บทที่ 305 ต้วนหงเฉินยอมจำนน ความไม่พอใจของหานมิ่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 305 ต้วนหงเฉินยอมจำนน ความไม่พอใจของหานมิ่ง

เคลื่อนไหว?

เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินก็แผ่พลังจิตออกไปในทันที

เห็นเพียงแม่น้ำปรโลกที่ไม่รู้ว่าคลื่นเริ่มซัดโหมขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ไร้ลมพายุ มีเพียงคลื่นขนาดใหญ่ แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขากวาดพลังจิตไปที่ส่วนลึกของปรโลก

แม่น้ำปรโลกนั้นลึกเสียจนไม่เห็นก้นบึ้ง แม้หานเจวี๋ยจะเป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว แต่พลังจิตของเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลุปรโลกได้

ผ่านไปสักพัก หานเจวี๋ยก็ยังคงจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ จึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

จอมปีศาจคุกรัตติกาลยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าก็มาที่ยมโลกแทบนับครั้งได้ อีกทั้งยมโลกนั้นแปลกพิกลยิ่งนัก ข้ารู้สึกว่ายมโลกนั้นอันตรายกว่าแดนเซียนเสียอีก”

หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เจ้าเฝ้าสังเกตการณ์ให้มากหน่อย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

“เข้าใจแล้ว”

จอมปีศาจคุกรัตติกาลรับปากเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้จากไปไหน หากแต่หยุดอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย ตั้งท่าจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป

หานเจวี๋ยเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป มีอะไรก็พูดมา!”

จอมปีศาจคุกรัตติกาลกัดฟันกล่าวว่า “ข้าอยากส่งไก่คุกรัตติกาลออกไป เผ่าหงส์คุกรัตติกาลของพวกเรามีที่ตั้งเผ่า ข้าหวังว่าเขาจะได้รับพิธีชำระล้างจากเผ่า และสามารถแปลงกายเป็นหงส์คุกรัตติกาลได้อย่างสมบูรณ์ ”

เขาเองก็มองออกถึงปัญหาของไก่คุกรัตติกาล เจ้าหมอนี่ถึงกับกลัวโลกภายนอกเป็นอย่างมาก

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “มหาเคราะห์มาถึงแล้ว หากออกไปจะง่ายต่อการแปดเปื้อนผลกรรม อย่าออกไปเลย รอจนมหาเคราะห์สิ้นสุดลงก่อนค่อยว่ากัน หรือเจ้าอยากให้เผ่าหงส์คุกรัตติกาลติดอยู่ท่ามกลางมหาเคราะห์เล่า? มหาเคราะห์ในครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มา นี่จะเป็นมหาเคราะห์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนและเป็นอันตรายถึงขีดสุด”

วาจาของเขากล่าวอย่างหนักแน่น ทำเอาจอมปีศาจคุกรัตติกาลตกใจจนรีบร้อนโบกมือเป็นพัลวัน ไม่กล้าคิดที่จะออกไปอีก

เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้วก็จริง นิสัยนั้นจะสำคัญเท่าชีวิตหรือ

จอมปีศาจคุกรัตติกาลลอบด่าทอตัวเองในใจ เกือบติดกับเสียแล้ว

ท่านเจ้าสำนักก็มองทะลุปรุโปร่งเสียจริง

ตนจะออกไปไม่ได้เด็ดขาด!

การมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

หลังจากนั้น หานเจวี๋ยก็ติดตามสภาพการเจริญเติบโตของต้นฝูซังเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปฝึกบำเพ็ญในถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครั้ง

อู้เต้าเจี้ยนเดินตามเข้าไปในถ้ำเทวา นางเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “นายท่าน ของวิเศษของหลิงเอ๋อร์แข็งแกร่งเกินไป ท่านมีของวิเศษที่ร้ายกาจพอให้ข้าไปต่อสู้กับนางบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่มีหรอก นั่นเป็นยอดสมบัติของเผ่าจอมเวท เจ้าทำได้เพียงนึกเสียใจที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเท่านั้นแหละ”

อู้เต้าเจี้ยนบุ้ยปาก

หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “อย่างไรเจ้าก็ติดตามข้ามาตลอด เหตุใดต้องไปคิดถึงเรื่องการต่อสู้ด้วย รอกระทั่งตบะของเจ้าเพิ่มสูงขึ้น ประสิทธิภาพของของวิเศษก็จะลดน้อยลง”

“จริงหรือ”

อู้เต้าเจี้ยนไม่เชื่อ ค่อนข้างไม่พอใจอยู่บ้าง

ตั้งแต่ถูหลิงเอ๋อร์ได้รับเจดีย์บรรพชนจอมเวท ไม่ต้องกล่าวว่าอานุภาพนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด นางกลายเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ทันที ไม่ว่าใครก็เอาชนะไม่ได้

หานเจวี๋ยกวักมือเรียกและกล่าวว่า “มานี่ ข้าจะสอนเจ้าฝึกมรรคกระบี่เทียมฟ้าด้วยตัวเอง เมื่อเจ้าฝึกจนสำเร็จ ถูหลิงเอ๋อร์ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอย่างแน่นอน”

อู้เต้าเจี้ยนตื่นเต้นดีใจ รีบเข้าไปหาในทันที

หานเจวี๋ยเริ่มสอนนางตัวต่อตัว ถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเอง

หนึ่งปีต่อมา

อู้เต้าเจี้ยนกลับไปยังเบาะนั่งของตน เริ่มหยั่งรู้มรรคกระบี่เทียมฟ้า

หานเจวี๋ยจึงนำจิตรับรู้เข้าสู่โลกอนธการ

จิตวิญญาณของต้วนหงเฉินอ่อนแอเป็นอย่างมาก หานเจวี๋ยสามารถบดขยี้มันได้เพียงความคิดเดียว

ทว่าจะดีร้ายอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็เป็นถึงจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏ หากฆ่าทิ้งก็น่าเสียดาย

หานเจวี๋ยได้ประทับตราประทับหกวิถีเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณต้วนหงเฉินแล้ว หลังจากนี้ก็สามารถควบคุมความเป็นความตายของต้วนหงเฉินได้

“เจ้าอยากมีชีวิตรอดหรือไม่”

เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้นภายในโลกอนธการ เมื่อต้วนหงเฉินที่กำลังจะแหลกสลายได้ยินเช่นนี้ ก็สะดุ้งตื่นในทันที เขารีบตะโกนขึ้นเป็นพัลวัน “ข้าอยาก! ข้าอยาก!”

“ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด!

ขอเพียงไว้ชีวิตข้า ข้าก็สามารถเป็นวัวเป็นม้าให้กับท่านได้!”

หลังจากหานเจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ ก็อดถามขึ้นไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าเกลียดข้าหรือไม่”

“ไม่เกลียด ไม่เกลียดแน่นอน!”

“เจ้าไม่จริงใจ เหตุที่ข้ากำราบเจ้า ก็เป็นเพราะเจ้าคิดบังคับแย่งชิงศิษย์ของข้า หากเปลี่ยนเป็นเจ้าบ้าง เจ้าจะปล่อยข้าหรือไม่”

“ข้าไม่ได้เกลียดจริงๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว…”

“เฮ้อ!”

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมา ดูท่านิสัยเช่นมารสวรรค์เบิกฟ้าจะมีน้อยนิดจริงๆ

ต้วนหงเฉินลนลาน เขาประคับประคองได้ไม่นานนัก

ช้าก่อน!

หรืออีกฝ่ายจะสามารถอ่านใจได้?

ต้วนหงเฉินสลัดการพร่ำบ่นในใจของตนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว คิดจินตนาการว่าหลังจากผ่านพ้นเคราะห์นี้ไปแล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะมีความสุขเพียงใด ดังนั้น…

[ต้วนหงเฉินเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]

สามดาว?

ก็พอได้!

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นในทันที โบกมือขวาคราหนึ่ง เคลื่อนย้ายจิตวิญญาณของต้วนหงเฉินออกมา

ต้วนหงเฉินมองเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าวว่า “นับจากนี้ไป เจ้าก็ต้องอยู่บนเกาะแห่งนี้ ห้ามออกไปไหน ฟูมฟักดูแลสภาวะจิตใจให้ดี ในใจต้องมีความยำเกรง ไม่อย่างนั้นเจ้าออกไปก็จะตายด้วยน้ำมือของผู้อื่นอยู่ดี”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต้วนหงเฉินก็ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เขารีบขอบคุณหานเจวี๋ยเป็นพัลวัน

[ความประทับใจที่ต้วนหงเฉินมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 5 ดาว]

หานเจวี๋ยรู้สึกพึงพอใจ เช่นนี้ค่อยดีหน่อย

การไว้ชีวิตศัตรูในโลกฝึกบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยเสือคืนสู่ป่า และหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งเคราะห์ภัยให้ตัวเอง

เหตุผลที่หานเจวี๋ยกล้าที่จะปล่อยเขาไป ก็เป็นเพราะเขาได้วางตราประทับหกวิถีไว้แล้ว นั่นก็เพียงพอที่จะควบคุมความเป็นความตายของต้วนหงเฉินได้

หานเจวี๋ยโบกมือเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้ต้วนหงเฉินออกไป ปล่อยให้ตัวเขาไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆ เสียหน่อย

หากต้วนหงเฉินกล้าที่จะสร้างความวุ่นวายอีก หานเจวี๋ยก็สามารถทำลายเขาได้เพียงความคิดเดียว

หลังออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน ต้วนหงเฉินก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้เขลา เขารู้ดีว่าที่หานเจวี๋ยกล้าปล่อยเขาออกมา จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ เพราะอย่างนั้นจึงไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย

ต้วนหงเฉินถูกกักขังมานานหลายปี ให้เขาไปสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เขาก็กระอักกระอ่วนยิ่งนัก

หานเจวี๋ยยังได้ลากต้วนหงเฉินเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบเช่นกัน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงไปหาจอมปีศาจคุกรัตติกาล ให้จอมปีศาจคุกรัตติกาลเป็นฝ่ายท้าประลองต้วนหงเฉิน

ในตอนแรก ต้วนหงเฉินรู้สึกประหลาดใจกับแบบจำลองการทดสอบยิ่งนัก เป็นผลให้เขาถูกจอมปีศาจคุกรัตติกาลปลิดชีพฉับพลันในทันที

เขาไม่ยอม ร้องขอให้ประลองอีกครั้ง

แต่ก็ยังคงถูกปลิดชีพในฉับพลันเช่นเดิม

หลังจากท้าประลองไปเกือบร้อยครั้งถ้วน ต้วนหงเฉินก็ปิดตัวเองไป

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตนเองนั้นน่าขันมากเพียงใด ถึงกับอยากมาแย่งคนที่เกาะแห่งนี้ ไม่ต้องรอให้หานเจวี๋ยลงมือ เพียงเจ้าหงส์เส็งเคร็งตัวเดียวก็เพียงพอที่จะกำราบเขาได้แล้ว

เฮ้อ!

ต้วนหงเฉินหามุมๆ หนึ่ง จากนั้นเริ่มฟื้นฟูกายเนื้อของตน

……

ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ทิวเขาตระหง่านเรียงราย เกาะลอยจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งอยู่กลางอากาศ ปรากฏเป็นภาพฉากงดงามตระการตา

บนเกาะลอยหนึ่งในนั้นมีแท่นแสดงยุทธ์ขนาดใหญ่ บนแท่นมีชายผู้หนึ่งกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่

เขาบำเพ็ญตบะกายจิต เงาร่างเหินทะยานไม่หยุด หมัดเท้าดุจสายลม อากาศโดยรอบบิดเบี้ยวตลอดเวลา ราวกับว่าจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

ใบหน้าของเขาดูคล้ายคลึงกับหานเจวี๋ยยิ่งนัก ทว่าไม่ได้หล่อเหลาเท่าหานเจวี๋ย ร่างกายแข็งแรงกำยำยิ่งกว่า ดูราวกับสัตว์ร้ายในรูปร่างมนุษย์

เขาก็คือหานมิ่ง น้องชายของหานเจวี๋ย

หลังจากฝึกบำเพ็ญไปสักพัก หานมิ่งก็หยุดลง เหงื่อร้อนทั่วร่างก็ระเหยกลายเป็นไอหมอก พัดกระจายออกไป

หานมิ่งหันกลับมา ขณะที่กำลังจะย่างเท้าก้าวเดิน ทันใดนั้นเงาสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ขอบแท่นสำแดงยุทธ์ ด้านหลังเป็นจานหมุนสีขาวดำซึ่งดูเหมือนแผนที่เอกอนันต์

ทันทีที่มองเห็นเงาดำ หานมิ่งก็รู้สึกประหลาดใจ รีบร้อนคุกเข่าลงประสานหมัดเอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านมาแล้ว! ข้าสามารถออกสู่ไปโลกได้แล้วหรือ”

เงาดำลืมดวงตาคู่ที่เรียบเย็นคู่นั้น เอ่ยว่า “ออกสู่โลก? อาศัยความสามารถเช่นเจ้าน่ะหรือ เมื่อเทียบกับหานเจวี๋ยแล้ว เจ้ายังห่างไกลยิ่งนัก ตอนนี้เพียงแค่นิ้วเดียวเขาก็สามารถบี้เจ้าให้ตายได้แล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานมิ่งก็ขมวดคิ้วแน่น สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

อาจารย์มักจะยกพี่ชายมาข่มเขาเสมอ ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจต่อพี่ชายของตนยิ่งนัก

………………………………………..