ตอนที่ 200 มันเป็นความผิดพลาด (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 200 มันเป็นความผิดพลาด (2)
โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวอย่างสงบว่า “เสวียนหย่าหาได้ใส่ใจความคิดของผู้อื่นไม่เจ้าค่ะ”

สงหลิงลี่ยังดึงดันไม่ถอยแล้วกระซิบตามสิ่งที่ได้ยินในใจต่อไปว่า “แต่มันอาจทำให้พี่ชายของข้าเป็นกังวลในเรื่องนี้อยู่สักหน่อย…”

โหย่วฉินเสวียนหย่าผงะงันเล็กน้อยแล้วหันศีรษะไปมองที่ร่างของหลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว

หลี่ฉางโซ่วยังคงแอบส่งข้อความเสียงให้สงหลิงลี่ต่อไปในขณะที่สงหลิงลี่กล่าวต่อไปอย่างอ่อนแรงว่า “พี่ชายของข้า… ป้ารองที่อาศัยอยู่ข้างท่านลุงของข้าบอกว่า เมื่อเป็นสหายกัน ก็ต้องเคารพและเข้าใจซึ่งกันและกัน ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ของกันและกันก่อนจึงจะถือว่าเป็นสหายแท้ได้ คุณหนู เจ้าเป็นคนอิสระ เรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก เป็นเรื่องดีที่เจ้าใส่ใจกับความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าก็ควรใส่ใจและพิจารณาการกระทำของเจ้าว่าจะส่งผลต่อคนที่เจ้ากำลังแสดงท่าทีออกไปด้วยหรือไม่ หากเจ้าใส่ใจแต่เพียงความคิดของตัวเองโดยไม่สนว่าคนอื่นจะถูกกดดัน…นั่นอาจจะมากเกินไปสักหน่อยหรือไม่? ที่เจ้าเพียงแค่ใส่ใจความคิดของตัวเอง … ”

โหย่วฉินเสวียนหย่าตกตะลึงงันอย่างสิ้นเชิงขณะขมวดคิ้วและยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ

ผู้ฝึกบำเพ็ญรุ่นเยาว์ทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันงงงวยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกบำเพ็ญรุ่นเยาว์บางคนที่รู้สึกว่าศิษย์ชายผู้นั้นช่างโชคดีที่มีศิษย์หญิงเฉกเช่น โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งมีรูปโฉมสวยสะคราญและทีท่าสง่างาม เข้ามายื่นไมตรีพูดคุยสนิทสนมด้วย ย่อมถือว่าเป็นโชคดีของยิ่งนักแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกบำเพ็ญหลายคนที่ฝึกบำเพ็ญมานานกว่าพันปี ล้วนตกตะลึงงันเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของกับสาวน้อยหอคอยเหล็กที่แข็งแกร่งผู้นี้ มีความคิดลึกซึ้งเป็นพิเศษ

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเซียนเซียวเหยาหลายคนต่างขมวดคิ้ว พวกเขาล้วนรู้สึกว่าสาวน้อยแซ่สงผู้นี้จงใจแสร้งล้อเล่นกับพวกเขายามเมื่ออยู่ในสำนักเซียนของพวกเขาก่อนหน้านี้!

“เสวียนหย่ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก…”

โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเสียงเบาพลางโค้งคำนับให้สงหลิงลี่แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณที่อาจารย์ป้าชี้แนะ เสวียนหย่าจะพิจารณาอย่างรอบคอบในสิ่งที่ท่านกล่าวเจ้าค่ะ”

สงหลิงลี่พลันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากเทพแห่งท้องทะเลไม่ได้ส่งเสียงอีกต่อไป ในตอนนี้ นางจึงไม่กล้าเอ่ยวาจามากความไปกว่านี้อีก และทำได้เพียงโค้งกายให้อย่างสง่างามและทรงพลัง…

โหย่วฉินเสวียนหย่าหันกลับมาและกลับไปที่เบาะนั่งสมาธิของนาง พลางวางกระบี่ไว้ตรงหน้าและเข้าสู่ห้วงแห่งความครุ่นคิดลึกซึ้ง

หลี่ฉางโซ่วที่แสร้งทำเป็นฝึกบำเพ็ญเพียร ก็พลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่ศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายไม่ได้กล่าวว่า นางเข้าใจ…

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็แผ่สัมผัสเซียนรับรู้ไปตรวจดูจิ่วจิ่วที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ เขาฉงนในใจ ไม่รู้ว่าเหตุใด พักนี้อาจารย์อาจิ่วจิ่วจึงไม่มาหาเขา

ตอนนี้จึงทำให้กอง ‘อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ’ ที่เขาอุตส่าห์เตรียมมาให้อาจารย์อาจิ่วจิ่วมากมาย ต้องไร้ประโยชน์

ทว่าเมื่อตรวจสอบดูใกล้ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็พบว่า ในขณะนี้ จิ่วจิ่วหลับไปแล้ว

นางสร้างข่ายอาคมพลังเซียนขนาดเล็กเอาไว้นอกปากและจมูกเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงกรนของนางเล็ดลอด กระจายออกไป แต่ยังไม่เพียงเท่านั้น จิ่วจิ่วยังใช้เครื่องมือเวทที่เป็นเชือกเซียนมัดมือนางเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองใช้ทักษะติดตัวที่อาจทำให้ทั้งชุดชั้นในและเสื้อผ้าของนางหายไปอย่างลึกลับหลังจากที่หลับสนิท…

กล่าวได้เพียงว่า นางเป็นมืออาชีพ!

สงหลิงลี่สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วนั่งลงบนเบาะนั่งสมาธิขนาดเท่าที่นอนพลางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของ โหย่วฉินเสวียนหย่า

ดูเหมือนว่าพี่สาวแสนสวยผู้นั้นจะมิใช่ราชินีแห่งท้องทะเลที่ท่านเทพแห่งท้องทะเลชมชอบ…

ที่พรหมแดนระหว่างทะเลทักษิณและทะเลบูรพา ขณะนี้ มีร่างงดงามขี่เมฆบินอยู่บนท้องฟ้าและทะยานจากไปพร้อมกับสายลม

ผู้ที่อยู่บนก้อนเมฆนั้นคือ หานจื่อ ผู้ฝึกบำเพ็ญแห่งเกาะเต่าทอง

ไม่นานมานี้ หานจื่อบังเอิญได้ยินเรื่องของอ๋าวอี่ ซึ่งกลับมาที่เกาะเต่าทอง มีอาจารย์ป้าและอาจารย์ลุงสองสามคนพูดคุยกันถึงคู่บำเพ็ญเต๋าคู่ใหม่…

ก่อนหน้านี้ นางเคยปฏิเสธอ๋าวอี่อย่างชัดเจน ทว่าด้วยเหตุใดไม่รู้ นางกลับรู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อย จึงอยากออกไปเที่ยวเล่นเพื่อฟื้นอารมณ์และจิตใจของนาง

ย่อมเป็นเรื่องดีที่อาจารย์อาอ๋าวอี่ได้พบคู่บำเพ็ญเต๋าผู้เป็นที่รักของเขา…

แต่ไฉน…

“เฮ้อ… อย่าได้คิดมากในเรื่องนี้อีกเลย”

หานจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจ้องมองไปที่ควันคลื่นที่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด และเมฆสีขาวนวลบนท้องฟ้า

นางเพียงอยากจะหาเกาะร้างเพื่อนั่งทำสมาธิ ทว่าจู่ๆ นางก็ได้ยินคำทักทายที่ชัดเจน…

“สหายเต๋าผู้นี้ เจ้าเป็นคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยใช่หรือไม่”

หานจื่อมองตามเสียงไปข้างหลังและเห็นเมฆสีขาวบนท้องฟ้า บนเมฆนั้น มีร่างที่มีใบหน้าเลือนรางและร่างที่พร่ามัว

หานจื่อรู้ว่านี่เป็นปรมาจารย์จากสำนัก จึงลุกขึ้นยืนบนก้อนเมฆและโค้งคารวะไปทักทายผ่านท้องฟ้าในทันที “ศิษย์กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ที่เกาะเต่าทองเจ้าค่ะ”

“เฮ้ เป็นท่านนี่เอง!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะปานระฆังเงินดังมาจากเมฆ และก่อนที่หานจื่อจะทันได้มีเวลาตอบสนอง จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบรอบกายนาง แล้วตัวนางก็ถูกดึงสูงขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าแล้ว

ในขณะนี้ หานจื่อก็ได้เห็นใบหน้าของปรมาจารย์ผู้นี้เช่นกัน เมื่อมองดูใกล้ ๆ แล้ว นางก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ ว่า “ปรมาจารย์ฉยงเซียว!”

“หือ? เจ้ารู้จักข้าหรือ?”

ฉยงเซียวกะพริบตาเบา ๆ “ไม่เป็นไร ตามข้ามา ข้าอยากให้เจ้าทำบางอย่าง หากทำได้ดี ข้าจะตอบแทนรางวัลให้เจ้า ”

“ศิษย์น้อมรับบัญชาเจ้าค่ะ” หานจื่อรีบก้มศีรษะตอบรับอย่างรวดเร็ว นางเงยขึ้นและถูกฉยงเซียวพาบินตรงไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน ฉยงเซียวก็พาหานจื่อร่อนลงบนเกาะร้าง และพบกับจ้าวกงหมิง… ซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง…

ฉยงเซียวร้องตะโกนเบาๆ ว่า “พี่ชาย ข้าพบผู้ช่วยแล้ว พวกเราเชื่อใจนางได้ นางเป็นหนึ่งในพวกเรา!”

หานจื่อรีบกล่าวว่า “ศิษย์ขอน้อมพบท่านปรมาจารย์เจ้าค่ะ”

“จุ๊ๆ!”

จ้าวกงหมิงทำท่าทางให้นางเงียบ หานจื่อจึงเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

ฉยงเซียวพลันเอ่ยถามด้วยเบาว่า “สตรีผู้นั้นไปแล้วหรือเจ้าคะ?”

“นางยังคงซ่อนตัวอยู่ที่นั่น” จ้าวกงหมิงหยิบกระจกสมบัติออกมาแล้วชี้ไปที่กระจก แล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

มีข่ายอาคมที่ซ่อนอยู่บนเกาะนี้ ทว่าหาใช่ปัญหาสำหรับจ้าวกงหมิงที่จะมองทะลุผ่านมันไปได้

จากนั้น ในมุมกระจก ก็เผยให้เห็นสาวงามน่าหลงใหลในชุดแดงนั่งสมาธิหลับตา…

จ้าวกงหมิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าแอบทำมุทราหยั่งรู้มาสองสามครั้งแล้ว แต่เพียงสรุปได้ว่า นางมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญประจิม แต่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของนางเลย น้องสาม เรามาลองเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคนอื่น ดีหรือไม่? ”

ฉยงเซียวมุ่ยปากและพ่นลมฟึดฟัดออกมาทันที

“เป็นนางนี่แหละเจ้าค่ะ! มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่า นางคือร่างของผู้ดำรงอยู่ในสมัยโบราณ นางเป็นร่างจำแลง นางทำให้ตัวเองดูมีเสน่ห์มากๆ เพื่ออะไร? พี่ชาย ท่านดูเสื้อผ้าของนางสิ! ดูสิ่งที่นางสวมใส่! หึ อย่าไปข้างนอกนะ หากท่านทำให้ตัวเองสกปรก อย่าปิดบังเจตนาร้ายของท่าน!”

ปรมาจารย์ จ้าวกงหมิงก็ยิ้มขื่นออกมาทันที ในขณะที่ฉยงเซียวได้เริ่มพูดคุยกับหานจื่อเกี่ยวกับสิ่งที่หานจื่อต้องทำในภายหลังแล้ว…

เป็นเช่นนั้น เช่นนั้น และอื่นๆ ไปเรื่อยๆ

หานจื่อตระหนักได้อย่างรวดเร็วและกระซิบเบา ๆ ว่า “เดี๋ยวก่อน ปรมาจารย์จ้าวจะไปโดนนางก่อน แล้วจึงจะล้มลงไปกับพื้น ท่านปรมาจารย์ฉยงเซียวจะตามมาทีหลัง และพูดว่าอาการบาดเจ็บของปรมาจารย์จ้าวนั้นรุนแรงเพียงใด จากนั้นศิษย์ก็จะแกล้งทำเป็นเดินผ่านไปและแสร้งเข้าไปบอกว่า ‘สหายเต๋า ข้าคิดว่าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเถิด อย่าให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เลย หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ก็ย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใด เราจัดการกันเองดีหรือไม่’? ”

“ฉลาดยิ่ง เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าแนะนำทันที”

ฉยงเซียวกอดอกพลางแย้มยิ้มและกล่าวว่า “จำไว้ว่า จงใส่ใจกับการแสดงออกและน้ำเสียงของเจ้า เจ้าต้องโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเชื่อว่า เจ้ากำลังคิดเพื่ออีกฝ่าย”

หานจื่อเผยสีหน้าจริงจัง และก้มหน้ารับคำสั่ง

“ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านปรมาจารย์ทั้งสองต้องผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”

…………………………………………………………..