บทที่ 361 เริ่มต้นกันใหม่
บทที่ 361 เริ่มต้นกันใหม่
สัญชาตญาณของลู่เฉินบอกว่าผู้หญิงในรูปคือซูโย่วอี๋!
ระหว่างพวกเขามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
ลู่เฉินมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ตีหนึ่งแล้ว…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจจนอยากจะโทรศัพท์ไปหาแต่ก็กลัวว่าจะรบกวนเวลานอนของเธอ
หลังกระวนกระวายอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจว่าจะติดต่อเธอไปพรุ่งนี้ พอดีกับที่ผู้ดูแลสาขาเคาะประตูพอดี “ประธานลู่ครับ รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ”
ลู่เฉิน “ครับ พวกคุณไปก่อนเลย”
เขาค่อย ๆ ปิดคอมพิวเตอร์และนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน คิดทบทวนถึงความรู้สึกผิดปกติที่เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาที่เจอกับซูโย่วอี๋
ลู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นแล้ว
เขาลุกขึ้นและกลับไปยังโรงแรม
ตอนกลางคืนต้นเดือนพฤษภาคมในฤดูร้อนอากาศจะเย็นลงเล็กน้อย ลู่เฉินก้าวขาออกมาจากบริษัทอย่างรีบ ๆ แต่พอเห็นคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ทำให้เขาหยุดฝีเท้าลงในทันที
ซูโย่วอี๋?
ดึกดื่นขนาดนี้แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
เขากำลังจะเข้าไปหาหญิงสาวที่เคยพูดว่าไม่ขอเจอกันอีกคนนั้น แต่เธอกลับเป็นฝ่ายโผตัวเข้ามากอดเขา
กลิ่มหอมของดอกไม้โชยมาแตะจมูก
ลู่เฉินเองก็คิดไม่ออกเลยว่าการแสดงออกเช่นนี้มันคืออะไร
“คุณซู?”
ลู่เฉินถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ แต่สองมือของเขาก็อดไม่ได้ที่โอบรอบตัวซูโย่วอี๋เอาไว้อย่างเบามือ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่ซูโย่วอี๋จะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาอันเปียกโชก “ลู่เฉิน ขอโทษนะ”
ทั้ง ๆ ที่เธอพูดขอโทษ แต่กลับเป็นลู่เฉินเองที่รู้สึกผิดมาก
ความคิดถูกดึงหายจนหมด เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าการกระทำของอีกฝ่ายนั้นไร้เหตุผลมากแค่ไหน “ไม่เป็นไรครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นคุณค่อย ๆ พูดนะ”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
จมูกของซูโย่วอี๋แดงขึ้น “ถ้าคุณรู้ว่าฉันทำอะไรลงไป คุณคงจะไม่มีทางพูดว่าไม่เป็นไรแบบนี้แน่”
ลมหนาวพัดมา ขนอ่อนบนลำคอของซูโย่วอี๋ลุกชัน จนลู่เฉินต้องกอดเธอแน่นมากขึ้น
น่าเสียดายที่ตอนออกมาเขาไม่ได้เอาเสื้อคลุมมาด้วย
“ซู… โย่วอี๋ พวกเราหาที่คุยกันเถอะ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ได้สิ”
รอจนลู่เฉินปล่อยเธอออก เธอก็พูดขึ้นอย่างติด ๆ ขัด ๆ “คุณจับมือฉันได้ไหม?”
ดวงตาของลู่เฉินสั่นไหว อารมณ์ของเขาเองก็เริ่มไม่สงบ
เขาจับมือเธอและพามายังห้องรับรองของโรงแรม “หรือว่าคำสารภาพรักของผมประสบความสำเร็จแล้วงั้นเหรอ?”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ห้ามให้เขาพูดแบบนี้ เธอกระพริบตาปริบ ๆ “อืม พวกเรา… จับมือกันสำเร็จ”
พูดจบเธอก็ยกยิ้มขึ้น
เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้คงมีเพียงแค่เธอกับลู่เฉินเท่านั้นที่ทำได้
ลู่เฉินเทชาร้อนให้เธอ “พูดมาสิครับ ทำไมถึงมารอผมตอนดึกดื่นขนาดนี้ล่ะ?”
การสอบปากคำเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ตามปกติแล้วเธอก็หลอกอะไรลู่เฉินไม่ได้อยู่แล้ว แต่ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ซูโย่วอี๋ไม่คิดจะปิดบังอะไรจากเขาอีก
ซูโย่วอี๋พูดขึ้นอย่างจริงจัง “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ทุก ๆ คำพูดของฉัน ไม่ว่ามันจะฟังดูน่าเหลือเชื่อมากแค่ไหน คุณจะต้องเชื่อฉันนะ”
“ฉันไม่ได้เป็นบ้าและก็ไม่ได้โกหก”
ลู่เฉินเปิดปากพูด “ตกลง คุณพูดมาได้เลย”
“เมื่อสามปีก่อน ฉันกับคุณเคยคบกันมาก่อน”
ลู่เฉิน “พูดให้ชัด ๆ หน่อย อะไรคือเคยคบกันมาก่อน?”
“ฉันกับคุณอยู่ในความสัมพันธ์แบบคนรัก แต่ความทรงจำในช่วงนั้นของคุณหายไปจนหมด คุณเลยจำฉันไม่ได้”
“มีเพียงแค่ฉันที่ยังจำเรื่องราวทั้งหมดของพวกเราได้”
ลู่เฉินไม่พูดอะไร ซูโย่วอี๋จึงพูดต่อ “พวกเรามีลูกด้วยกัน เด็กคนนั้นคือซุ่ยซุ่ย คุณก็เคยเจอเขามาก่อน”
“ถ้าไม่เชื่อ วิธีที่ดีที่สุดคือคุณพาซุ่ยซุ่ยไปตรวจดีเอ็นเอได้เลย เขาจะใช่ลูกของคุณหรือไม่ คุณจะได้รู้ในทันที”
ลู่เฉินขมวดคิ้ว “นี่ไม่ได้แต่งเรื่องใช่ไหม?”
ลืมคนรักและลูกของตัวเองงั้นเหรอ?
นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว
ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า “ฉันพูดไปแล้ว จะจริงหรือปลอม แค่ตรวจสอบก็รู้แล้วค่ะ”
“รอให้ความสัมพันธ์ของคุณกับซุ่ยซุ่ยมั่นคงก่อน ความสัมพันธ์ของคุณกับฉันก็คงจะง่ายขึ้น”
ลู่เฉินลุกขึ้นมาจากโซฟา เข้าไปใกล้ ๆ ซูโย่วอี๋ “มีส่วนที่สำคัญมากที่สุดที่คุณยังไม่ได้อธิบาย”
“ทำไมผมถึงสูญเสียความทรงจำทุกอย่างไปได้?”
“เมื่อสองวันก่อนคุณยังพูดอยู่เลยว่าจะไม่มีทางคบกับผม วันนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป ทำไมกัน?”
ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด “ขอโทษค่ะ”
“ตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นกับหยินหยิน ฉันเลยจำนำความรักของเราเพื่อช่วยชีวิตหยินหยินเอาไว้”
ลู่เฉินหยุดชะงักด้วยความตกใจ “คุณรู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”
จำนำความรัก?
นั่นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาในละครเพื่อเอาไว้หลอกเด็กไม่ใช่เหรอ?
ซูโย่วอี๋กุมมือลู่เฉินเอาไว้ “ถ้าคุณอยากรู้ ฉันจะอธิบายให้คุณฟังเอง”
“ถ้าคุณรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ฉันจะพิสูจน์ให้คุณได้เห็นในตอนนี้เลย”
“พิสูจน์ยังไง?”
ซูโย่วอี๋สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อกี้เธอใช้อารมณ์มากไปหน่อย พอจะพูดตอนนี้กลับพูดไม่ออก “ฉันให้ยากับซิดไปหนึ่งเม็ดให้เขาเอากลับไปให้โอห์ม ยาเม็ดนั้นรักษาโรคกระเพาะได้ ครั้งหนึ่งฉันเคยเอาให้คุณปู่ลู่ ในตอนนี้เขาแข็งแรงดีมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
“คอของเฉินซีซีฉันก็เป็นคนรักษา รวมถึงเรื่องที่ฉันมีลูกไม่ได้ ก็เป็นฉันเองที่รักษาตัวเอง”
ลู่เฉินค่อยบีบมือเล็ก ๆ ของเธอแน่น “คุณจำนำอะไรไปอีกบ้าง?”
“ของพวกนั้นที่ใช้จำนำ ฉันเป็นคนหามาเองทั้งหมด”
“ลู่เฉิน คุณเชื่อสิ่งที่ฉันพูดไหม?”
ลู่เฉินกลับปล่อยมือเธอออก “นี่ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ”
เขาเดินออกไปทางประตูทันทีโดยไม่สนใจเลยว่าซูโย่วอี๋จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
หากแต่ซูโย่วอี๋พุ่งตัวเข้าไปและกอดเขาจากทางด้านหลัง หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกลัว “คุณโกรธงั้นเหรอ”
“ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือก คุณไม่ได้เห็นสภาพของหยินหยินในตอนนั้น ต่อให้ต้องเอาชีวิตของฉันให้เธอฉันก็ยอม ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
ลู่เฉินฟังเสียงร้องไห้ที่ดังมาจากด้านหลัง หัวใจของเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
แต่เขายังคงโกรธ เลยอยากจะรอให้อารมณ์ของตัวเองสงบลงก่อนแล้วค่อยคุย แต่ซูโย่วอี๋กลับไม่ยอมให้เขาไป
เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไป “ซูโย่วอี๋ คุณทิ้งผมไปง่าย ๆ แบบนั้นได้ยังไง”
“ฉัน…”
ซูโย่วอี๋สะอื้น ได้แต่พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา “ขอโทษ”
“คุณจะไม่ยกโทษให้ฉันก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าเป็นการลงโทษฉันก็ได้”
ลู่เฉินหมุนตัวกลับมาและเชยคางเธอขึ้น ก่อนจะจูบลงไปแรง ๆ
จูบนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
“ซูโย่วอี๋ คุณยังคิดจะทิ้งผมไปอีกครั้งงั้นเหรอ?”
ซูโย่วอี๋ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับก็ถูกบดขยี้ริมฝีปากอีกครั้ง
ลู่เฉินลงโทษเธอโดยการกัดไปที่ริมฝีปาก จนมีเลือดไหลออกมา
ซูโย่วอี๋รู้สึกเจ็บจนอยากจะถอยหนี แต่ลู่เฉินกลับคว้าเอวของเธอไว้ “คุณยังจะไปไหนอีก?”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเพราะความอดกลั้น “ผมพูดไปแล้วว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ทำไมคุณถึงไม่ฟังเลยหะ?”
“ตอนนี้ผมควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ คุณยังจะมายั่วผมอีก”
ซูโย่วอี๋สบตากับลู่เฉิน “ก็ไม่ต้องควบคุมสิ คุณอยากจะระบายก็ระบายออกมาเลย”
“พวกเราคลาดกันไปถึงสามปี ฉันไม่อยากคลาดกับคุณอีกแล้ว”
หลังจากนั้นเธอจูบลู่เฉินด้วยท่าทางเทอะทะ
เธอหลับตาลง ขนตาเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา พร้อมทั้งมีอาการตัวสั่นบ้างเป็นครั้งคราว ดูไปแล้วช่างน่าสงสารเสียจริง
ลู่เฉินประคองใบหน้าของเธอด้วยความอ่อนโยนแล้วจูบลงไป หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกออกจากกัน
“ผมผิดเอง ผมไม่ควรโมโหคุณเลย”
“คุณให้ผมคิดทบทวนหน่อย ตกลงไหม?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ลู่เฉิน “เชื่อผมนะ ตอนนี้ขึ้นไปนอนก่อน”
ลู่เฉินพาซูโย่วอี๋ไปที่ห้องของตัวเองและให้เธอนอนในห้องนอน ส่วนตัวเองก็มาอยู่บนโซฟา
ทั้งสองคนลืมตาอยู่ในความมืดโดยไม่คิดจะหลับ
จู่ ๆ สุนัขจิ้งจอกก็ส่งเสียงออกมา [ซู่จู่ ระบบแจ้งเตือนว่าคุณละเมิดเจตนารมณ์ของสัญญา ความทรงจำทั้งหมดของซูหยินกลับมาแล้ว]
[คุณโทรศัพท์ไปตรวจสอบกับเธอหน่อยดีไหม]
ซูโย่วอี๋พึ่งจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ซูหยินกลับโทรมาพอดี
“[ที่รัก เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้วฟังที่ฉันพูด]”
“[ตอนแรกฉันสูญเสียความทรงจำไป แต่ความทรงจำพวกนั้นก็ยังตามหาฉันเจออย่างรวดเร็ว ฉันสงสัยว่าเป็นแค่ความฝันของฉันหรือเปล่า ทำไมนอกจากฉันแล้วทุก ๆ คนถึงจำอะไรไม่ได้เลย]”
“[ฉันค่อย ๆ ยืนยันเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และพบว่าคนเดียวที่ชีวิตเปลี่ยนไปมีเพียงแค่เธอ เธอเลิกลากับลู่เฉินและคลอดซุ่ยซุ่ยออกมาด้วยตัวคนเดียว]”
“[ถ้าหากนี่ไม่ใช่เรื่องจริง เธอไม่มีทางมีลูกได้]”
“[ฉันเดาได้เลยว่าเธอทำข้อตกลงบางอย่างเพื่อฉัน แต่เพราะความขี้ขลาดของฉัน ฉันไม่กล้าฝ่าฟันอุปสรรคพวกนั้น]”
“[ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว โซ่ตรวนที่ล็อกตัวของฉันเอาไว้มาโดยตลอดก็คือสายตาของคนรอบข้าง ตอนนี้ฉันกล้าหาญมากพอที่จะเผชิญหน้ากับมันแล้ว เธอเอาลู่เฉินกลับมาเถอะนะ]”
ซูโย่วอี๋ถือโทรศัพท์ไว้แน่น “หยินหยิน…”
…
ท้องฟ้าสว่างไสว เสียงร้องของลูกนกดังแว่วเข้ามา
ซูโย่วอี๋นอนอยู่บนเตียง เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอก
ลู่เฉินมีดวงตาแดงก่ำ เขาก้าวเข้ามายังเตียงนอนทีละก้าว ๆ “ซูโย่วอี๋ พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”
(จบบริบูรณ์)
ตอนต่อไป →