอนที่มาเมืองหลวง จึงมอบซีซีให้กับสามีภรรยาหวังเทียนเหลย ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่กลางหมู่บ้านในชนบท
อวิ๋นอิ๋นรายงานเรื่องราวทั้งหมดเรียบร้อยเเล้ว มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้นึกเรื่องที่ชูอีกับสืออู่ไปยังหมู่บ้านในชนบทแล้วเห็นซีซีเมื่อวานขึ้นมาได้ “คิดถึงซีซีแล้วหรือ เมื่อวานชูอีกับสืออู่เพิ่งจะไปบ้านไร่มา ได้เห็นซีซีด้วย พวกนางกลับมาดึกไปหน่อย จึงไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับเจ้า”
ในฐานะมารดา จะไม่คิดถึงลูกได้เช่นไร ผู้นำที่ผ่านคุณสมบัติไม่เพียงแต่ต้องใส่ใจงานของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ยังต้องใส่ใจสภาพจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยเช่นกัน
เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้เลย อวิ๋นอิ๋นนัยน์ตาเป็นประกาย ตื่นเต้นเล็กน้อย “ซีซีเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ก่อปัญหาเพิ่มให้เทียนเหลยกับชุนเยี่ยนใช่ไหมเจ้าคะ”
อวิ๋นอิ๋นที่ตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ระหว่างที่เอ่ยวาจาก็ยังมีขอบเขต มั่วเชียนเสวี่ยลอบพยักหน้า
เอ่ยปลอบโยนยิ้มๆ “จะเป็นไปได้เช่นไร ซีซีเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู สามีภรรยาหวังเทียนเหลยชื่นชมว่านางรู้เหตุรู้ผลตลอด ยังหยอกล้อด้วยว่า “ถ้าหากว่ามีลูกสาวที่เฉลียวฉลาดน่ารักเช่นนี้จะดีมากเพียงใด สรุปได้ประโยคหนึ่งว่า นางสบายดี และคิดถึงเจ้ามาก”
เมื่อได้ยิน อวิ๋นอิ๋นก็หลุดสะอื้น
มั่วเชียนเสวี่ยกลับสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าบนร่างนางแปลกๆ
เป็นความโศกเศร้า ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากการคิดถึง!
รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของทั้งสองความรู้สึกนี้ ในใจมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย สองแม่ลูกคู่นี้ยังจากกันไม่ถึงหนึ่งเดือน ไม่ว่าจะคิดถึงมากขนาดไหน ก็ไม่ถึงกับจะต้องโศกเศร้าเช่นนี้หรอกนะ
ทว่า คิดดูอีกที ก็นึกถึงชาติกำเนิดของอวิ๋นอิ๋น รู้สึกได้ว่านางน่าสงสารมากจริงๆ คาดว่าเป็นเพราะบนโลกใบนี้มีซีซีที่เป็นญาติสนิทคนเดียวแล้ว ดังนั้นจึงเห็นนางสำคัญมากเป็นพิเศษ คราวนี้ ได้ยินว่าลูกคิดถึงนาง ในใจนางย่อมคิดถึงญาติพี่น้องคนอื่นที่พลัดพรากกันไป ดังนั้นถึงได้ไม่สบายใจถึงเพียงนี้
เมื่อวิเคราะห์เรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่คิดมากอีก เพียงแต่เห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาแล้วยื่นให้ “จะให้ส่งคนไปรับนางมาให้เจ้าได้พบหน่อยหรือไม่”