ทุกครั้งที่เฉียวเวยขึ้นเขา
นางจะรู้สึกชอบที่นี่มากขึ้นอีกนิด
ความวุ่นวายในเมือง นางชอบเขาสวยน้ําใสเช่นนี้มากกว่า
นิสัยของนางไม่ชอบ
จิ้งอวิ๋นก็ชอบเช่นกัน มีเนินเขาลูกใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวขจี ร่มเงาของต้นไม้ ลําธารที่ไหลริน เสียงนกร้องไพเราะเสนาะหู ช่างเป็นสนามเด็กเล่นที่ธรรมชาติสรรค์สร้างจริงๆ
เฉียวเวยพาลูกชายไปเก็บเห็ดป่าที่ป่าฝั่งทิศเหนือที่เคยไป เพราะว่ามาเก็บเห็ดป่าบ่อยๆ
เฉียวเวยจึงวางกับดักสัตว์ไว้ด้วย หวังว่าจะโชคดีสดักกระต่ายป่ากับไก่ป่าได้ แต่เห็นได้ชัดว่า สัตว์ในบริเวณนี้ฉลาดกว่าจึงไม่ค่อยติดกัน ก
หลังจากใส่เหยื่อล่อไว้ในกรงเปล่าเรียบร้อย เฉียวเวยกับลูกชายของนางก็เริ่มเก็บเห็ดป่า
รอบๆ บริเวณนั้น
เห็ดป่าอุดมไปด้วยน้ําตาลโมเลกุลเดี่ยว น้ําตาลโมเลกุลคู่และน้ําตาลโมเลกุลใหญ่ เห็ดป่า บางชนิดมี กลูโคส ฟรุกโตส กาแลคโตส แมนโนส ฯลฯ ในปริมาณมาก ช่วยเพิ่มการทํางาน ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างมาก กล่าวได้ว่ามันเป็นอาหารที่มีคุณค่าทาง โภชนาการสูงและอร่อยมาก
“นี่คือเห็ดสน มันเติบโตใต้ต้นสนเท่านั้น โดยทั่วไปถ้าเจ้าเจอต้นสนเจ้าก็จะเจอมัน” เฉียว เวยพาลูกชายไปที่ใต้ต้นสน ที่นั่นมีเห็ดสนออกดอกเต็มพรืด เฉียวเวยหยิบขึ้นมาดอกหนึ่ง แล้วเช็ดทําความสะอาดมันด้วยผ้าฝ้ายที่เตรียมมา “เมือกนี้ต้องเช็ดก่อน มิฉะนั้นเมื่อนํากลับ
ไปแล้วจะเช็ดออกยาก”
จิ้งอวิ่นพยักหน้า มิน่าเล่าท่านแม่ถึงได้เอาผ้าฝ้ายใส่ไว้ในตะกร้าของเขา
แม่ลูกเริ่มเก็บเห็ดสน เห็ดสนไม่ใช่เห็ดป่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังและล้ําค่าเป็นพิเศษ เหมือนเห็ดทรัฟเฟิลดําหรือเห็ดมัตสึทาเกะ แต่มันมีประโยชน์ที่เห็ดชนิดอื่นยากจะทัดเทียมได้ นั่นก็คือให้ความชุ่มชื้นแก่ลําไส้ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
ไม่
จิ้งอวิ่นน้อยเก็บมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หลังจากเก็บขึ้นมาแล้ว เขาก็เช็ดอย่างระมัดระวัง และใส่มันลงในตะกร้าบนหลังอย่างถูกต้อง ในไม่ช้าตะกร้าใบเล็กๆ บนแผ่นหลังของเขาก็มี เห็ดสนกองเป็นชั้นบางๆ
ทันใดนั้นเอง เขาเห็นบางสิ่งที่ทั้งเหมือนเห็ดหูหนูขาวทั้งเหมือนรังผึ้ง “ท่านแม่ นี่คือสิ่งใด
หรือขอรับ”
เฉียวเวยปาดเหงื่อพร้อมกับเดินเข้ามาดู ทันใดนั้นแววตาก็เป็นประกาย
หากนางจําไม่ผิด นี่น่าจะเป็นเห็ดกระเพาะแพะที่ลือกันว่าล้ําค่า
เห็ดกระเพาะแพะเป็นของดี มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าเห็ดสนมาก โปรตีนในร่างกาย มนุษย์ประกอบด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด เห็ดกระเพาะแพะมีมากถึง 18 ชนิด และกรดอะมิโน 8 ชนิดในนั้นร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถผลิตได้ จึงเห็นได้ว่ามันเป็นเห็ดที่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินอีกจํานวนมาก ทั้งช่วยย่อยอาหารบํารุงกระเพาะ ลดเสมหะ ช่วยควบคุมการไหลเวียนของลมปราณ….สรุปแล้ว ทุกด้าน แล้วรสชาติก็อร่อยอย่างไม่มีที่ติ
อย่างไรก็ตามเห็ดกระเพาะแพะหายากมาก ปกติจะพบได้น้อย เฉียวเวยขึ้นเขามาหลายครั้ง แล้ว แต่นางไม่เคยเห็นแม้แต่ดอกเดียว นึกไม่ถึงว่าลูกชายจะเป็นคนพบเข้า
นี่มันโชคดีอะไรกันนะ
เฉียวเวยชี้ไปที่เห็ดกระเพาะแพะแล้วว่า “ลูก นั่นคือเห็ดกระเพาะแพะ” “กระเพาะแพะที่อยู่ในท้องแพะหรือขอรับ” จึงอวิ๋นถาม
“ใช่แล้ว” เฉียวเวยพยักหน้า
จิ้งอวิ๋นเคยเห็นกระเพาะแพะมาแล้ว มันก็ดูคล้ายกันจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่มันถูกเรียกว่า
เห็ดกระเพาะแพะ
“มันกินได้ด้วยหรือ” เขาถามอย่างสงสัย
เฉียวเวยยิ้มแล้วตอบว่า “แน่นอน
ก่อนหน้านี้เสียอีก”
มันรสชาติดีกว่าเห็ดป่าหลายชนิดที่เราเคยกิน
เห็ดป่าที่เคยกินเมื่อก่อนก็อร่อยมากอยู่แล้ว แต่นี่มันรสชาติดีกว่าเห็ดพวกนั้นอีก รสชาติ
จะเป็นอย่างไรกันนะ
จิ้งอวิ่นกลืนนํ้าลาย
เฉียวเวยหัวเราะลั่น นางไม่ค่อยเห็นมุมตะกละของลูกชายมาก่อน ปกติเห็นแต่จอมตะกละ
น้อยวิ่งซูที่แสดงท่าทางละโมกและเจ้าเล่ห์เช่นนั้นออกมา
จิ้งอวิ๋นหน้าแดงด้วยความเขินอาย
ก่อนหน้านี้เก็บเห็ดสนมาได้ไม่น้อย ตะกร้าจึงเกือบจะเต็มแล้ว ใส่เห็ดกระเพาะแพะอีกสาม ซึ่งก็คงใส่ไม่ได้อีก เฉียวเวยหันไปมองตะกร้าบนหลังของลูก เห็นว่าท่าทางหนักน่าดูก็รู้สึก สงสาร นางจึงเรียกเสียวไปมา
เสี่ยวไปไม่มา ร่างเล็กๆ ของมันถอยไปหลบหลังต้นไม้
เฉียวเวยจะไปจับมัน มันก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้
เฉียวเวยปัดมืออย่างมึนงง “ทําอะไร ยังขึ้นไปหลบบนต้นไม่อีก แค่จะให้เจ้าช่วยเก็บเห็ดไม่ กี่ดอกเอง ลงมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่ลงไปหรอก
เสี่ยวไปกระดิกหางไปมา
เฉียวเวยหรี่ตา “รู้จักเกียจคร้านแล้วใช่หรือไม่ รู้จักแต่กินแล้วไม่อยากทํางานอย่างนั้นหรือ ลงมาเดี๋ยวนี้! ข้าจะนับหนึ่งถึงสามครั้ง ถ้าไม่ลงมาก็คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เสี่ยวไปไต่ลงมาด้วยท่าทางน่าสงสาร เดินช้าๆ ไปที่เท้าของเฉียวเวย
เฉียวเวยอุ้มมันขึ้นมาแล้วเปิดตะกร้าบนหลังของมัน ทันใดนั้นเอง งูเขียวดอกหมากตัวเล็ก
ตัวหนึ่งก็ผงกหัวขึ้น เฉียวเวยผงะตกใจจนโยนเสี่ยวไปออกไป!
เดี่ยวไป๋กระเด็นไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ บิ๊ก! มันติดอยู่บนต้นไม้สองวินาที จากนั้นก็ตกลง
พินเสียงดัง พลัก!
ทันทีที่มันตกลงมา งูเขียวดอกหมากตัวน้อยก็ฉวยโอกาสหนีไป ไม่นาน ค่าตัวน้อยอีก สองตัวก็หลุดออกไปเช่นกัน
สีหน้าของเฉียวเวยด่าทะมึนเหมือนถ่าน
ครั้งที่แล้วเจ้าตัวเล็กนี่ซ่อนงูพิษไว้บนหลังคา
เตียงตั้งเจ็ดแปดตัว นางยังไม่มีโอกาสสะสางคดีเลย นี่ยังจะจับมาอีกหรือ
น่วม
“เสี่ยวไปตัวแสบ เจ้าจะทําอะไร!”
เสี่ยวไป่กระดิกหาง ข้าแค่อยากจะเลี้ยงลูกงูไว้ไม่กี่ตัวเอง เลี้ยงโตแล้วจะได้เอาไปกิน
ผลสุดท้ายแน่นอนว่าเสี่ยวโป้ต้องกล่าวอ้าลาบรรดาลูกงูพิษ
หลังจากนั้นยังโดนอัดจน
เมื่อทั้งสองกลับมาที่บ้านสกุลหลัว วิ่งซูเพิ่งลืมตาขึ้น นางไม่รู้ว่าท่านแม่และพี่ชายทิ้งนาง ออกไป เที่ยวเล่น” อีกแล้ว นางบิดก้นเล็กๆ ของนางอย่างตื่นเต้น “พวกท่านยังอยู่กันทั้งสอง คน วันนี้ยัาตื่นเช้าใช่หรือไม่
ใช่แล้ว เช้ามาก เช้าจนข้ากับพี่ชายเจ้าออกไปเก็บเห็ดจนกลับมาแล้ว
เฉียวเวยยิ้มพร้อมกับถือเห็ดเข้าไปในครัว
ชุ่ยอวิ๋นประหลาดใจ “ทําไมมีมากมายนัก
เฉียวเวยกล่าวว่า “วันนี้มีแต่เห็ดดีๆ เก็บเพลินไปหน่อยถึงได้มามากเช่นนี้
ชุ่ยอวิ๋นเหลือบมองท้องฟ้าข้างนอกพลางถอดผ้ากันเปื้อน “ข้าจะไปที่ทุ่งนาก่อน เจ้าช่วยข้า
ดูจวิ้นเกอร์ด้วย ประเดี๋ยวถ้าเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ช่วยพาจวิ้นเกอร์ไปส่งท่านแม่ของข้า สักหน่อย”
“ไต”
อาหารเช้าเป็นหมั่นโถวจากแป้งสาลีกับเส้นบะหมี่ เฉียวเวยปรุงแกงจืดลูกชิ้นเนื้อใส่เห็ด โดยใส่ทั้งเห็ดสนกับเห็ดกระเพาะแพะ รสสัมผัสของเห็ดกระเพาะแพะนั้นนุ่มละมุนไม่เหมือน
ใครจริงๆ ขนาดคนที่ไม่ค่อยยึดติดกับอาหารรสโอชะอย่างเฉียวเวยยังหยุดกินไม่ได้
“แล้วท่านยาย ท่านลุงกับท่านป้าเล่าเจ้าคะ” วิ่งซูถามเสียงนุ่มนิ่ม
เฉียวเลยซดแกงจืดเห็ด “ท่านยายกับท่านป่าไปทํางานที่แปลงนา ท่านลุงก็ออกไปรับซื้อ กุ้ง เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นหนอนเกียจคร้านเหมือนเจ้าหรือ นอนจนตะวันสายโด่งถึงยอมตื่น”
วั่งซูโต้อย่างไม่ยอมแพ้ “น้องชายก็หลับเหมือนกันนะเจ้าคะ!”
เฉียวเวยพูดอย่างขบขัน “เจ้าอายุห้าขวบแล้ว ยังไปเทียบกับน้องชายอายุหกเดือน ละอาย
บ้างหรือไม่
วิ่งซูใคร่ครวญครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงตามนั้น จึงพูดอย่างอึกอัก “เช่น….เช่นนั้น ถ้า ช้าอายุหกเดือน ข้าค่อยนอนตื่นสายอีกก็ได้!”
เฉียวเวยอดยิ้มไม่ได้ “คนมีแต่จะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใดยิ่งโตยิ่งกลายเป็นเด็ก” วิ่งซูชูนิ้วขึ้นมา แล้วนับนิ้วทีละนิ้ว “เมื่อข้าอายุครบร้อยปี ข้าก็จะกลับมาหนึ่งขวบใหม่”
ถ้ามันเป็นอย่างนั่นก็ดีสิ สาวน้อย!
เฉียวเวยบีบแก้มของนาง แล้วตักแกงจืดให้นาง “รีบกินเร็ว อิ่มแล้วจะได้ไปเรียน” “เจ้าค่ะ!” วิ่งซูตอบอย่างร่าเริง หยิบถ้วยใบเล็กขึ้นมาซดอึกใหญ่
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยบรรจุเห็ดสนและเห็ดกระเพาะและสองชั่ง อย่างดี เพื่อเอาไปมอบให้ซิ่วไฉเฒ่าตอนไปส่งเด็กๆ เข้าเรียน แต่เพราะเด็กๆ กําลังรีบเข้าเรียน ทําให้นางลิมเตือนซิ่วไฉเฒ่าว่าเห็ดสนมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ห้ามกินครั้งละมากๆ ในคราว
เดียว
หลังจากนั้น เฉียวเวยก็พาจวิ้นเกอร์ไปส่งที่บ้านสกุลจ้าว ส่วนตัวนางก็หยิบเครื่องมือทําไร่ ไปยังทุ่งข้าวฟ่าง
แม้ว่าขิ่นอ๋องนายบ่าวกับสวี่ชื่อเจี้ยจะน่าชัง แต่พวกเขาก็พูดได้ทําได้ พวกเขาถางหญ้าได้ ค่อนข้างสะอาด เลยทีเดียว เฉียวเวยเดินสํารวจจนทั่วก็ไม่เห็นหญ้าต้นอื่นนอกจากวัชพืช ดื้อด้านที่เพิ่งงอกออกมาใหม่
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดยามปลูกข้าวฟ่างไม่ใช่วัชพืช แต่เป็นแมลงตั๊กแตน หรือที่เรียกกันทั่วไป ว่าตั๊กแตน เจ้าพวกนี้ขยายพันธุ์ได้เร็ว ปริมาณอาหารที่กินก็มาก หากมันเข้ามาในทุ่งข้าวฟ่างก็
คงไม่เหลือผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ปีนี้ฝนตกน้อย กล่าวกันว่าแล้งนานย่อมพบตั๊กแตน เฉียวเวย จึงยิ่งกังวลมากขึ้นว่าตั๊กแตนจะมาทําลายข้าวฟ่างที่นางทุ่มเทปลูก
ทุกวันเฉียวเวยจะพาเดี่ยวไปออกลาดตระเวนในไร่หนึ่งรอบ เสี่ยวไปมีปฏิกริยาตอบสนอง ต่อตั๊กแตนไวมาก แม้แต่ไข่แมลงเล็กๆ มันก็หาพบ เพียงแต่พื้นที่สิบหมู่กว้างใหญ่มากจึงต้อง วิ่งจนเหนื่อยอยู่บ้าง
แถมวันนี้ยังโดนอัดจนน่วม เสี่ยวไปอารมณ์เสียจึงไม่อยากเข้าไร่ข้าวฟ่าง
เฉียวเวย “จะเข้าไม่เข้า
ไม่เข้า
เฉียวเวยหยิบขนมเผือกหวานนั่งที่นางทําออกมาจากตะกร้า “จะเข้าหรือไม่
เข้าแล้ว!
เสี่ยวไปอุ้มขนมหวานวิ่งเข้าไปอย่างมีความสุข!
หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวช่วยกันจับตั๊กแตนอย่างคึกคัก ตอนนี้เองสวี่ชื่อเจี้ยที่ไม่ได้ปรากฏตัว
มาเป็นเวลานานก็กลับมาอีกครั้ง
“ภรรยา!” เขาคลี่ยิ้มกว้าง “ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว! ทํางานอยู่หรือ เดี๋ยวข้าช่วย!”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเฉยเมย
สวี่ชื่อเจี้ยพูดอย่างยิ้มแย้ม “ภรรยาโกรธที่ข้าไม่ได้มาหาเจ้าหลายวันเช่นนั้นหรือ ภรรยา ฟังข้าอธิบายก่อน ข้าอยากมาอยู่ตลอด แต่ท่านพ่อของข้าล้มป่วย ข้าต้องช่วยป้อนยาให้เขา พออาการป่วยของเขาดี นข้าก็มาหาเจ้าทันที!”
เฉียวเวยจับตั๊กแตนตัวเล็กออกจากใบข้าวฟ่าง “พูดเหมือนข้าเสียดายที่ท่านไม่มานักหนา คุณชายสวี เล่นละครก็อย่าถลําลึกนัก
สวี่ชื่อเจี่ยลูบจมูก แสร้งทําเป็นโกรธ “ภรรยากล่าวอะไรอย่างนั้น ข้าเป็นสามีของเจ้านะ ถ้า เจ้าไม่เสียดายข้าแล้วเจ้าจะไปเสียดายใคร”
เฉียวเวยชักมีดสั้นออกมา “ถ้าขืนเจ้ายังพูดคําว่าสามีอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเอามีดแทง
เจ้าเสีย
สวี อเจี้ยกระโดดโหยงด้วยความตกใจ “ภรรยาอย่าหุนหันนักสิ!”
“ค้าว่าภรรยาก็ห้ามเรียก!”
สวี่ชื่อเจี้ยหุบปาก
แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นนักต้มตุ๋นพเนจรมาจากไหน ถึงได้รู้เรื่องของนางมากขนาดนี้ แต่เหตุที่เมื่อก่อนเก็บเขาไว้ก็เพราะว่าเอาไว้กันคนสารเลวยิ่นอ่อง ระยะนี้ยนอ๋องไม่มาแล้ว สว
ชื่อเจี่ยก็ไม่มีความจําเป็นต้องอยู่ต่อ
เฉียวเวยทําเมินเฉยต่อสวี่ชื่อเจี่ยอยู่สักพัก สวี่ชื่อเจียรู้สึกว่าหมดสนุกแล้วแต่ก็ยังไม่อยาก
ไป ถึงอย่างไรสินเดิมสูงเสียดฟ้าที่หลินมามาว่าไว้นั่นก็น่าดึงดูดใจจริงๆ และอีกประการหนึ่ง เฉียวเวยก็งดงามมากจริงๆ เด็กน้อยน่ารักทั้งสองก็ยังมีความสามารถมากยิ่งนักอีก แต่งงาน
กับผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนแต่งงานกับเหมืองทองที่กําลังพัฒนา ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมปล่อยให้
หลุดมือไปแน่
ยิ่งได้ทําความรู้จักกันมาช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมานิดหน่อยแล้วจริงๆ
สตรีที่เขาเคยพบเจอมา บ้างก็อ่อนแอและไร้ความสามารถเฉกเช่นมารดาของเขา หรือไม่ก็ อ่อนโยนดั่งสายน้ําเหมือนสาวใช้ของเขา หรือมีจิตใจยากแท้หยั่งถึงดังเช่นแม่ใหญ่ของเขา แต่ ไม่มีผู้ใดเหมือนเสี่ยวเฉียว ทั้งสง่างาม แข็งแกร่ง ไม่ดัดจริตมารยาสาไถ ในช่วงเวลาสําคัญยัง เป็นเหมือนขุนเขาแกร่งคอยปกป้องคนในบ้าน…
เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าการได้อยู่กับเสี่ยวเฉียวทําให้รู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง
เฉียวเวยไม่สนใจเขา นางคงยังสอดส่ายสายตาหาตั๊กแตนในทุ่งข้าวฟ่างอยู่ตามลําพัง สวี่ชื่อเจี้ยเกาะติดเป็นปลิง ทันใดนั้นงูไล่ฮวาก็เลื้อยผ่านเท้าของเขา เขากระโดดตัวลอย
ด้วยความตกใจ!
เตียว
ไม่นานก็มี งูตัวที่สอง สาม
สาม สี่…
พอไม่ฮวาเลื้อยมาด้านนี้ สวี่ชื่อเจี้ยก็เปิดแน่บ วิ่งโกยออกจากทุ่งข้าวฟ่างภายในอึดใจ
เฉียวเวยยิ้มหยัน งูไม่มีพิษไม่กี่ตัวยังกลัวขนาดนี้ ยังคิดจะแต่งงานกับนางอีกหรือ รู้หรือไม่ ว่านางนอนกับงูพิษทุกคืน
เสี่ยวไปเดินกระดุกกระดิกเข้ามาพร้อมกับเบ่งกล้าม ลูกพี่เก่งหรือไม่
เฉียวเวยตบหน้าผากดังเพียะ “ทํางาน อย่าเกียจคร้าน!”
เมื่อกลับจากทุ่งข้าวฟ่างก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ป้าหลัวและคนอื่นๆ ต่างกลับบ้านกันหมด แล้ว โถงกลางบ้านมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมซ่อนลายสีเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสุขุม ผิวขาวราวกับหยกเนื้อดี ท่าทางนุ่มนวลกว่าชายหนุ่มทั่วไปมาก ป้าหลิวได้ยินว่า เขามาจากเมืองหลวง นางจึงรีบนําชาที่ดีที่สุดในบ้านออกมาต้อนรับเขา แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือ อย่างไร ตอนอยู่กับเขา ป้าหลัวรู้สึกประหม่าเป็นพิเศษ
สายตาของเฉียวเวยหันไปมองเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ แสดงสีหน้าออกมา นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านฮุยให้เกียรติมาเยือนบ้านซอมซ่อของข้า
ช่างเปนเกยรตแกบานหลงนยงนก
หัวหน้าชุยมองตามเสียง เห็นเฉียวเวยแต่งกายเยี่ยงหญิงชาวนาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้ม “เป็นเกียรติอันใดกัน เฉียวฮูหยินอย่าล้อขาเล่น!”
“รู้จักกันหรือ” ป้าหล้วขยับเข้าไปใกล้เฉียวเวย แล้วกระซิบถามเสียงเบา “ไม่ใช่นักต้มตุ๋น จากไหนหรอกนะ”
ไม่แปลกที่ป้าหล้วจะระแวง กิจการของเฉียวเวยกําลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะมีบางคนเจตนาร้ายต้องการมาเอาเปรียบ
เฉียวเวยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ข้ารู้จักในเมืองหลวง ตอนนี้อากาศ
ร้อนมาก แม่บุญธรรมช่วยต้มน้ําถั่วเขียวให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้สิ!” ป้าหล้วเดินไปที่ครัว
เฉียวเวยล้างเนื้อล้างตัวที่หลังเรือนเสร็จก็กลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดในห้อง ก่อนจะ ออกมาคุยกับหัวหน้าฮุย “ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่เจ้าคะ”
หัวหน้าชุยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หากไม่มีธุระคงไม่มา ที่ข้ามาหาเจ้าย่อมเป็นเพราะว่ามีธุระ อยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าอยู่เสียห่างไกล ข้าตามหาเจ้าด้วยความลําบากเหลือเกิน!”
เฉียวเวยยิ้ม
หัวหน้าฮุยกล่าวต่อ “ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลแก่เจ้าเป็นเงินมากมาย เหตุใดเจ้าไม่หา ที่อยู่ที่ดีกว่า สักแห่ง”
ในหมู่บ้านนี้บ้านสกุลหลัวนับว่ามีปัจจัยที่ดีแล้ว ทั้งกว้างทั้งสว่าง มีสามห้องนอนหลัก หนึ่งห้องโถง มีลานหลังบ้าน ห้องครัวกับห้องเก็บฟืนเชื่อมต่อกัน มีทั้งคอกหมูและเล้าไก่ หลังเรือนมีต้นไผ่สีเขียวเรียงราย บรรยากาศรื่นรมย์ เพียงแต่ในความคิดของหัวหน้าชุย สตรี ที่มีความสามารถเช่นนี้ควรจะอยู่ในบ้านที่งดงามและใหญ่โตในเมืองหลวงมากกว่า
เฉียวเวยยิ้มและตอบว่า “ข้ากําลังสร้างบ้านบนเขา กําลังจะสร้างเสร็จเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ” “ข้าก็ว่าอยู่” หัวหน้าฮุยจิบชา แล้วพูดเข้าประเด็นหลัก “ที่ข้ามาครานี้ เพราะต้องการคุย เรื่องการค้ากับเจ้า”
“เจ้าคะ การค้าอะไรหรอ” เฉียวเวยเริ่มสนใจ
หัวหน้าชุยกล่าวต่อ “ไข่ที่เจ้ามอบให้ข้าครั้งล่าสุด ไข่อะไรนะ”
เฉียวเวยยิ้ม “ไข่เยี่ยวม้าเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ไข่เยี่ยวม้า” หัวหน้าฮุยพยักหน้าพร้อมกับคลี่รอยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินองค์ชายเก้า โอ้อวดให้ฮ่องเต้ฟังว่าไข่เยี่ยวม้าอร่อยเพียงใด ข้าอยากลิ้มลองมานานแล้ว แต่ในวังหลวงไม่มี ข้างนอกวังหลวงก็หาซื้อได้ยากยิ่งนัก พอข้าได้ลองทานมาสองสามฟองก็รู้สึกว่ารสชาติดีที เดียว จึงอยากมาขอซื้อกับเจ้า”
เฉียวเวยไม่ได้ถามหัวหน้าซุยว่าเหตุใดเขาไม่ไปซื้อที่ทรงจี้ ในเมื่อหัวหน้าฮุยมาหาถึงบ้าน เขาคงไปที่ทรงจี้มาก่อนแล้ว สาเหตุที่ไม่ได้สั่งซื้อกับทรงจี้ย่อมต้องมีเหตุผล ส่วนตัว ของนางได้
ประชากรในวังหลวงมีมากนับหมื่นคน เพียงทานคนละนิดคนละหน่อย มันย่อมกลายเป็น ปริมาณมากมายจนมิอาจดูแคลนได้
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเวยจึงถามว่า “หัวหน้าฮุยต้องการเท่าไร” หัวหน้าชุยไม่ตอบในทันที หากแต่ถามว่า “เจ้าขายฟองละเท่าไร”
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าหัวหน้าชุยต้องการมากเพียงใด ในเมื่อหัวหน้าชุยมาหาถึงที่บ้านของข้า ดังนั้นราคาจึงไม่แพงเหมือนที่ขายในทรงจี้ ต่ํากว่าหนึ่งหมิ่นฟองขายฟองละแปดสิบอีแปะ หนึ่งหมื่นหนึ่งถึงห้าหมิ่นฟอง ขายฟองละเจ็ดสิบอีแปะ ห้าหมิ่นฟองขึ้นไปขายฟองละเก้าสิบ
แปะเจ้าค่ะ