บทที่ 382 รบกวนการนอนเพื่อความงามสมควรถูกฟ้าผ่า

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 382 รบกวนการนอนเพื่อความงามสมควรถูกฟ้าผ่า

หลังจากเซี่ยหยางกลับไปนั่งที่ก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาก็มักจะมองไปทางโต๊ะของจี้จือฮวนอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง

เซี่ยซั่วยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด คิดจะถามความเป็นมาเป็นไปกับเซี่ยหยาง ทว่าเซี่ยหยางเตรียมที่จะกลับแล้ว

“พี่รองจะกลับแล้วหรือ แต่พวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”

เซี่ยหยางตอนนี้ร้อนใจ อยากจะกลับไปคิดหาวิธีว่าควรกำจัดเผยยวนและจี้จือฮวนอย่างไร ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาพูดไร้สาระกับเซี่ยซั่วอีก ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยซั่วก็ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา และอยากให้เขาตายไปซะ

“น้องห้าคิดถึงบทเรียนที่น้องสามได้รับจะดีกว่า อย่าคิดว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นของตัวเองแล้ว หากเลือกทางผิดขึ้นมาจะถูกคนลากลงไปได้”

เซี่ยซั่วขมวดคิ้ว “ท่าน”

เขามองไปรอบ ๆ เล็กน้อย จากนั้นก็ตามเซี่ยหยางไป และเขาเชื่อว่าพังพอนที่จี้จือฮวนเอ่ยถึง ต้องหมายถึงเซี่ยหยางอย่างแน่นอน

หรือว่าบาดแผลของเซี่ยหยาง จะเป็นฝีมือของจี้จือฮวน?

“น้องห้ายังมีเรื่องจะพูดอีกอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยหยางเดินไปถึงประตูตำหนัก ก็มีขันทีเข้ามาสวมเสื้อคลุมให้กับเขา แล้วส่งเตาอังมือที่ห่อด้วยผ้าต่วน พร้อมหมวกอีกหนึ่งใบให้

ลมและหิมะข้างนอกเริ่มแรงขึ้น แม้แต่เด็ก ๆ ก็ถูกอุ้มพากลับไปพักผ่อนที่ห้องอุ่นแล้ว แต่หัวใจของเซี่ยหยางกลับไม่สามารถสงบลงได้

เมื่อเห็นเซี่ยซั่วเดินตามมาราวกับวิญญาณที่คอยตามหลอกหลอน แม้แต่ท่าทางเสแสร้งเขาก็ขี้เกียจจะแสดงต่ออีก

เซี่ยซั่วเองก็รับเสื้อคลุมที่ขันทีส่งให้ “อาการบาดเจ็บของพี่รองยังไม่หายดี ข้าจึงไม่วางใจ พอดีข้าก็จะกลับจวนเช่นกัน ไม่สู้กลับไปพร้อมกับพี่รองเลยจะดีกว่า พังพอนตัวนั้นจะได้ไม่ถูกคนฆ่าตายระหว่างทางเสียก่อน”

เซี่ยหยางจึงจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น “อย่างนั้นหรือ น้องห้าช่างมีน้ำใจจริง ๆ”

เซี่ยหยางเอ่ยจบก็เดินไปข้างหน้า ขันทีน้อยกางร่มตามอยู่ด้านหลัง เซี่ยซั่วหัวเราะเยาะออกมา แม้แต่เตาอุ่นมือก็ไม่สนใจจะหยิบ ก่อนจะเดินตามหลังของเขาไป

เซี่ยหยางขึ้นไปบนรถม้า เซี่ยซั่วก็ขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วย ทั้งยังพูดพล่ามอยู่ข้าง ๆ อย่างออกรสออกชาติ จนกระทั่งถึงตำหนักองค์ชายรองแล้วก็ยังจะตามเข้าไปอีก

เซี่ยหยางไม่อยากจะรับมือกับเขาอีก จึงให้คนปิดประตูส่งแขก แต่ด้วยฐานะของเซี่ยซั่ว คนเฝ้าประตูจะไล่เขาออกไปได้อย่างไรกัน

ทว่ายอดฝีมือบู๊ลิ้มจำนวนมากที่เซี่ยหยางจ้างมาคุ้มกันในระยะนี้ ก็พลันปรากฏตัวขึ้นรอบกายเซี่ยหยางโดยพร้อมเพรียง จึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย

“น้องห้า จะอยู่ที่จวนข้าเจ้าต้องคิดให้ดีก่อน บัดนี้เมืองหลวง ปลาและมังกรปะปนกัน* หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าคงไม่สามารถรับประกันอะไรได้”

* ปลาและมังกรปะปนกัน (鱼龙混杂) หมายถึง คนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน

“ท่าทางของพี่รอง ข้าก็คิดว่ามีโจรมางัดจวนของท่านเสียอีก เอาล่ะ ในเมื่อพี่รองไม่อยากเห็นหน้าข้า เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะรอดูเรื่องสนุกของท่านก็แล้วกัน”

“เรื่องสนุกเจ้าคงไม่ได้เห็นหรอก เป็นห่วงเรื่องเน่าเฟะของครอบครัวเจ้าก่อนจะดีกว่า” เซี่ยหยางสะบัดแขนเสื้อและจากไปทันที

เซี่ยซั่วสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่ามีหลักฐานอะไรอยู่ในมือของเขาแล้ว?

แต่เขาไม่ได้สร้างหายนะใหญ่โตเหมือนเซี่ยเซวียนนี่นา อย่างมากก็แค่…ทำอะไรบางอย่างกับการสอบจอหงวนเท่านั้น และยังแนบเนียนกว่าอีกด้วย

เซี่ยซั่วเกิดความสงสัย จนไม่สามารถอยู่ที่ตำหนักของเซี่ยหยางต่อได้ จึงหมุนกายจากไปบราวนี่ออนไลน์

เซี่ยหยางเดินเร็ว ๆ เมื่อไปถึงสวนที่อยู่กลางจวนก็รู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างเย็นเยียบ เลือดลมเริ่มไหลเวียน จึงรีบเอ่ยขึ้น “ไปเชิญท่านหมอเย่มา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งฝูหลับไปนานแล้ว ก่อนเข้านอนนางได้ชงชาโสมเก๋ากี้ถ้วยหนึ่ง พลางสวมผ้าปิดตาที่อุ่นด้วยชาเขียว และอาบน้ำสมุนไพรอีกหนึ่งรอบ กำลังไล่ตามเส้นทางการแพทย์ในความฝัน ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตู

เย่จิ่งฝูเปิดผ้าปิดตาออกด้วยความโมโห “ผู้ใด!”

“ท่านหมอเย่ องค์ชายของพวกเราเพิ่งกลับมาจากวัง ท่านรีบไปดูเถอะขอรับ อาการเหมือนไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”

ไม่ค่อยดีก็ไปตายเสียสิ! รบกวนการนอนหลับเพื่อความงามของนาง สมควรถูกฟ้าผ่าตายจริง ๆ!

เย่จิ่งฝูก่นด่าในใจ แต่สุดท้ายก็ยังมีศีลธรรมเพราะได้ผ่านการฝึกอบรมในอาชีพของตัวเองมา “รอก่อน”

นางมวยผมลวก ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เปิดประตูออกไป

“ท่านหมอเทวดารีบเข้าเถอะขอรับ องค์ชายเจ็บมากเลยขอรับ”

“เจ็บมากแล้วเหตุใดยังต้องออกไปข้างนอกอีก อยู่บ้านดี ๆ ก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ?”

ไปงานเลี้ยงแบบใดกัน อาหารที่กินก็มีแต่ของแสลง หิมะตกกลางดึกยังจะออกไปเดินเล่นอีก เขาไม่เจ็บแล้วใครจะเจ็บ?

ไม่ทำตามคำแนะนำของหมอสุดท้ายก็ต้องมาร้องโอดโอยกับหมออยู่ดี เย่จิ่งฝูยิ่งมององค์ชายรองผู้นี้ก็ยิ่งรู้สึกขัดตา

แต่ตระกูลหมอเทวดาของนางในเมื่อเก็บเงินแล้ว ก็ต้องรักษาให้ดี

บนยอดไม้ ขายาว ๆ ของไป๋จิ่นพาดอยู่บนลำต้น ชายเสื้อปลิวไปตามลม ถูกเขาเหน็บเอาไว้ที่สายรัดเอว สายตาเฉียบคมมองไปรอบ ๆ ลานบ้าน

ตำหนักองค์ชายรองดูเหมือนมีคนไม่มาก ทว่ากลับมียอดฝีมือบู๊ลิ้มอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเวลาในการลาดตระเวนและเปลี่ยนเวรยามนั้นเข้มงวดอย่างมาก แต่โชคดีที่สำนักพิษของพวกเขา ฆ่าคนไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วยดาบและทวนจริง ๆ

ไป๋จิ่นกำลังรอจังหวะ พลางปรายตามองเล็กน้อย เยว่พั่วหลัวเวลานี้กำลังอยู่บนต้นชิวซู่

“เจ้าอย่าเผยพิรุธเสียล่ะ”

เยว่พั่วหลัวแค่นเสียงเย็นออกมา วันนี้แม้แต่กระดิ่งนางก็ไม่ได้เอามาห้อย จะเผยพิรุธได้อย่างไรกัน “เจ้าคอยดูเถอะ”

หลังจากที่นางเอ่ยจบก็กระโจนเบา ๆ ลงไปใต้ต้นไม้ ทุบสาวใช้ที่อยู่คนเดียวจนหมดสติและลากไปที่ภูเขาจำลอง ไป๋จิ่นสงสัยจึงเดินตามเข้าไปในภูเขาจำลอง เยว่พั่วหลัวเพิ่งจะถอดเสื้อผ้าออก หันหน้ากลับไปก็เห็นเงาคนสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ไอ้คนลามก!” เยว่พั่วหลัวชกเข้าไปที่ตาของไป๋จิ่น

ไป๋จิ่นเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนชุดตรงนี้ จึงทำได้เพียงปิดตา หมุนกาย และคิดจะเดินออกไป

“ไม่ได้ กลับมาก่อน!” เยว่พั่วหลัวเอ่ยด้วยความโมโห

ไป๋จิ่นไม่กล้ามองนาง “อะไรอีก ตีก็ตีไปแล้วจะทำอะไรอีก?”

“ต่อยข้างเดียวได้ที่ใดกัน!” มันควรจะทำให้สมมาตรไม่ใช่หรือ?

หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ เยว่พั่วหลัวก็ได้แต่งตัวเป็นสาวใช้ของตำหนักองค์ชายรอง สวมหน้ากากหนังมนุษย์ที่ใช้กู่แปลงโฉมจนมีความคล้ายเจ็ดถึงแปดส่วนเอาไว้บนใบหน้า

ไป๋จิ่นจ้องมองด้วยดวงตาบวมช้ำทั้งสองข้าง พลางส่งเสียงสูดปากแล้วเอ่ยขึ้นมา “ของเล่นชิ้นนี้ของสำนักกู่พวกเจ้าน่าสนใจทีเดียว”

แมลงตัวเล็ก ๆ ประมาณสิบกว่าตัวพ่นเมือกเหมือนใยแมงมุมออกมา สร้างหน้ากากแผ่นหนึ่งออกมาตามโครงหน้าของบุคคลผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนพวกเขาจะประเมินสำนักกู่ต่ำเกินไปแล้ว มิน่าเล่าถึงมักจะตามหาตัวไม่เจอ

ใบหน้าของเยว่พั่วหลัวกลายเป็นอีกคนทันที “เจ้าอยากได้หรือไม่?”

ไป๋จิ่นส่ายหน้าไปมา สำนักพิษไหนเลยจะรับของจากสำนักกู่ได้!

“ไม่เอาก็ช่างเถอะ ข้าจะไปดูสิว่าองค์ชายรองนั่นเป็นตัวอะไร” เยว่พั่วหลัวลุกขึ้น ก่อนจะก้มหน้าและก้าวออกมา ห่างออกไปมีสาวใช้คนหนึ่งกำลังตามหานางอยู่ “เจ้าหายตัวไปที่ใดมา เพิ่งเข้าจวนมาวันที่สามอย่าเที่ยวเดินไปที่ใดส่งเดช หากท่านพ่อบ้านรู้เข้าระวังตัวของเจ้าให้ดี”

เย่จิ่งฝูตรวจสอบบาดแผลของเซี่ยหยางเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยออกมา “ที่ข้าพูดกับท่าน ท่านไม่ได้ฟังเลยหรืออย่างไร? ข้าบอกท่านว่าอย่าออกแรงให้มาก แล้วก็เป็นเช่นนี้จนได้”

ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเมื่อใดนางจะได้ไปเรียนวิชาการแพทย์กับจี้จือฮวนกัน?!

นี่ไม่เท่ากับเป็นการเสียเวลาหรอกหรือ!

เซี่ยหยางคืนนี้เดิมก็หวาดหวั่นและไม่สบายใจอยู่แล้ว ยังมาถูกเย่จิ่งฝูสั่งสอนเขาต่อหน้าลูกน้องด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนี้อีก เขาจึงเอ่ยอย่างหมดความอดทนออกมา “ท่านหมอเย่ เจ้าอย่าลืมฐานะของตัวเองสิ”

เอ่ยจบ องครักษ์ข้างกายของเซี่ยหยางก็ชักกระบี่ออกมาพลางกดลงที่ลำคอของเย่จิ่งฝู “อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า”

เย่จิ่งฝูเป็นคนมุทะลุ หากทายาทของตระกูลหมอเทวดาปล่อยให้การข่มขู่เช่นนี้กดให้ก้มหัวได้ พวกเขาก็คงไม่ต้องก่อตั้งตระกูลแล้ว