บทที่ 312 เฉิงเจ๋อเป็นห่วง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 312 เฉิงเจ๋อเป็นห่วง

บทที่ 312 เฉิงเจ๋อเป็นห่วง

เมื่อสักครู่เพิ่งจะเลิกเรียน สวีเฉิงเจ๋อจึงรีบออกมาอย่างใจร้อน เพราะร้านหนังสือนั้นปิดค่อนข้างเร็วและคนขายก็ค่อนข้างแปลก ไม่ใช่ว่าเขาจะเปิดร้านทุกวัน ถ้าวันไหนเขาอารมณ์ดีก็จะเปิดร้านทุกวัน ถ้าวันไหนอารมณ์ไม่ดีก็จะปิดร้านไปสี่ถึงห้าวัน นั่นเป็นเรื่องปกติ

กู้เสี่ยวหวานเริ่มสนใจหลังจากได้ยินการแนะนำของสวีเฉิงเจ๋อ

“เสี่ยวหวาน หนังสือเล่มนี้เขียนถึงบันทึกการเดินทาง ความงดงามของภูเขาและแม่น้ำ ความงดงามที่บรรยายไว้เช่นนั้นทำให้ผู้คนหลงใหล แค่รอคอยวันที่จะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งและดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์” ใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อเต็มไปด้วยความปรารถนา กู้เสี่ยวหวานก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยคิดว่าวันหนึ่งถ้านางมีเวลา นางจะไปซื้อหนังสือสองสามเล่มมาอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานมา เขาจึงไม่ไปที่ร้านหนังสือแล้วซึ่งนั่นทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าตนเองทำให้สวีเฉิงเจ๋อล่าช้าไป แต่สวีเฉิงเจ๋อไม่คิดเช่นนั้น ไม่ว่าร้านหนังสือนี้จะเปิดทุกวันหรือจะห้าวันเปิดทีก็ไม่สำคัญ

เพราะกู้เสี่ยวหวานผู้นี้ไม่ได้เจอกันนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว นางคือแขกคนพิเศษ

สวีเฉิงเจ๋อลืมเรื่องการไปซื้อหนังสือ และต้อนรับกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในหอหนังสืออวี้อย่างกระตือรือร้น

กู้เสี่ยวหวานจึงรีบบอกว่าให้รอก่อน จากนั้นจึงไปที่เกวียนวัวและบอกพวกเขาสามคน

กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ได้วิ่งไปหาสวีเฉิงเจ๋อ หลังจากที่ได้เจอกัน สวีเฉิงเจ๋อก็มองไปที่ชายหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างสงสัย

ชายหนุ่มอายุราว ๆ สิบห้าหรือสิบหกปี เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่เมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้าตนเอง สวีเฉิงเจ๋อก็รู้สึกถึงความกดดันในทันที สวีเฉิงเจ๋อมักจะอวดอ้างว่าตนเองค่อนข้างสูงส่ง แต่เมื่อเห็นชายผู้นี้ เขาก็ไม่มีอะไรเทียบได้เลย

ฉินเย่จือสูงกว่าสวีเฉิงเจ๋อครึ่งศีรษะ สวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งเก่าและขาดมาก แต่ก็ไม่ส่งผลต่อท่าทางของเขาเลย ผมสีดำสนิท มัดด้วยปิ่นไม้ไผ่ ชายหนุ่มผู้นี้เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ผิวพรรณงดงามอย่างยิ่ง เขามีใบหน้างามราวกับแกะสลักออกมา ใบหน้านั้นงดงามเกิดคนทั่วไปมาก

สวีเฉิงเจ๋อตกตะลึงครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็มีความคิดที่อธิบายไม่ได้แล่นเข้ามา แต่ก็ค่อนข้างแปลก

สวีเฉิงเจ๋อมองกู้เสี่ยวหวานและหันไปมองฉินเย่จืออีกครั้ง เขาแอบคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวหวาน คนผู้นี้คือ…”

ฉินเย่จือเลิกคิ้วเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อสักครู่เขาเห็นถึงความกังวลและความไม่เป็นมิตรในสายตาของสวีเฉิงเจ๋อ

“พี่เฉิงเจ๋อ นี่คือพี่ชายที่เพิ่งรู้จักของข้า ชื่อฉินเย่จือ” กู้เสี่ยวหวานแนะนำ

ทันทีที่เขาได้ยินก็ขมวดคิ้ว แต่ถ้าจะให้กล่าวกับกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวก เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าให้ฉินเย่จือและเอ่ยคำทักทายเท่านั้น

ฉินเย่จือยิ้มอ่อนให้เขาเพื่อเป็นการตอบรับคำทักทาย และสายตาก็หันกลับไปมองกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง

สวีเฉิงเจ๋อมีคำถามที่ต้องการถามกู้เสี่ยวหวานเพียงลำพังจึงอ้างว่าจะพากู้เสี่ยวหวานไปหากู้หนิงอัน และพานางเข้าไปในหอหนังสืออวี้

ทันทีที่เข้ามา สวีเฉิงเจ๋อก็รีบเอ่ยถามกู้เสี่ยวหวานทันที “เสี่ยวหวาน คนผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่? เหตุใดเขาถึงเข้ามาอยู่ในบ้านของเจ้ากัน แล้วเจ้ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเขาหรือไม่ว่าดีหรือไม่ดี?”

น้ำเสียงของสวีเฉิงเจ๋อไม่ได้ตื้นเบา เมื่อสักครู่ฉินเย่จือเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของเขาจึงรู้ว่าสวีเฉิงเจ๋อต้องมีบางอย่างที่จะถามกู้เสี่ยวหวานอย่างแน่นอน ทันทีที่เขาเข้าไป เสียงของสวีเฉิงเจ๋อก็ดังขึ้น

สวีเฉิงเจ๋อรู้ดีว่าตนเองไม่มีสิทธิ์จะไปเอ่ยถามมากมาย แต่เพราะเขาเป็นห่วงกู้เสี่ยวหวาน เด็กเหล่านี้อยู่บ้านลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล แต่ทันใดนั้นก็มีหนุ่มรูปงามที่มาจากไหนไม่รู้ปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็น่าสงสัย

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจต่อสวีเฉิงเจ๋อเลย ในทางกลับกันนางรู้สึกขอบคุณเสียมากกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงพวกนาง สวีเฉิงเจ๋อก็คงจะไม่สนใจพวกเขาเลย

กู้เสี่ยวหวานอธิบายว่านางเจอคนผู้นี้อยู่ข้างถนน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง และเร่ร่อนมาจนถึงหมู่บ้านอู๋ซี เมื่อเห็นว่าเขาน่าสงสารกู้เสี่ยวหวานจึงให้อะไรเขากิน และไม่คิดว่าเขาจะจำมันได้

หลังจากนั้นเมื่อกู้เสี่ยวหวานไปที่ภูเขา นางบังเอิญพบกับสัตว์ร้าย แต่ได้รับการช่วยเหลือจากชายผู้นี้ที่ช่วยชีวิตของนางไว้ กู้เสี่ยวหวานจึงซาบซึ้งในน้ำใจของเขา และเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีที่อยู่อาศัย ดังนั้นนางจึงรับเขาเข้ามา

นี่เป็นคำพูดที่นางเอาไว้บอกกันคนที่มาถามเกี่ยวกับฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องโกหกสวีเฉิงเจ๋อ แต่นางไม่มีทางเลือกอื่น เพราะถ้าพูดความจริงออกไป เกรงว่าคงจะทำให้เขาคิดมาก

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเรื่องที่กู้เสี่ยวหวานได้ฟ้องร้องเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์ ครอบครัวสวีก็รู้ได้ในทันที

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เสร็จสิ้นการพิจารณาคดี ก็ได้ยินเรื่องนี้จากคนรอบข้าง

ครอบครัวสวีจึงรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานได้ซื้อที่ดินห้าสิบหมู่ไว้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลิวเจีย ทุกคนรู้เรื่องนี้ว่าที่กู้เสี่ยวหวานมีเงินและเอาไปซื้อที่ดิน ทุกคนในครอบครัวสวีต่างมีความสุขไปกับนาง และพวกเขาก็รู้สึกดีที่เด็กผู้นี้มีความคิดที่เฉียบแหลม

ในตอนที่พวกเขาไปทานข้าวที่ร้านจิ่นฝูก็ได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง แต่สวีเฉิงเจ๋อไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด

แต่เมื่อฟังจบ สวีเฉิงเจ๋อก็รู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกโมโหไปในเวลาเดียวกัน

รู้สึกตื่นเต้นที่กู้เสี่ยวหวานชนะคดีและได้ที่ดินที่ถูกแย่งไปกลับคืนมา แม้แต่ผู้พิพากษาหลิวก็ยังกล่าวเอาไว้ว่าถ้าในอนาคตมีปัญหาอะไรอีกให้ไปหาเขาที่เมืองรุ่ยเสียน สองคือเรื่องที่กู้เสี่ยวหวานให้เช่าที่ดินเพราะนางเก็บค่าเช่าเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างชื่นชม และยกย่องว่านางเป็นคนจิตใจดีและมีความเมตตา

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยินผู้คนชื่นชมกู้เสี่ยวหวาน เขาก็เต็มไปด้วยความสุข เมื่อเขาได้ยินว่าป้าของกู้เสี่ยวหวานได้เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เขาก็โกรธมาก ไม่น่าแปลกใจที่ช่วงนี้กู้จือเหวินไม่ได้มาที่สำนักศึกษา เดิมทีเป็นเพราะเขารู้สึกอับอายและซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน

สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกแย่ ทำไมเขาถึงไม่รู้ข่าวก่อนหน้านี้ แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการให้กำลังใจกู้เสี่ยวหวานและให้ความมั่นใจกับนาง

ดังคำกล่าวที่ว่า งูกัดหนึ่งครั้งทำให้กลัวเชือกไปสิบปี*[1] สวีเฉิงเจ๋อยังคงเป็นห่วงกู้เสี่ยวหวาน การที่มีชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เขาจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้และเป็นกังวลว่าคนผู้นี้จะเป็นอันตรายต่อกู้เสี่ยวหวาน

ครั้นได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวเช่นนั้น ทั้งคำพูดและท่าทางของนางราวกับกำลังปกป้องคนผู้นั้นอยู่ สวีเฉิงเจ๋อก็รู้สึกค่อนข้างหงุดหงิด แต่เมื่อกู้เสี่ยวหวานยอมรับคนผู้นั้นอย่างสมบูรณ์แล้วมันก็ไม่ง่ายที่จะกล่าวอะไรอีก เขาจึงทำได้เพียงเตือนให้นางระวังตัวเองเอาไว้บ้าง

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและรีบตอบว่านางรู้แล้ว จากนั้นทั้งสองจึงเข้าไปหากู้หนิงอัน

*[1] การกลัวที่จะเผชิญเหตุการณ์ที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันหลังจากถูกทำร้ายครั้งเดียว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เด็กหนุ่มสองคนนี้จะเป็นศัตรูหัวใจกันหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)