บทที่ 308 ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 308 ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไร
บทที่ 308 ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไร

เซี่ยเชียนตามต๋ากงกงเข้าไปในตำหนักหลัง มองแวบเดียวก็เห็นองค์จักรพรรดิทรงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ กำลังอ่านสาส์นกราบทูลอย่างเกียจคร้าน

กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาของเซี่ยเชียน แล้วตามมาด้วยเสียงคุกเข่าทำความเคารพ หากองค์จักรพรรดิก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด

ผ่านไปไม่นาน องค์จักรพรรดิได้ทรงรับสั่งให้ต๋ากงกงไปเก็บองุ่นมา จากนั้นก็นั่งเสวยไปพลางอ่านสาส์นกราบทูลอย่างสบายใจ ปล่อยเซี่ยเชียนไว้ด้านข้าง

เซี่ยเชียนข่มอารมณ์มาตลอด ทำได้แค่ยืดตัวตรง และคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิอยู่เงียบ ๆ

สุดท้ายกลับกลายเป็นองค์จักรพรรดิที่ทนไม่ไหว เขวี้ยงองุ่นเม็ดหนึ่งออกไปตามอำเภอใจ กระแทกเข้าที่ศีรษะของเซี่ยเชียน แล้วด่าทอ “คนอื่น ๆ ในราชสำนักสร้างปัญหาให้ข้าไม่เว้นแต่ละวันก็ช่างเถอะ แม้แต่เจ้าก็ริเริ่มแล้วหรือ?”

เซี่ยเชียนไม่กล่าวสิ่งใด ใบหน้ายังคงแสดงสีหน้านิ่งเฉย คุกเข่าอยู่ตรงหน้าไม่เคลื่อนไหว ราวกับรูปปั้นก็มิปาน

องค์จักรพรรดิตรัสด้วยความขุ่นเคือง “ข้าถามเจ้าอยู่!”

เซี่ยเชียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กระหม่อมไม่ได้เจตนาพะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิหยุดเสวยองุ่นที่อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ บันดาลโทสะอยู่ในใจโดยไม่สนใคร ก่อนตรัสด้วยความขุ่นเคืองในวินาทีต่อมา “ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะได้มีเวลาพักผ่อนเช่นนี้ ออกว่าราชกิจ แล้วยังต้องรับฟังเรื่องเล็ก ๆ เท่าขนไก่และเปลือกกระเทียมเหล่านี้ของพวกเจ้าอีก! บุตรสาวตระกูลตู้จะเป็นคนดีหรือไม่นั้น เกี่ยวอะไรกับข้า? หญิงสาวกระทำเรื่องน่าละอายเพียงเพราะความริษยา ก็ต้องให้ข้าตัดสินอีกหรือ?”

เซี่ยเชียนไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติเพียงเพราะโทสะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขององค์จักรพรรดิ

เสียงของเขานั้นราบเรียบ และยังคงราบเรียบเหมือนปกติ “กระหม่อมคิดว่า กระหม่อมมีสิทธิ์โทษกล่าวขุนนาง”

ประโยคนี้ถือว่าเป็นการโต้กลับอย่างกล้าหาญ

ต๋ากงกงเห็นสีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิไม่สู้ดีนัก จึงเกิดความกังวลเล็กน้อย

เมื่อองค์จักรพรรดิทรงได้ยินประโยคนี้ โทสะก็พลันปะทุขึ้นยิ่งกว่าเก่า

พระองค์สรวลเย็นชาหนึ่งเสียง และหมดอารมณ์อ่านสาส์นในมือ จากนั้นก็เขวี้ยงไปบนโต๊ะโดยตรง แล้วตรัสว่า “ข้าไม่ยักเห็น บัดนี้ท่านขุนนางช่างกล้าหาญมากเพียงนี้ คิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าใช่หรือไม่?”

เซี่ยเชียนปรายตามอง เห็นได้ชัดว่ายังคงคุกเข่า แต่นัยน์ตาของเขากลับไม่มีความรู้สึกของการยอมจำนนจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย

เขาสบสายพระเนตรขององค์จักรพรรดิ แล้วโต้แย้งกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฝ่าบาททรงลงโทษกระหม่อมได้ทุกเมื่อ เพียงแต่กระหม่อมเองก็คาดไม่ถึงว่าความอดทนขององค์จักรพรรดิในตอนนี้จะลดลงเช่นนี้พะย่ะค่ะ”

หัวใจของต๋ากงกงเต้นระทึกมาจนถึงลำคอด้วยความตกใจ พยายามขยิบตาให้เซี่ยเชียน ส่งสัญญาณให้เขาพูดด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนลง อย่าได้กระตุกหนวดเสืออีก

แต่เซี่ยเชียนก็ยังไม่เคลื่อนไหว ยังคงคุกเข่าเช่นนั้น สายตานิ่งเฉยดุจสายน้ำที่นิ่งสงบ

องค์จักรพรรดิทรงสรวลด้วยเสียงเย็นชา แต่กลับไม่อยากตัดสินใจกระทำบางอย่างด้วยโทสะจนต้องมาเสียใจภายหลัง จึงทำได้แค่ข่มโทสะระลอกนั้นไว้ ส่วนตัวเองก็พลิกเปิดสาส์นหน้าต่อไป

บรรยากาศในตำหนักใหญ่ค่อย ๆ เย็นเยือกลง องค์จักรพรรดิทรงไม่ปริปาก และก็ไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก

ผ่านไปไม่นาน ก็เป็นองค์จักรพรรดิที่ทนไม่ไหว ตรัสถามเขาด้วยสุรเสียงเคร่งขรึม “เจ้ากับเจียงหนิงไปรบกวนกันและกันตั้งแต่เมื่อใด?”

ตระกูลเจียงประจำการอยู่ในซีเป่ยตลอดทั้งปี เจียงหนิงจึงไม่ค่อยมาเมืองหลวงสักเท่าไหร่

แต่ชัยชนะของซีเป่ยในคราวนี้เกิดจากทางท้องพระโรงได้เจรจาสงบศึกกับต่างเมือง เมื่อชายแดนได้รับการฟื้นฟูก็ถูกองค์จักรพรรดิเรียกตัวไปเมืองหลวง

เซี่ยเชียนปรายตามอง ส่ายหน้าแล้วทูลตามความจริง “กระหม่อมและท่านแม่ทัพ ไม่ได้ไปมาหาสู่เป็นการส่วนตัว หลินเหราเป็นผู้ใต้บัญชาของท่านแม่ทัพ จึงต้องไปไต่สวนคนร้ายในจวนของท่านแม่ทัพพะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้น องค์จักรพรรดิก็ทรงด่าทอตนเองอยู่เงียบ ๆ เขาจะลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรละ

ครั้นเห็นองค์จักรพรรดิยังคงเงียบไม่พูดไม่จา เซี่ยเชียนจึงทูลอีกครั้ง “กระหม่อมคิดว่า องค์จักรพรรดิคงจะเชื่อใจกระหม่อมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”

องค์จักรพรรดิปิดปากทันใด คิ้วขมวดแล้วตรัสว่า “เหตุใดข้าถึงไม่เชื่อใจเจ้า?”

เซี่ยเชียนไม่พูด

องค์จักรพรรดิไม่มีเหตุผล เลิกคิ้วสูง แล้วตวาดใส่เขา “ลุกขึ้น ๆ คุกเข่านานเพียงนั้น เข่าไม่เจ็บแย่หรือ? มานี่ ข้ามีองุ่นที่เพิ่งส่งเป็นเครื่องราชบรรณนาการมาจากซีเป่ย ชิมดูสิรสชาติไม่เลวเชียว…”

ครั้นเห็นความหม่นหมองบนใบหน้าที่ดูเหมือนจะสลายไปในชั่วพริบตาเดียว สีหน้าขึงขังก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น เซี่ยเชียนจนปัญญาไปชั่วขณะ

เขาลุกขึ้น แต่กลับไม่ได้เข้าไปชิมองุ่นที่องค์จักรพรรดิทรงตรัสไว้ แค่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฝ่าบาททรงมอบหมายคดีความนี้ให้แก่เหมิงฉิง มีเจตนาอื่นด้วยใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”

องค์จักรพรรดิรู้ว่าเซี่ยเชียนไม่พอใจ จึงส่ายหน้าและตรัสว่า “ท่านขุนนางเซี่ย เจ้าน่าจะเข้าใจความไม่ง่ายของข้านะ”

เซี่ยเชียนสบตากับองค์จักรพรรดิ จากนั้นก็ทูลอย่างไม่เลี่ยงคำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดูท่าฝ่าบาทคงจะตั้งใจไว้แล้ว บัดนี้ตระกูลตู้ได้ควบคุมฝ่ายการคลัง เสบียงของราชสำนักก็ล้วนอยู่ในมือของตระกูลตู้ เจ้ากรมฝ่ายทหารก็มีความสนิทสนมกับตระกูลตู้มาแต่ไหนแต่ไร คิดว่าฝ่าบาทก็ทรงทราบดี ลู่หัวบุตรชายของเจ้ากรมฝ่ายทหารผู้นี้ มีความคิดจะสู่ขอบุตรสาวของใต้เท้าตู้เช่นกันพะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิฟังเขาพูดอย่างเงียบ ๆ ไม่ออกความเห็นใด

เซี่ยเชียนจึงกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาททรงเชื่อใจเหมิงฉิงใช่หรือไม่? ทรงลืมไปแล้วจริง ๆ หรือว่าลู่หัวเติบโตจากในวังมาตั้งแต่วัยเยาว์ เคยร่ำเรียนด้วยกันกับเหมิงฉิงมาตั้งกี่ปี?”

องค์จักรพรรดิปวดพระเศียรไม่น้อย ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วตรัสว่า “ไม่ว่าอย่างไรเหมิงฉิงก็เป็นเชื้อราชวงศ์ และยังมีราชทินนามที่ข้าตั้งให้ ซึ่งเจ้าไม่ควรเรียกชื่อเขาอย่างเดียว อีกอย่าง ไม่ว่าเหมิงฉิงจะเป็นอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาก็คือหลานชายของข้า เจ้าควรเห็นแก่หน้าบิดาของเขา หยุดตำหนิเขาได้แล้ว”

สายตาของเซี่ยเชียนแสดงความเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เหมิงฉิงคือทายาทของรัชทายาทองค์ก่อน ยามนั้นฝ่าบาททรงดึงดันจะแต่งตั้งให้เขาเป็นกษัตริย์ ไม่ใช่เพราะชักจูงเขาให้กระทำผิดหรือ? ถ้าฝ่าบาททรงจริงใจกับเขาจริง ก็ไม่ควรเยินยอมากเกินไปเช่นนี้พะย่ะค่ะ”

ราชวงศ์ช่างไร้ความปรานี ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว หายนะก็บังเกิด องค์จักรพรรดิเข้าใจเหตุผลนี้ดีกว่าผู้ใด

เพียงแต่องค์จักรพรรดินั้นมีกลอุบาย ได้ถูกเซี่ยเชียนชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ว่าองค์จักรพรรดิมีการให้ท้ายเซี่ยเชียนมากเพียงใด เช่นนี้จึงเกิดความกลุ้มใจ

สีหน้าของเขาถอดสีอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ท่านขุนนางสนใจในสิ่งที่ข้าจะทำด้วยหรือ?”

เซี่ยเชียนเห็นสีหน้าที่ดูเย็นชามาเนิ่นนานขององค์จักรพรรดิ และไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบจากการหยอกล้อหลานชายอยู่ในจวนในช่วงสองสามวันนี้หรือไม่ ในใจจึงได้อ่อนโยนลงไม่น้อย

เสียงของเขาต่ำลง ไม่ได้เย็นชาเหมือนในวันปกติ ก่อนจะทูลอย่างทอดถอนใจ “ฝ่าบาททรงมีนิสัยเหมือนเด็กเสมอ บางครั้งก็ทรงกริ้ว แล้วจู่ ๆ ก็โปรดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่อำนาจกัดกินใจคนง่ายที่สุด ในช่วงสองสามปีแรกที่องค์จักรพรรดิองค์ก่อนทรงครองบัลลังก์ ก็ไม่เคยมีท่าทีไร้มนุษยธรรมและความไม่ยั่งยืนในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาทเจริญรอยตามองค์จักรพรรดิองค์ก่อนพะย่ะค่ะ”

ครั้นองค์จักรพรรดิได้ยินประโยคเช่นนี้ ก็รู้ว่ามันคือความจริงใจของเซี่ยเชียน

เขาหลุบตามองต่ำ แล้วตรัสกับต๋ากงกงว่า “เจ้าออกไปก่อน”

ต๋ากงกงถอยออกจากตำหนักอย่างเงียบ ๆ แล้วปิดประตู

เวลานี้ภายในตำหนักก็เหลือองค์จักรพรรดิและเซี่ยเชียนเพียงแค่สองคน

องค์จักรพรรดิลุกขึ้น แล้วเดินมาตรงหน้าเซี่ยเชียน

คนหนึ่งก็แต่งกายด้วยฉลองพระองค์สีเหลืองอร่าม อีกคนแต่งกายอย่างธรรมดา แต่เมื่อยืนด้วยกัน ประกอบกับสีหน้าจริงจังเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็อดชื่นชมในความเข้ากันของผู้เป็นนายและบ่าวคู่นี้ไม่ได้

องค์จักรพรรดิครุ่นคิดในใจ ‘สิ่งแรกที่เขาคิด ก็คือการเก็บเซี่ยเชียนไว้ข้างกาย ให้เขาเป็นเสมือนนายและบ่าวที่เหมาะสมกันเช่นนั้นหรือ?’

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเกิดความสงสัยในตัวของเซี่ยเชียน?

“เซี่ยเชียน” องค์จักรพรรดิขานเรียกเสียงต่ำเพียงคำเดียว

สายตาของคนถูกเรียกยังคงราบเรียบปกติ “พะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิส่ายพระพักตร์ สุดท้ายก็กลืนคำพูดที่ตัวเองอยากพูดลงไป ถามแค่คดีความที่เกิดขึ้นในราชสำนักวันนี้ “เรื่องที่เจ้ากล่าวเมื่อเช้านั้น เป็นความจริงใช่หรือไม่?”

เซี่ยเชียนและองค์จักรพรรดิสบตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาเผยรอยยิ้มจาง ๆ “ฝ่าบาททรงไม่ทราบว่าจะตรัสสิ่งใดใช่หรือไม่? สิ่งที่หลินเหราสืบหามา จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร?”

องค์จักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวด้วยความกลุ้มใจ “เจ้านี่มันจริง ๆ เลย! ข้าถามเจ้ามากหน่อยก็ถามไม่ได้!”

เซี่ยเชียแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาว แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “กระหม่อมจะอาศัยเรื่องนี้มากดดันจวนตู้ ฝ่าบาทเห็นสมควรว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิเลิกคิ้วสูง “เหตุผลเล่า? ก่อนหน้านั้นข้าเห็นเจ้าถูกเหล่าขุนนางโจมตี ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด เหตุใดวันนี้กลับมีความแค้นกับจวนตู้เสียได้?”

เซี่ยเชียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “จวนตู้แตะต้องคนของกระหม่อม กระหม่อมไม่มีทางนั่งดูเฉย ๆ ได้ อีกอย่างฝ่ายคลังและฝ่ายทหารก็ยังมีการเชื่อมโยงกันอยู่เลือนราง ถ้าอำนาจนี้มันตกมาอยู่ที่เหมิงฉิง ฝ่าบาททรงคิดว่าบัลลังก์ของฝ่าบาทจะไม่สั่นคลอนหรือ?”

องค์จักรพรรดิทรงสรวลและด่าทอ “เซี่ยเชียนเจ้าช่างบังอาจ! ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้าได้รับการหล่อหลอมจนกลายเป็นคนจริงจังต่อสิ่งเร้าภายนอก ไม่ยอมแปดเปื้อนในโลกโลกีย์แม้แต่น้อย ไร้ซึ่งปณิธาน คาดไม่ถึงว่าจะต่ำช้าเท่านั้น!”

เซี่ยเชียนไม่ได้โต้แย้ง แต่กล่าวว่า “กระหม่อมเป็นมนุษย์ที่มีปณิธาน ปกป้องตระกูลเซี่ย ดูแลบ้านเมืองแทนฝ่าบาทไม่ดีหรือพะย่ะค่ะ?”

องค์จักรพรรดิปรบมือหัวเราะเสียงดัง “ดี! ดี! สงครามระหว่างเจ้าและจวนตู้ข้าจะไม่ยุ่ง คุณหนูจวนตู้ผู้นั้น ให้จัดการตามสมควร อีกเรื่อง ข้าเป็นห่วงหน้าตาของกุ้ยเฟย ตอนนี้นางกำลังป่วย”

เซี่ยเชียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วตอบรับว่า “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

เซี่ยเชียนในชุดคลุมยาวสีดำสนิทย่างเดินออกจากตำหนักไป เดินผ่านราชวังที่กว้างขวางวิจิตร และมีกำแพงวังที่สูงชะลูดแห่งนี้ไป

ท่ามกลางศูนย์กลางแห่งอำนาจ เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบเชียบ แต่ทว่าถ้าในใจมีบางอย่างที่ต้องปกป้อง แค่บุกเข้ามา ก็สังหารสถานเดียว!

โชคดีที่ข้างกายยังมีหลินเหรา มีเหยาเฉาและคนอื่น…

เซี่ยเชียนคิดในใจ ‘แค่นี้ก็พอแล้ว’

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีสหายรู้ใจที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ต้องอดทนหน่อยนะท่านเซี่ยเชียน

พอยต์หลักคือคำว่าให้ไปจัดการเองตามที่เจ้าเห็นสมควรนี่แหละค่ะ ถือว่าจักรพรรดิมอบอำนาจให้แล้ว คือให้ท้ายคนตัวเองเต็มที่ว่าซ่าน

/จ้วงไม้พายอย่างบ้าคลั่ง/

ไหหม่า(海馬)